Rocky III (1982) ร็อคกี้ 3 ตอน กระชากมงกุฎ

Rocky III (1982) | ร็อคกี้ 3 ตอน กระชากมงกุฎ | B+
Director: Sylvester Stallone
Genres: Drama | Sport
 
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"การเป็นแชมป์มันยาก แต่เทียบไม่ได้เลยกับการรักษาแชมป์"
 
หลังจากโค่นอพอลโล ครีด (Carl Weathers) ลงได้สำเร็จก็สร้างปรากฎการณ์ทำให้ร็อคกี้ บัลบัวร์  (Sylvester Stallone) กลายเป็นคนดังและเป็นขวัญใจประชาชนชาวอเมริกาในแบบที่ใครก็ร้องเรียกชื่อเขาไม่ขาดสาย ซึ่งนั้นทำให้ร็อคกี้ได้ค้นพบตัวเองอีกครั้งว่าอาชีพมวยเหมาะสมกับตัวเขามากที่สุด จึงตัดสินเลือกเส้นทางนี้ต่อไปด้วยการรักษาแชมป์ต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงจุดอิ่มตัวและคงถึงเวลาต้องแขวนนวมอย่างจริงจังเสียที ทว่าเกิดเรื่องขึ้นเมื่อคลับเบอร์ แลง (Mr. T) มาขอท้าชกเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งกว่า ถ้ามองเนื้อเรื่องภาคนี้จะเห็นได้อย่างหนึ่งคือความไม่สมหวังของร็อคกี้ที่อยากจะพักลาวงการมวยแต่ไม่เคยได้เลยสักครั้งเดียวเพราะใครๆก็อยากเข้ามาท้าชกเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองนั้นเก่งกว่าและร็อคกี้เป็นเพียงนักมวยที่เคยไร้ชื่อเสียงที่ได้เป็นแชมป์เพราะโชคช่วย ถึงอย่างงั้นตัวร็อคกี้ได้แสดงความสามารถตัวเองชัดเจนในการรักษาตำแหน่งที่ยาวนานจนคิดว่าสมควรแก่เวลาเปลี่ยนมือให้คนอื่นได้เป็นแชมป์กันเสียบ้าง ด้วยเหตุนี้เองจึงสร้างความไม่พอใจให้กับคลับเบอร์ผู้พยายามฝึกซ้อมหนักและชกมวยชนะมาตลอดเพื่อหวังไต่อันดับอย่างเขาต้องถึงกับไม่พอเป็นอย่างสูง เนื่องจากสิ่งที่พยายามมาโดยตลอดกำลังจะสูญเปล่า เมื่อร็อคกี้กำลังจะประกาศอำลาวงการเท่ากับสิ่งที่คลับเบอร์ทำคือหมดความหมาย สำหรับคลับเบอร์แล้วร็อคกี้เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งเพียงอย่างเดียวที่ต้องโค้นให้ได้และคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งของโลกที่คิดว่าเหมาะสมกับเขาที่สุด ทางด้านร็อคกี้ที่จะเลิกชกสุดท้ายต้องกลับมาขึ้นสังเวียนอีกครั้งโดยจะเป็นการปิดฉากด้วยชัยชนะที่แท้จริงของเขาเองและให้คำตอบว่าตัวเขาสามารถชนะได้ทุกคนไม่ว่าจะอันดับไหนก็ตาม แต่แล้วความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ร็อคกี้คิดเมื่อเขาแพ้ แพ้อย่างหมดรูปทั้งกายและจิตใจ


