Better Watch Out (2016) โดดเดี่ยว เดี๋ยวก็ตาย

Better Watch Out (2016) | โดดเดี่ยว เดี๋ยวก็ตาย
Director: Chris Peckover
Genres: Comedy | Crime | Horror | Thriller
Grade: B

เดิมทีหนังใช้ชื่อว่า Safe Neighborhood พล็อตจะแนว Home Invasion เป็นเรื่องของหญิงสาวชื่อ แอชลี่ (Olivia DeJonge) พี่เลี้ยงเด็กที่ต้องมาดูแล ลุค (Levi Miller) หนุ่มน้อยวัย 12 ขวบที่อยู่เพียงลำพัง ทว่าในค่ำคืนเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสต้องกลายเป็นเรื่องผวาชวนสยองขวัญ เนื่องจากมีโจรบุกบ้าน ซึ่งทั้งสองพยายามวางแผนเอาตัวรอดจากโจรลึกลับรายนี้โดยหารู้ความจริงไม่


"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

มีความคล้ายจนนำเปรียบเทียบกับ Home Alone (1990) เพราะพูดถึงในวันคริสต์มาส แต่จุดเด่นคือการวางแผนด้วยกับดักที่ช่วยพลิกสถานการณ์จากเด็กที่ไร้หนทางสู้มาเป็นคนที่เหนือกว่าด้วยกำลังสมอง ซึ่งจะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ได้หยิบจุดเด่นดังกล่าวมาใช้ในลักษณะที่พลิกตาลปัตรอย่างมาก ทว่าไม่ใช่ในทางที่ดีเลยสักนิดเดียว แต่เป็นในทางตรงข้ามที่สุดขั้วจนหลายคนอาจอุทาน"เด็กนรก"ได้ไม่ยากเย็น ดังนั้นจะมาโทนน่ารักตลกขบขันต้องบอกว่าคิดผิดมหันต์

สำหรับช่วงแรกจะไม่มีมากแค่พี่เลี้ยงเด็กมาเฝ้าเด็กในคืนที่พ่อแม่ไม่อยู่ แต่ไปๆมาๆเจ้าเด็กที่หน้าตาหล่อเหลาและน่ารักเริ่มแสดงพฤติกรรม"แก่แดด" ซึ่งในสายตาของคนที่โตกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดหากจะมีเด็กมานั่งใกล้ๆชนิดแนบเนื้อหรือการซบไหล่เบาๆ สิ่งที่เห็นไม่ต่างไปกับญาติพี่น้องที่ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าในความคิดของเด็กไม่ได้คิดเช่นนั้นอย่างที่คนโตหรือใครๆคิด เนื่องจากสิ่งที่คิดหรือทำอยู่ล้วนเป็นความต้องการทางเพศล้วนๆ อาจจะไม่ถึงขั้นเรื่องเซ็กซ์ แต่พยายามรุกเร้าอยากได้พี่เลี้ยงมาเป็นแฟนให้ได้ โดยแผนการก็รวมถึงโจรบุกบ้านที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ใช่เด็กที่ต้องมาถูกปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว(จะโชว์หล่อว่าตัวเองก็โตพอจัดการโจรได้)


เมื่อรู้ว่าโจรคือเรื่องแต่งที่ตั้งใจมาอำพี่เลี้ยงตัวเองเพื่อดึงมาเป็นแฟนต้องพังลงก็พลิกเนื้อเรื่องทันที จากแผนที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากต้องพลิกตลบด้วยความจริงจังของลุคที่ต้องการแสดงถึงความตั้งใจและไม่ยอมรับผิดชอบที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจนที่สุดกลายเป็นความบันเทิงที่นึกอยากทดลองกระทำบางสิ่งกับพี่เลี้ยงด้วยการจับมัดนั่งกับเก้าอี้ที่ชวนให้นึกถึง The Loved Ones (2009) ที่พอรู้ว่าผิดหวังในความรักจะต้องหาที่ระบายสักที่(แต่ไม่ได้โหดอะไรขนาดนั้น) ซึ่งหลังจากนี้มีแต่เรื่องให้เซอร์ไพรส์

ในฐานะหนังสยองขวัญที่เกี่ยวกับเด็กมักจะชวนให้นึกถึง Orphan (2009) ที่ใช้ตัวละครเป็นเด็กนำเรื่องเสนอความสยองขวัญผิดกับรูปลักษณ์ที่น่ารัก ซึ่งเทียบในแง่ความโหดก็พอตัวด้วยกันทั้งคู่ที่หน้าตายและความรู้สึกที่ไม่แยแสในสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่า Better Watch Out ไม่ได้ถ่ายทอดความสยองให้เห็นเต็มตา แต่เลือกหลบมุมกล้องตลอดเวลาเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกผ่านตัวละครให้เชื่อถึงความโหดและความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริง ไม่จำเป็นต้องเห็นเต็มตา แต่ให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยให้ผู้ชมสัมผัสความรู้สึกนึกคิดจุดนั้นเอง นับเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นในหนังสยองขวัญมานานแล้วที่ขายความโหดแต่ไม่มีฉากสยองขวัญให้เห็นชัดๆ(เน้นขายความหล่อ)


สิ่งที่น่าตบมือคือการทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ทำให้ไม่มีใครเหนือกว่าใคร แต่เป็นใครมีโอกาสหรือไหวตัวทันได้ก่อนคือคนที่ชนะ ซึ่งต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับไม่มีใครยอมใครกันง่ายๆจนคิดว่าจะจบลงกันอีท่าไหนกันแน่ ทำให้เกิดความลุ้นตื่นเต้นตลอดเวลาที่เดี๋ยวคาดเดาได้เดี๋ยวเหนือความคาดหมาย อีกทั้งยังทำให้ทุกอย่างดูสดใหม่กับวิธีการต่างๆที่นำไปสู่บทสรุปที่ลงตัวจากแผนที่วางเอาไว้ทั้งหมด ถือเป็นการเตรียมความพร้อมที่ยกนิ้วให้กับเด็กอย่างเจ้าเสียเหลือเกิน

Better Watch Out เริ่มแรกก็น่ารัก แต่เมื่อทุกอย่างเข้าที่จะทวีความพิศดารมากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นรู้สึกว่าความรุนแรงที่นำเสนอมานั้นถูกจำกัดจนไม่สยองตามที่หวังไว้เท่าไร ในทางกลับกันรู้สึกออกมาพอดีกับตัวหนัง ไม่มากไปหรือน้อยไป ที่สำคัญไม่หลุดโทนในไคล์แม็กซ์ที่เรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ออกมาตามแผนได้อย่างลงตัวไร้ข้อกังขา ที่น่าชื่นชมคือ Levi Miller แสดงเป็นเด็กมีปัญหาที่ไม่ใช่แค่หล่อแต่ฉลาดที่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆทั้งในและนอกแผนได้อย่างอยู่หมัด นับเป็นหนังสยองขวัญตลกร้ายที่ความร้ายกาจและพิษสงที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่สุดอารมณ์แต่สุดทางที่เล่ามาทั้งหมด

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)