Scream 3 (2000) สครีม 3 หวีดสุดท้ายนรกยังได้ยิน

Scream 3 (2000) | สครีม 3 หวีดสุดท้ายนรกยังได้ยิน
Director: Wes Craven
Genres: Horror | Mystery
Grade: C+

ภาคแรกกลายเป็นตำนานสะเทือนหนังเชือดด้วยการนำกฎเหล็กมาตีแผ่กันอย่างเชือดเฉือนดุเด็ดเผ็ดมันส์อย่างลงตัวจนกลายเป็นหนังขึ้นหิ้งในหมู่คอหนังสยองขวัญห้ามพลาดเป็นอันขาด ส่วนภาคสองดำเนินเจตนารมย์เช่นภาคแรกด้วยการเสนอกฎเหล็กที่เกิดขึ้นในหมู่หนังเชือดมายกตีประเด็นเช่นเคยแต่จะเจาะเข้าลึกทางคนดูมากขึ้นกว่าตัวหนัง แม้จะก่ำกึ่งเรื่องเสียงวิจารณ์ในระดับค่อนข้างดีถึงปานกลางก็ตามทว่ายังทำออกมาสนุกเด็ดไม่ซ้ำใครเช่นเคยในแง่การประชดประชัน และเมื่อเป็นเช่นนั้นการมีอีกภาคให้ครบไตรภาคจึงได้เกิดขึ้นโดยวางไว้ให้เป็นหนังเชือดคั่นกระแสที่แสดงถึงบทสรุปทั้งหมดที่มีมา และเจ้าบทสรุปภาคสามนี่เองที่ทำ Scream ต้องจบลงแบบยิ่งกว่าก่ำกึ่งเพียงเพราะคำว่า"แถ"มีมากเกินยอมรับที่ได้จากไคลแม็กซ์ของเรื่องกับความจริงว่าใครคือฆาตรกรตัวจริง แต่นั้นไม่สำคัญเท่าแรงจูงใจที่พากันอุทานในสิ่งที่เกินคาดคะเนว่ายังอุตส่าห์คิดได้เหมือนพึ่งใส่จนกลายเป็นเรื่องไกลตัวในสิ่งที่ผู้ชมคิดเอาไว้ในกรอบว่าควรจะเป็นคนนี้ แต่เมื่อกลายเป็นคนที่คาดไม่ถึงก็ยังยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าต่อให้เนื้อเรื่องจะไม่ใช่สิ่งใหม่(ซ้ำยังทำให้ปวดหัวกับตัวจริง) ถ้ายังทำให้ผู้ชมเซอร์ไพร์สได้ก็ไม่เท่ากับว่าภาคต่อหนนี้จะแย่แค่ไม่ถูกปากในความสดใหม่เท่านั้นเอง


