A Quiet Place (2018) ดินแดนไร้เสียง


A Quiet Place (2018)  | ดินแดนไร้เสียง  
Director: John Krasinski
Genres: Drama | Horror | Sci-Fi
Grade: A-

คอนเซ็ปต์แบบนี้ใช่จะหากันได้ง่ายๆ เพราะตลอดทั้งเรื่องมีบทสนทนาทางเสียงที่น้อยมากๆ น้อยเสียจนจำไม่ได้ว่าไปพูดฉากไหนไว้บ้าง ส่วนที่พูดน้อยกันขนาดนี้เพราะเสียงสามารถฆ่าพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเสียงพูด เสียงเดิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำเกิดเสียงจะตกเป็นเป้าหมายบางสิ่ง ซึ่งเจ้าสิ่งนี้คือมฤตยูที่เข้ามาคร่าชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ฉะนั้นวิธีการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือห้ามพูด!


เมื่อไม่สามารถเอ่ยปากออกเสียงพูดคุยกันได้ วิธีเดียวที่สื่อสารกันได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดคือภาษามือ ดังนั้นการไม่เห็นตัวละครพูดสักคำและใช้ภาษามือสื่อสารนับเป็นหนทางที่ดีที่สุด อีกทั้งเป็นภาษาที่ดูสมเหตุสมผลภายใต้สถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้ และที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้นักแสดงได้ถ่ายทอดอารมณ์สู่ผู้ชมโดยตรงอีกด้วย เพราะอย่างน้อยการแสดงสีหน้าท่าทางคือภาษาที่เห็นก็เดาได้ว่าสื่ออะไร

แทบจะไม่มีการปูเนื้อเรื่องอะไรเลย มาถึงพร้อมกับฉากเมืองร้างไร้ผู้คน แต่ที่ยังเห็นอยู่คือครอบครัวแอบบอตต์ ที่ประกอบด้วยสมาชิกพร้อมหน้าพร้อมตา ได้แก่ ลี (John Krasinski), อีฟลิน (Emily Blunt), เรแกน (Millicent Simmonds), มาร์คัส (Noah Jupe) และโบ (Cade Woodward) ซึ่งครอบครัวแอบบอตต์ต้องเอาตัวรอดในแต่ละวันโดยไม่ทำให้เกิดเสียงเท่าที่จะทำได้มากที่สุด


พูดน้อย แต่ต่อยหนัก พยามยามเน้นไปที่เหตุการณ์ปัจจุบันเพียงอย่างเดียว เนื้อเรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่สามารถรับรู้ได้ สิ่งที่เห็นมีเพียงความพยายามในการใช้ชีวิตแต่ละวัน โดยที่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เจออะไรมาบ้าง แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ยอมปูเนื้อเรื่องให้ชัดเจน กระนั้นยังสอดแทรกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ผ่านฉากต่างๆที่พอให้สังเกตเห็นเอาเอง ซึ่งการเน้นเป็นอย่างๆช่วยให้ส่วนนั้นหนักแน่นพอสมควร โดยเฉพาะความเป็นครอบครัว

ถึงจะเป็นหนังสยองขวัญที่สั่นประสาท แต่มีส่วนที่งดงาม อย่างเรื่องครอบครัวที่เล่าผ่านมุมมองของพ่อและแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ทุกคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบเพื่ออนาคตของลูก แม้จะไม่สดใสเพราะทุกอย่างเปลี่ยนไป กระนั้นเห็นถึงความเอาใจใส่ คอยสั่งสอนเสริมประสบการณ์เพื่อใช้รับมือสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ฉะนั้นในส่วนของมิติตัวละครนับว่าแจกจ่ายกันได้ดีมากทีเดียว ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ล้วนเป็นสิ่งสำคัญของลูกๆ เช่นเดียวกันกับลูกๆที่มีพ่อและแม่เป็นสิ่งสำคัญไม่ต่างกัน


ภัยที่มาพร้อมกับเสียงจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นแบบทันทีทันใด ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งถึงจะเห็นรูปร่างตัวตนจริงๆของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ ซึ่งการออกแบบค่อนข้างธรรมดาอยู่บ้าง กระนั้นจุดเด่นคือการหาต้นกำเนิดเสียง ไม่มีตาให้มองหรือจมูกสัมผัสกลิ่น มีเพียงหูฟังที่เหนือชั้นในการรับคลื่นที่ต่อให้เบาแค่ไหนก็หาจนเจอ ด้วยเหตุนี้สถานการณ์จึงชี้ให้ตัวละครกระทำสิ่งใดก็ตามด้วยความเงียบ ไม่พูดไม่ส่งเสียง ไม่ทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเสียง ไม่เว้นการเดินที่ห้ามใส่รองเท้าและระมัดระวังเยียบใบไม้แห้งหรือกิ่งไม้ การใช้ชีวิตที่เหมือนง่าย แต่ห้ามประมาทสักนิดเดียว

ด้วยความที่หนังกระชับประมาณ 90 นาทีจึงเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่เริ่มใส่ความต่อเนื่องแบบนาทีต่อนาทีไม่หยุดพัก ราวกับเมื่อปัญหามาแล้วต้องลุยกันถึงที่สุดเพราะไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เมื่อพลาดต้องยอมเผชิญสิ่งนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ฉะนั้นการเอาใจช่วยตัวละครจึงเข้าถึงอารมณ์อย่างมาก ขณะเดียวกันการเตรียมความพร้อมก็ดูจะเป็นข้อดีของเนื้อเรื่องที่ให้เตรียมรับมือกับปัญหา ทำให้หลายอย่างดูไหลลื่นไม่ขัดใจ กระนั้นในความตื่นเต้นไม่รู้สึกสดใหม่บนคอนเซ็ปต์ที่แปลกแหวกแนว นั่นเพราะวิธีการเล่าเรื่องยังตามสูตรสำเร็จเช่นเคย


A Quiet Place มาพร้อมกับลูกเล่นความเงียบที่กดดันได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากเสียงกรี้ดร้อง โดยเฉพะการห้ามตัวเองไม่ให้เปล่งเสียงเป็นเรื่องที่ยาก ไม่ว่าใครที่เจ็บปวดต้องร้อง แต่จะทำยังไงไม่ให้ร้องเพื่อกลบความเจ็บปวด แค่การได้รู้ว่าตัวละครพูดได้แต่ไห้ามพูดก็นับว่าอึดอัดพอสมควร แล้วนี่ต้องทำให้ทุกอย่างเงียบเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็เต็มกลืนแล้วด้วยซ้ำ ถ้าคาดหวังความสยองขวัญด้วยฉากฆ่านองเลือด ขอให้ลืมไปได้เลย ถ้าอยากได้อารมณ์ลุ้นระทึกจัดว่าลุ้นตัวโก่งเลยทีเดียว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)