Rocky III จะมีการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันออกไปเมื่อเทียบกับสองภาคก่อนโดยเฉพาะในตัวร็อคกี้ที่กลายเป็นคนดังและติดอยู่ในกระแสขวัญใจชาวอเมริกา อีกทั้งยังเป็นภาคที่เริ่มเรื่องด้วยความมั่นใจของร็อคกี้ผู้เป็นแชมป์อันดับหนึ่งราวกับไม่มีใครหน้าไหนจะมาโค้นได้อีกเพราะได้มีการเล่าในส่วนการรักษาแชมป์จากนักมวยมากมาย ซึ่งผลออกมาคือเขายังคงชนะจนถึงทุกวันนี้ราวกับความพ่ายแพ้ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่ชิงเข็มขัดมาจากอพอลโลได้ ด้วยความมั่นใจจากการชนะอพอลโลทำให้เขาเลือกจะเป็นนักมวยต่อไปตามความฝันและชีวิตที่ดีขึ้น ยิ่งชนะก็ยิ่งได้ใจจากประชาชนและยังเป็นการช่วยส่งเสริมชีวิตร็อคกี้ให้สุขสบายภายหลังอีกด้วย นอกจากนี้อะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้นก็กลายความยิ่งใหญ่ของใครหลายคนขนาดถูกจับมาเปรียบเทียบบนสังเวียนหลอกๆกับนักมวยปล้ำอันดับหนึ่งเพื่อแสดงจุดยืนความแข็งแกร่งที่ไม่ว่าจะมาจากกีฬาประเภทไหนแต่ถ้าพูดถึงความโด่งดังก็ล้วนอยากสร้างชื่อเสียงแก่ตัวเอง กระนั้นความพิเศษของฉากนี้ไม่ใช่แค่บอกถึงความแข็งแกร่งหรือวิธีการต่อสู้ตามฉบับกีฬาของตัวเองแต่ยังสอดแทรกการเอาใจผู้ชมที่ดูสังเวียนนี้เป็นศึกที่ดุเดือดระหว่างนักมวยกับนักมวยปล้ำ แน่นอนว่าสำหรับใครก็ตามที่ดูคิดว่าเป็นความมันส์อย่างหนึ่งที่หาได้ยากบนพื้นฐานประเภทกีฬา แต่สำหรับคนที่กำลังต่อสู้บนเวทีไม่ได้มองเป็นเรื่องที่ท้าทายเช่นคนดูส่วนใหญ่คิดกัน เนื่องจากสิ่งที่ทำเป็นเพียงการเอนเตอร์เทนให้แฟนๆชื่นชอบ เหตุผลนี่เองกลายเป็นว่าเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกลับกลายเป็นจริงและใครๆต่างชื่นชอบในความไม่ธรรมดาที่ให้ความสนุกเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง ที่สำคัญไม่ใช่แค่ความแปลกใหม่ในการเล่าเรื่องหรือการจับคู่เพื่อเอนเตอร์เทนเท่านั้นที่รู้สึกได้ในตัวหนังเพราะในชีวิตจริงกับผู้ชมคงรู้สึกสนุกกันไม่น้อยที่ได้เห็นนักมวยปล้ำตัวจริงแทนที่จะเป็นนักแสดง คนนั้นคือ Hulk Hogan นักมวยปล้ำร่างใหญ่ที่ทำให้ Sylvester Stallone ดูเล็กไปทันทีเมื่อยื่นคู่กัน จะอย่างไรเสียนี่ถือเป็นนัยยะเรื่องตลกสำหรับคนในวงการที่ต้องการบอกว่าพวกเขาอยากมอบความสุขที่ผ่อนคลายบ้าง


เหมือนประวัติซ้ำรอยตามอพอลโลในภาคแรกที่คิดว่าตัวเองเก่งเกินกว่าใครจะมาล้มได้ก่อนจะเจอคู่ต่อสู้หนักมือจนสุดท้ายต้องแพ้เพราะตัวเอง ร็อคกี้ไม่ต่างกันที่คิดว่าไม่มีนักมวยคนไหนมาล้มได้เพราะผ่านความยากลำบากและความทรหดกว่าใครๆและเมื่อเขามาถึงจุดที่สบายด้วยชื่อเสียงเงินทองก็สมควรอำลาในผลประโยชน์ที่ได้มามากพอ อย่างไรเสียการเป็นแชมป์ของร็อคกี้ใช่จะถูกใจกับนักมวยคนอื่นๆที่ใฝ่ฝันอยากเป็นแชมป์ที่ยิ่งใหญ่เพราะกับบางคนนั้นพยายามแทบตายแต่ไม่ได้อะไรเลยนอกจากชนะคู่ชก ฉะนั้นแล้วเมื่อไรจะชนะมากพอไต่ไปถึงสู้กับแชมป์ได้ นี่อาจเป็นฝันสูงสุดของนักมวยว่าตัวเองไร้เทียมทานแค่ไหนเมื่อได้สู้กับแชมป์ ประเด็นของร็อคกี้เกิดจากภาคแรกที่ได้รับโอกาสพิเศษกว่าคนอื่นด้วยการขึ้นชกกับแชมป์ทั้งที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในสังกัดนอกจากเป็นนักมวยไร้อันดับไร้การแข่งขัน ดังนั้นแล้วสภาพของร็อคกี้ไม่ต่างกับคนธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างนักมวยคนอื่นที่ชกมาหลายยกหลายครั้งแต่ยังไม่ได้ตอบรับในชื่อเสียงที่ดีพอ ผิดกับร็อคกี้ที่มีรายชื่อไปโผล่บนศึกกับแชมป์โลกทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้มีชื่อเสียงหรือน่าสนใจแต่อย่างใดเลยสักนิด สิ่งที่ผู้ชมเห็นคือชีวิตที่เรียบง่ายและไม่มีอนาคตของตัวเอง

