![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjr2Q_COZ6Cizwlx2pClvejsMMunsxef-OOFYb-J_TDrKefu062t8Ke1CCWy1dLZ2YiO6yIp7PaXqajf0_j0NRxDsnAQjmsluaxu2qQ30hJxyVpzkfI70SK1ZNumAvI9WaI1Kwqt-RhemA/w432-h640/dark_phoenix_ver18.jpg)
Dark Phoenix (2019) | เอ็กเม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์
Director: Simon Kinberg
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: C
ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง แต่เผอิญหนัง X-Men เป็นหนังที่ดีตั้งแต่ภาคแรกและเรื่อยมาตลอด แม้บางภาคจะถูกมองเป็นสิ่งเลวร้ายอย่าง X-Men: The Last Stand (2006) ที่มีตัวละครมากมายและประเด็นที่จับยัดใส่อย่างเดียว ทำให้ดูล้นทะลักเกินกว่าจะกลับมาเก็บรายละเอียดได้หมด หรือ X-Men Origins: Wolverine (2009) ที่ดูธรรมดาและผิดเพี้ยนจนไม่เป็นที่จดจำ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnWe5WLrx20RWUQJcVOqRv3g9iBEyFvzNUReY9MMkPlciQ5kyudyy6kq_1cx1Ay7WapQ137BErYqjaEcJRjUhWepSD-QitmIzFkr3erPo4QPQIAR8_13LCea-5Jdgi2jQalrt1gN8Cc1E/w640-h262/tumblr_pnmfu8ylxg1uelgxao1_500.gif)
มีคุณภาพก็ย่อมมีเสียกันบ้าง ซึ่งวิธีแก้ปัญหาเห็นได้จาก X-Men: First Class (2011) พาไปทำความรู้จักกับเอ็กเม็นรุ่นแรก ต้นกำเนิดและสาเหตุมาจากไหน ตัวละครเป็นยังไง ทุกอย่างมีมิติและการเล่าเรื่องกระฉับกระเฉง ต่อมาThe Wolverine (2013) ได้แสดงความปุถุชนผ่านเชื้อชาติและวัฒนธรรม และที่เหนือกว่านั้นคือ X-Men: Days of Future Past (2014) ที่ต้องการสมานเนื้อเรื่องใหม่เพื่อลบล้างข้อผิดพลาด เป็นการเล่นกับเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนดูสดใหม่และเต็มที่อย่างมาก
เสน่ห์อย่างหนึ่งที่หนัง X-Men จะพกติดตัวมาด้วยคือการผสมผสานสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เช่น ประวัติศาสตร์ การเมือง ปัญหาสังคม เชื้อชาติ สีผิว ชนชั้น และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ X-Men ดูเป็นมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ ทุกอย่างดูจริงจังและส่งผลกระทบได้จริง เสมือนเหตุการณ์สมมติหากมีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ หรือ มิวแทนท์ (mutant) ขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-UtznDcf4bKCgrCgd9CRvni21qcRyLpYci1VcEd4lxw_EU5Ha6zlpN5aVC34QLoFZnsSSs37YUZnZv1rOBg6T5RlVqmNSz0I_QBSV9qUCVI692nay3Nq_6gZ1DmnPm0Zm-t1JFz_9-M4/w640-h278/Mistique.gif)
ประเด็นสังคมสอดแทรกอยู่เสมอ แม้บางภาคจะดูแย่ในสายตาแฟนการ์ตูนมาร์เวลหรือกับใครก็ตาม ทว่าไม่อาจปฏิเสธปมประเด็นที่คอยจุดชนวนให้คิดอยู่เสมอ ทำให้ทุกภาคจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อมาเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่าภาคนี้ทำให้ทุกอย่างถูกดูดกลืนหายไปเกือบหมด เสมือนต้นเรื่องที่ จีนเกรย์ (Sophie Turner) ดูดซับพลังเก็บไว้ที่ตัวเองคนเดียว ทำให้พลังหรือปมไม่ได้ไปไหนและถูกกักเอาไว้แค่นั้น สิ่งที่ X-Men: Apocalypse (2016) พยายามปูทางมาก็ดูไร้ความหมาย