อะไรนะภาคแรกคือแฟนและเพื่อนของซิดนี่ย์ เพรสค็อตต์ (Neve Campbell) ในขณะที่ภาคสองคือแม่ของแฟนกับเพื่อนร่วมเอกมหาลัย สังเกตกันไหมว่ามันมีอะไรให้ตะหงิดใจหลายอย่างโดยเฉพาะคนที่เป็นตัวจริงของฆาตกรมักไม่ใช่คนไกลตัวแต่คือคนใกล้ๆที่เป็นไปได้ทั้งทางตรง(เพื่อนหรือแฟน)กับทางอ้อม(แม่ของแฟน) ดังนั้นภาคนี้จะเป็นใครได้อีกล่ะในเมื่อคนดูเริ่มจับใจความการวางตัวละครตรงนี้กันหมดแล้ว ดังนั้นก็เลยมาแบบไม่ธรรมดาด้วยการนำตัวละครที่ควรจะลืมแต่ไม่ลืมมาใช้อีก ซึ่งตัวละครนี้คือมัวรีน เพรสค็อตต์เป็นแม่ของซีดนี่ย์ที่เสียชีวิตไปแล้วและกลายเป็นปมในใจซีดนี่ย์ตั้งแต่ภาคแรกเรื่อยมาจนมาชัดเจนเอาในภาคนี้ที่กระตุ้นต่อมความอยากบางอย่างเมื่อฆาตกรหน้าผีหรือโกสต์เฟซได้ทิ้งหลักฐานทุกครั้งหลังสังหารเหยื่อเป็นรูปภาพของแม่ซี่ดนีย์จนกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสงสัยจนต้องตามสืบเพื่อเสาะความจริงเกี่ยวกับแม่ของตนว่ามีเบื้องหลังอะไรที่ไม่มีใครรู้ และเรื่องของเรื่องได้ปรากฏขึ้นเมื่อความจริงแล้วตำแหน่งของแม่ซี่ดนี่ย์นั้นเคยเป็นถึงดาราในฮอลลีวู้ดมาก่อน ด้วยความฉงนใจนี่เองทำให้สาวนักข่าวจอมตื้อเกล เวเธอร์ส (Courteney Cox) และดิวอี้ (David Arquette) ที่กลายเป็นคนแนะนำการทำงานเบื้องหลังหนัง Stab 3 ต้องร่วมสืบหาตัวฆาตกรกันอีกครั้งหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป็นภาคที่แสดงความแตกต่างได้ชัดเจนในเรื่องของเสน่ห์และมุมมองที่ปรับเปลี่ยนไปจากวัยรุ่นวัยเรียนมาเป็นวัยเริ่มทำงาน พูดง่ายๆคืออารมณ์แบบวัยรุ่นในรั้วมหาลัยได้จบลงไปแล้ว จะเหลือเพียงรุ่นหลังที่กำลังตามรอยเดินมาซึ่งคือกลุ่มตัวละครที่มาพร้อมกับมุมมองที่แตกต่างจากเดิม เช่น ซีดนี่ย์ที่ทำงานคอยรับสายช่วยเหลือลูกค้าที่โทรเข้ามา ดิวอี้ที่กลายเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาการทำหนัง ส่วนเกลยังคงเส้นเป็นนักข่าวเหมือนเดิม เท่าที่เรารู้นี่คือตัวละครหลักทั้งสามของเรื่องที่ยังเหลือรอดจากภาคก่อนๆ หรือจะอีกสี่ถ้านับค็อตตอน เวียรี่ย์ (Liev Schreiber) รวมเข้าไปด้วย(แต่อย่านับจะดีกว่าถ้าไม่ได้ดูตอนฉากเปิดต้นเรื่องที่ตัดผู้ต้องสงสัยแบบทันควันแล้วปล่อยให้ผู้ชมเดากันไปเองเกี่ยวกับแรงจูงใจครั้งใหม่ว่ามันควรจะเกิดจากอะไรกันแน่)  และนี่ก็เป็นสิ่งที่แตกต่างจากภาคก่อนเมื่อตัวละครหลักๆพวกนี้คือสิ่งที่บทหนังมีให้ ในขณะที่ตัวละครอื่นๆกลายเป็นตัวประกอบที่ไร้ความใส่ใจจนเราคุ้นชินกับตัวเอกเดิมๆทั้งเรื่องโดยเรารู้แน่ชัวร์ว่าพวกเขาและเธอไม่ตายกันง่ายแน่นอน


ส่วนตัวละครอื่นที่เป็นตัวประกอบนั้นให้เล่นบทโดนเชือดกันอย่างเพลินมือ แต่ไม่รู้ว่าเป็นการกัดจิกเรื่องนักแสดงด้วยหรือเปล่าเพราะภาคนี้มีการวางเรื่องที่แปลกจากเดิม เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับฮอลลีวู้ดที่นำเรื่องจริงของซีดนี่ย์ที่เกิดขึ้นที่เมืองวู๊ดสโบโรว์มาทำเป็นหนังด้วย ดังนั้นตัวละครที่เล่นเป็นนักแสดงใน Stab 3 หน้าตาจึงพากันคล้ายกับตัวละครดั้งเดิมใน Scream ภาคแรกกันไปหมด เหมือนยำภาคแรกมาใส่ภาคสามผสมกันไปยังไงไม่รู้ แต่ที่ฮาคือเกลนี่แหละที่เจอกับอีกเกล ก็คือเกลตัวจริงกับนักแสดงที่เล่นเป็นเกล อยากจะบอกว่าในหนังนี่กัดกันเองได้สนุกดีพาขำเล็กขำน้อยกันไปแบบไม่มีใครยอมใครตามนิสัย นับว่ายังอุตส่าห์หามุขมาคลายอารมณ์ซีเรียสได้อย่างเนียนๆ ถ้าอยากจะให้อมยิ้มจริงๆต้องให้เกลกับดิวอี้จับมือคู่กันนี่สิถึงจะเหมาะสม ทำให้ตัวเองพาลคิดไปทันทีว่าจะรักกันชอบกันทำไมมักต้องมีเหตุการณ์แบบนี้ด้วยเสมอด้วยล่ะ แต่เชื่อว่าคู่นี่น่ารักกันจริงและแอบเชียร์ให้สมจริงเสียทีเถอะ