เมื่อเทียบกับคลับเบอร์ในมุมมองที่ต่างกันก็ยิ่งเห็นชัดว่าโอกาสควรเกิดขึ้นได้ทุกคนไม่ใช่แค่กับร็อคกี้เพียงคนเดียว ระหว่างที่ร็อคกี้ประกาศจะแขวนนวมก็เป็นการปรากฎของคลับเบอร์ที่ไม่พอใจทั้งที่พยายามฝึกซ้อมและล้มคู่แข่งมานักต่อนักแต่ไม่อาจเอื้อมถึงพอจะไปสู้ได้สักที ฉะนั้นแล้วคลับเบอร์จึงรู้สึกไม่ยุติธรรมแล้วอยากสู้กับร็อคกี้ด้วยโอกาสแบบเดียวกับที่อพอลโลเคยให้เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเองก็เก่งมากกว่าใช้ดวงชก และด้วยเหตุนี้เองจึงได้สะท้อนในมุมมืดที่น้อยนักจะแสดงออกมาของมิคกี้ (Burgess Meredith) นั้นคือการรักษาแชมป์ของร็อคกี้เกิดจากการคัดนักมวยที่คุณภาพด้อยกว่า ที่แล้วมาจึงไม่ต่างกับชกคนที่อ่อนแอกว่าอย่างไม่รู้ตัวจนลงว่าตัวเองคือผู้ที่ผ่านอุปสรรครักษาตำแหน่งที่ยาวนานได้


การตัดสินใจขึ้นชกครั้งสุดท้ายของร็อคกี้กับคลับเบอร์ไม่ใช่เป็นเรื่องน่ายินดีแม้จะเป็นทิ้งทวนก็ตาม เนื่องจากมิคกี้มองเห็นคู่ต่อสู้นั้นโหดร้ายราวกับเครื่องจักรที่่เกิดมาเพื่อฆ่า เท่ากับว่ามิคกี้ที่เสมือนความมั่นใจสำคัญยังสั่นคลอนแล้วอะไรคือความแน่นอนของชกครั้งสุดท้ายของร็อคกี้ สังเกตเอาว่าความมั่นใจของร็อคกี้ภาคนี้เกิดจากตัวเองมากเกินไปจนหลงคิดว่ายังทำด้วยตัวเองคนเดียวได้เพียงขอแค่ทำเช่นเคยก็ชนะผ่านไปได้แล้ว ทว่าบทเรียนครั้งนี้ทำให้ตระหนักได้คือไม่ใช่ใครจะเก่งไปกว่าทุกคน จะต้องมีคนที่เหนือกว่าเสมอขอแค่มีโอกาสเช่นเดียวกับสองภาคแรกที่ร็อคกี้ได้รับ ในขณะที่เนื้อเรื่องคราวนี้โอกาสเป็นของคลับเบอร์ โอกาสในการขึ้นสังเวียนอาจคล้ายกันแต่แรงจูงใจยังคงแตกต่างราวกับคนต่างถิ่น ร็อคกี้ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของชีวิตนักสู้ คลับเบอร์ต่อสู้เพื่อความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว การที่ร็อคกี้แพ้อย่างหนึ่งมาจากความประมาทความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ อีกอย่างหนึ่งมาจากการฝึกซ้อมที่ไม่เต็มที่จากสื่อที่เข้ามาสัมภาษณ์ ถ่ายรูป และขอลายเซ็น ผิดกับสองภาคก่อนที่ฝึกซ้อมด้วยตัวเองกับมิคกี้ ไม่มีใครมาก่อกวนสมาธิเพราะไม่มีใครมาขัดจังหวะ อีกอย่างที่สำคัญคือกำลังใจจากคนรอบข้างที่รู้สึกได้เลยว่าภาคนี้มีความไม่มั่นใจแฝงอยู่ในมิคกี้ พอมิคกี้ไม่คิดว่าร็อคกี้ชนะก็เหมือนถูกตัดกำลังใจไปมาก แม้ร็อคกี้จะเชื่อมั่นในตัวเองแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้มแข็งอย่างเมื่อก่อนที่มีใจสู้ล้นเหลือ และที่น่าเสียดายสำหรับร็อคกี้คือการเสียมิคกี้ การแข่งขันครั้งนี้ไม่มีมิคกี้คอยเชียร์อยู่ข้างสนามเพราะอาการโรคประจำตัวกำเริบ ด้วยความเป็นห่วงนี่เองร็อคกี้จึงไม่แตกต่างกับคนไร้จิตวิญญาณที่มีร่างกายแต่ใจโหยหามิคกี้ เมื่อแพ้อย่างหมดรูปสิ่งแรกคือการหามิคกี้โดยพยายามเก็บความรู้สึกแพ้หมดรูปก่อนจะบอกว่าตัวเองชกอย่างที่เคยชกตามแบบที่มิคกี้สอนเขาเสมอ ดังนั้นในความคิดของมิคกี้จึงคิดว่าร็อคกี้ที่ประหนึ่งลูกชายได้ชนะอย่างที่เขาหวังก่อนสิ้นใจ