Kevin Williamson เป็นเจ้าของบทดั้งเดิมมาตั้งแต่ภาคแรกจวบจนภาคสอง ส่วนภาคสามก็ยังเขียนให้เช่นเคยเพียงแค่ออกมาคร่าวๆเป็นพล็อตเท่านั้นยังไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก ส่วนเหตุผลที่ทำได้แค่พล็อตมาจากปัญหางานเยอะจนปั่นงานเขียนไม่ทันทำให้ต้องต่ออีกให้ Ehren Kruger มาขัดเกลาบทให้ออกมาสมบูรณ์ ซึ่งการเกลาบทนั้นได้ถูกปรับเปลี่ยนจากดั้งเดิมไปพอสมควรกับเรื่องสเกลเนื้อเรื่องของสถานที่จากตอนแรกเรื่องจะไปเกิดขึ้นที่เมืองวู๊ดส์โบโรว์ โดยมาจากกองถ่ายหนัง Stab ยกทีมมาถ่ายหนังภาคใหม่ในสถานที่จริงแบบที่เคยเกิดขึ้นในภาคแรก จากนั้นโกสต์เฟซจะโผล่มาแทงเหยื่ออีกครั้งตามสเต็ป ดั้งเดิมยกมาถ่ายที่จริงแต่พอเปลี่ยนแปลงผลคือยกมาถ่ายที่ฮอลลีวู้ดแทน เหมือนเป็นการบอกนัยๆอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการเติบโตของหนังที่ค่อยให้สเกลใหญ่ขึ้นจากเมืองเล็กๆของกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นเรื่องภายใน จากนั้นมาเป็นระดับมหาลัยที่เริ่มเปิดสังคมมากขึ้นจนเป็นการเชื่อมโยงหลายๆสิ่งเข้าด้วยกัน แล้วลงเอยด้วยการไปสร้างชื่อเสียงในฮอลลีวู้ดที่นำเรื่องจริงมาดัดแปลงเป็นหนัง คิดว่าน่าจะเป็นการกัดจิกเบาๆเกี่ยวกับฮอลลีวู้ดที่ชอบเอาชีวิตจริงมาทำหนัง เห็นได้ว่าซีดนี่ย์เองยังช็อกอยู่บ้างหลังจากเข้ามาเห็นฉากบ้านหลังเก่าที่ตัวเองเคยอยู่สมัยใน Scream ภาคแรกแล้วยังปมในใจเกี่ยวกับแม่ตายอีก ทำให้ซีดนี่ย์สะเทือนใจไปเยอะอยู่เหมือนกันที่ถูกรื้อฟื้นความทรงจำเรื่องร้ายๆโดยไม่ได้ตั้งใจ


จะว่า Scream 3 ไม่สนุกตามปากต่อปากว่าคงไม่ใช่ซะทีเดียว อันที่จริงเป็นการสรุปที่สนุกใช่ย่อยในการทำให้ซึ้งกับคำว่าไตรภาคด้วยกฎที่ถูกตั้งขึ้น(อีกแล้ว) อย่างเช่น เนื้อเรื่องมักจะวนกลับไปหาภาคแรกเพื่อเก็บรายละเอียดในส่วนที่ยังไม่ได้ขยาย มีเรื่องไม่คาดฝันยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ตัวละครเอกที่ว่ารอดจากภาคก่อนอาจไม่รอดเพราะมันคือบทสรุป ประเด็นพวกนี้ต่างคือข้อเท็จจริงในหนังไตรภาคแต่ละเรื่องโดยเฉพาะอย่างแรกเลยที่ตัวหนังจะวนไปหาเหตุการณ์ก่อนภาคแรกเพื่อหาเหตุมาเสริมผลเพื่อปิดจ็อปอย่างสมบูรณ์แบบ

ลองทายสิว่ากฎพวกนี้มาจากไหนได้ถ้าไม่ใช่คนที่บ้าหนังจริงๆ ในเนื้อเรื่องนอกจากตัวละครในภาคก่อนๆที่เหมือนจะเซียนหนังแล้วก็ไม่มีใครมีความรู้ในภาคนี้เลยสักคนเพราะต่างเป็นตัวละครที่ดูหนังกับเล่นหนังเท่านั้น ทำให้ไม่มีตัวละครที่ดูด้วยความตั้งใจจนถึงขั้นวิเคราะห์ได้อย่างลึกซึ้งและเมื่อขาดตัวละครเช่นนี้ไปการสืบหาฆาตกรจะกลายเป็นเรื่องยากในทันที แล้วเชื่อไหมว่าสิ่งที่ภาคนี้ได้กระทำลงไปคือการเก็บตกในภาคสองที่สามารถนำมาใช้อย่างเนียบเนียนในฉากเปิดวีดีโอเพื่อดูในสิ่งที่ต้องดูเท่านั้น ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้ภาคนี้ออกมาสนุกกับการนำตัวละครที่ตายไปแล้วมาช่วยปริศนาในภาคนี้ ซึ่งไม่ใช่ใครแต่เป็นแรนดี้ (Jamie Kennedy) ประเด็นคือมาโผล่ได้ยังไงล่ะ เรื่องแบบนี้คงต้องขอให้ไปพิสูจน์เอาว่าแรนดี้ที่ตายในภาคสองมาทำอะไรในภาคสาม