ในฉากสิ้นใจของมิคกี้สำหรับใครที่ติดตามมาอย่างดีในสองภาคก่อนจะเข้าใจเรื่องราวความสัมพันธ์ของร็อคกี้กับมิคกี้ไม่ได้ต่างจากพ่อลูกที่เชื่อมั่นใจและดูแลต่อกัน ซึ่งพล็อตดราม่านี้กลับไปคล้ายกับบทในภาคสองที่เอเดรียน (Talia Shire) นอนหมดสติในโรงพยาบาลส่งผลกำลังใจต่อร็อคกี้ก่อนจะฟื้นขึ้นมาให้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ทว่าในมุมมองของมิคกี้แตกต่างออกไปเพราะไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกครั้งและต้องจากไปด้วยความปลื้มใจทั้งที่ร็อคกี้อยากจะบอกความจริงแต่ไม่กล้าบอกจนสิ้นลมหายใจไปเสียก่อน เมื่อร็อคกี้เสียคนสำคัญในชีวิตไปก็ไม่ต่างกับชีวิตของเขาที่ตายตามไปด้วย กลายเป็นว่าเป็นคนหมดกำลังใจไร้ทิศทางที่จมอยู่กับความเศร้าเสมือนตราบาปที่ตัวเองทำผิดแต่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป แม้จะมีเอเดรียนกับพอลลี่ (Burt Young) คอยหนุนกำลังใจแต่ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นนัก ทว่าการแพ้ของร็อคกี้กลายเป็นเรื่องไม่ชอบใจของอพอลโลที่ต้องการให้ร็อคกี้กลับมาผงาดบนสังเวียนอีกครั้งจึงยอมเป็นเทรนเนอร์ฝึกซ้อมเพื่อศึกล้างตากับคลับเบอร์ ในระหว่างการฝึกซ้อมกลับสร้างความไม่พอใจกับทุกคนโดยเฉพาะอพอลโลเนื่องจากตัวร็อคกี้เองไม่มีกะจิตกะใจอยากฝึกเลยแม้แต่น้อยและพยายามพูดถึงมิคกี้เหมือนไม่ยอมรับวิธีของอพอลโลทั้งที่เต็มใจช่วย แน่นอนว่าการต่อสู้ในแต่ละภาคจะทั้งคล้ายกันและแตกต่างกันออกไปตามพล็อตเรื่อง แต่ในภาคนี้จะเป็นการต่อสู้ของร็อคกี้ที่ต้องสู้กับตัวเองก่อนจึงจะไปสู้กับคลับเบอร์ ฉะนั้นในแง่ความหดหู่หมดกำลังใจสำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้จะหนักหนาสาหัสพอตัว สำหรับร็อคกี้จะไม่มีใครเข้ามาร่วมสู้แบบครั้งก่อนอีกแล้วเพราะต้องสู้ด้วยสามัญสำนึกของตัวเอง ต้องค้นหาความหมายที่แท้จริงของการต่อสู้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าบนเวที แม้ในความเดี่ยวดายยังมีคนคอยหนุนกำลังใจไม่ขาดสายคือเอเดรียนที่ยังเชื่อมั่นให้กำลังใจเพราะเชื่อว่าคนที่รักทำได้แน่นอน


สิ่งที่ชอบที่สุดใน Rocky III คือการได้เห็นอพอลโลอีกครั้งในมุมมองมิตรภาพไม่ใช่ศัตรูอาฆาต หลังจากร็อคกี้ถูกคว้าตำแหน่งก็เหมือนคนหมดตัวไม่มีอะไรเหลือแต่มีอพอลโลเข้ามาช่วยตั้งแต่จัดการแข่งขันตลอดจนเป็นเทรนเนอร์ลงมาสอนด้วยตัวเอง ประเด็นข้อคิดในภาคนี้มาจากอพอลโลที่เคยแพ้ร็อคกี้และได้รับความเจ็บช้ำใจแต่ยังสู้ต่อแม้จะหมดวาระไปแล้วก็ตาม ซึ่งนั้นทำให้อพอลโลยังเป็นอพอลโลที่แพ้แต่ยังชนะอยู่ได้ ในตอนที่เข้ามาฝึกซ้อมแล้วร็อคกี้ทำตัวเหมือนไม่เต็มใจฝึกเพราะยังรู้สึกหดหู่สะเทือนใจ อพอลโลเองได้ระบายความในใจในตอนที่แพ้ออกมาว่าตัวเองก็เจ็บไม่ต่างกัน

ในมุมมองเผยความในใจแบบลูกผู้ชายอาจยังไม่เรียกร้องให้ร็อคกี้มีไฟขึ้นมาแต่กับผู้ชมนี้จะเป็นมิติอีกด้านหนึ่งของตัวละครที่เสมือนตัวรองมีบทบาทความสาหัสไม่ต่างกันกับตัวละครพระเอก การฝึกซ้อมกับอพอลโลจากศัตรูคู่ชกกลายเป็นเพื่อนคือความพิเศษอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ การได้เห็นทั้งคู่ฝึกซ้อมกลายเป็นฉากสร้างความประทับใจไม่ต่างกับภาคก่อนหน้านี้เพียงแค่มีความเป็นพวกพ้องมากขึ้นไม่ได้เด็ดเดี่ยวอีกต่อไป นอกจากจะจัดทำเนื้อเรื่องได้แสนทรหดกับชีวิตที่แสนเศร้าของร็อคกี้แล้วยังแสดงความกลัวภายในจิตใจของร็อคกี้ออกมาอีกด้วย ดังนั้นถ้าคิดว่าร็อคกี้กลัวไม่เป็นต้องบอกว่าไม่ใช่


ร็อคกี้ไม่ต่างกับทุกคนที่กลัวเป็นแต่จะกลัวยังไงให้เป็นประโยชน์อันนี้คือสิ่งสำคัญ ในตัวร็อคกี้ไม่ได้กลัวความพ่ายแพ้แต่กลัวการสูญเสียความหวังที่ตัวเองแบกรับภาระ สรุปเลยว่าร็อคกี้ภาคนี้ยังคงเป็นร็อคกี้ที่ดีเยี่ยมไม่แพ้สองภาคก่อนที่ยังอุดมไปด้วยการสู้ชีวิต อาจจะมีบางฉากที่ยังไม่หนักแน่นเพราะเล่าเรื่องไปเยอะแล้วในภาคก่อน กระนั้นเป็นภาคที่สร้างความประทับใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แถมยังมีเพลงประกอบ Eye of the Tiger จากวง Survivor มาใช้ได้อย่างทรงพลัง จากเดิมจะใช้เพลง You're the Best ของ Joe Esposito ที่ภายหลังถูกนำไปใช้ประกอบใน The Karate Kid (1984) และเพลงประกอบประจำตัว Gonna Fly Now ประพันธ์โดย Bill Conti ที่ยังสร้างกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ สุดท้ายนี้ไคล์แม็กซ์การชกระหว่างร็อคกี้กับคลับเบอร์ยังคงความมันส์และตื่นเต้นเช่นเคย ที่เพิ่มคือการชกได้อรรถรสและดูมีการวางแผนมากขึ้น สุดท้ายอีกรอบคือฉากจบที่เชื่อว่าแฟนๆต้องชอบเพราะเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างร็อคกี้กับอพอลโล ส่วนจะเป็นยังไงต้องหาดูเองเท่านั้น!

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)