ไม่ปฏิเสธเลยว่าทำไมภาคนี้แทนที่จะสนุกกับกลายเป็นภาคที่ด้อยที่สุดเหมือนหมดมุขไปแล้ว อย่างฉากวิ่งไล่ฆ่าที่ไม่มันส์สะใจเท่าไหร่นักแถมยังให้อารมณ์แบบนิ่มๆที่ฆ่ากันได้ง่ายผิดกับครั้งก่อนที่วิ่งกันหอบไปข้างหนึ่งและแสดงถึงความทุลักทุเลของเจ้าโกสต์เฟซอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่เกินคาดแต่คือคนเหมือนๆกันย่อมต้องมีเจ็บตัวหกล้มโดนฟาดกันบ้าง เอาจริงๆเลย Scream คือฆาตกรที่มีความเป็นปถุชนสูงมาก สามารถเป็นใครก็ได้หมดเพียงแค่มีแรงจูงใจพอที่จะฆ่าได้ ในขณะที่แรงจูงใจพวกเนี่ยจะเป็นอะไรที่ไม่เกินความคาดหมายสลับซับซ้อนใดๆอีกด้วย เช่น ภาคแรกทำไปเพื่ออยากแหกกฎหนังสยองขวัญอยากสร้างในสิ่งที่หนังสยองขวัญไม่ทำกันโดยมีแรงขับมาจากปมในใจลึกๆ กรณีเดียวกับภาคสองที่มาทำนองเดียวกันแต่เพิ่มแรงจูงใจที่ต้องทำคือการแก้แค้น เห็นชัดทันทีคือมันคือเรื่องใกล้ๆไม่ได้ไกลไปไหนเลยเพราะสุดท้ายทุกอย่างจะวนเวียนเข้าหากันเอง ในความเป็นปถุชนนี้แสดงออกถึงเหตุผลที่ทำไม่ใช่ทำเพื่อนึกสนุกอยากฆ่าก็ฆ่ากลายเป็นพวกโรคจิตไร้หลักการ

ก็ถือว่ายังสนุกอยู่นะภาคนี้แม้หลายสิ่งหลายอย่างจะดร็อปลงไปเนื่องด้วยมุขที่เล่นซ้ำก็กลายเป็นรู้ทางกันไปหมดแล้ว ความเข้มข้นถูกแปรเป็นแนวสืบสวนไม่มีฉากไล่ฆ่าให้นึกสะใจอย่างครั้งก่อน ตัวละครถูกละเลยคงไว้แต่หน้าตาเดิมๆในขณะที่ตัวละครใหม่พากันเป็นส่วนหนึ่งเพื่อฉากฆ่าคั่นเวลา ข้อเสียที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาคนี้แตกต่างอย่างชัดเจนมากที่สุดรวมถึงทำให้ความสนุกลดลงไปด้วย


แต่เชื่อเหอะว่าการจับประเด็นต่างๆที่ถูกมาใช้ช่วยให้หนังสนุกขึ้นถ้ามีความเข้าใจกันมาบ้าง และชอบมากเลยที่มีการกัดจิกข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในภาคสองที่ว่าบทหนังหลุดในอินเทอร์เน็ตจนต้องมีการแก้ใหม่อย่างเร่งด่วน โดยมีการกัดจิกที่เห็นชัดๆ 2 กรณีคือมีการกล่าวถึง Stab 3 เกี่ยวกับตอนจบที่ทำเอาไว้ถึงสามรูปแบบเพื่อกันบทรั่วกับฉากลุ้นระทึกในบ้านที่เจ้าโกสต์เฟซได้ส่งแฟลกซ์มาที่บ้านทีละแผ่นก่อนจะเซอร์ไพร์สอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการสั่งสอนคนที่ทำให้คนเขียนบทเสียเวลามานั่งปั่นงานใหม่ เชื่อว่าต้องมีคนชอบไม่มากก็น้อยเพราะภาคนี้เดินเรื่องเร็วประติดประต่อไปได้เรื่อยๆไม่สะดุดแถมยังวางตัวละครไม่ให้เป็นที่น่าไว้วางใจกันอีกเพียบ แม้จะลงล็อคเข้าสูตรหนังอยู่กันรอดแยกหมู่ตายก็ตาม

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)