ตอนที่ Disney ซื้อ Fox ทำให้เห็นชะตากรรม X-Men ฉบับนี้กับการรีบูทเพื่อรองรับจักรวาลมาร์เวล ฉะนั้นภาคนี้ที่เสมือนภาคสุดท้ายจึงมีความคาดหวังที่จะปิดได้อย่างทรงพลังและชวนน่าคิดถึง (ขณะที่เรื่องสุดท้ายจริงๆคือ The New Mutants (2020) แต่ถูกเลื่อนกำหนดฉายบ่อยครั้งจนเป็นที่หลงลืม)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAg4HnuArN-To4pQfcBzwW2OzeZmrEzgPxmHFq0tq_PUpX-pRlyWezHMC7Jmad7IZtDcPRoNUuG7OgCkIP9negYr3PX0VR5EOoeEXLCLNmgnpg9Aev3nbyG4ymbVWfcI9Gu09JOoLo0BY/w640-h260/dark%252Bphoenix%252BGIF4.gif)
ตอนดู Logan (2017) ทำให้เห็นความกล้าในการเล่าเรื่องที่ต่างจากทุกภาค โดยเฉพาะความซื่อตรงของตัวละครกับวิธีเล่าเรื่องที่แสดงความโหดดิบเถื่อน ฉะนั้นโลกที่มีความหวังมาก่อนจึงดูหดหู่ อีกทั้งเป็นการอำลานักแสดง Hugh Jackman ที่ผูกบทเป็น วูล์ฟเวอรีน ตั้งแต่ X-Men (2000) จนเป็นที่ติดตาอย่างไม่มีใครแทน ซึ่งหนังทำดีมีคุณภาพสมกับปิดฉากได้อย่างสมศักดิ์ศรี แน่นอนว่าอยากให้เป็นแบบนี้บ้าง แต่ทิศทางช่างสวนกันเหลือเกิน
Dark Phoenix เต็มไปด้วยความพยายามทำหลายอย่างจนดูฝืนใจตัวละครไปหมด ทำให้ทุกอย่างดูกระโดดและห่างไกลจากคำว่าคุ้นเคย ปมประเด็นที่เคยเสริมให้หนังมีน้ำหนักมาตลอดได้หลุดหายไป ทุกอย่างดูเป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่ไม่อาจเข้าถึงให้ลึกซึ้งเพียงพอ เช่น ชาร์ลส์ เซเวียร์ กับความคลางแคลงที่ต้องการดูแลคนที่มีพลังหรือคนกลายพันธุ์ แต่นั้นอาจต้องแลกกับการใช้พลังเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าสามารถทำอะไรได้บ้างและไม่เป็นภัยต่อประเทศ, อีริค หรือ แม็กนีโต (Michael Fassbender) ผู้มีความแค้นเสมอมา แต่เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่เพราะความแค้นไม่ใช่ทางออก และอีกหลายตัวละครที่บทดูง่ายเกินไป
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi7uSyYs0oxzDcl9dIio_0EdBqIByRa6_Ccz93Ewhw_kBNlmRP1yEpq23nhtGAUXZlk_i7K1EOvp-m2H4UhBpWi3juHxH-ndoySJUreHh-WLBrTI70eIMiQbtdp64bM_KdeNOW87lDGRgQ/w640-h260/1.gif)
อีกอย่างที่น่าผิดหวังคือฝ่ายตัวร้ายที่เป็นเอเลี่ยน ไม่มีมิติหรือสิ่งที่ดูแปลกตา มาเป็นสูตรสำเร็จอยากยึดพลังที่จีนเกรย์ดูดซับเอาไว้ บทบาทในเรื่องไม่โดดเด่นจนเป็นตัวประกอบที่มาปล่อยของในตอนท้าย ขนาดให้ Jessica Chastain มาแสดงโชว์หน้านิ่งหวังให้ดูน่าลึกลับก็ไม่อาจดึงความสนใจได้เท่าที่ควร (ถ้าไม่ใส่พลังให้ดูเว่อร์คงไม่มีอะไรให้พูดถึง)
แม้หลายอย่างน่าผิดหวังเพราะความฝืนใจและขัดใจเกือบตลอดทั้งเรื่อง แต่ได้ดีในฉากแอ็คชั่นที่พอหอมปากหอมคอ ยิ่งไคล์แม็กซ์ยิ่งสู้กันมันส์ เนื่องจากเป็นทีมเอ็กเม็นที่ไม่สมบูรณ์หรือวางแผนเตรียมพร้อมมาก่อน การแก้สถานการณ์จึงเดี๋ยวนั้นทันที เหตุนี้เองทำให้เป็นทีมมากขึ้นหลังจากปรับความเข้าใจกันแล้ว ตัวละครที่เป็นศัตรูมาก่อนได้ร่วมต่อสู้ ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจ แม้ดูเชยก็เข้าทางสำหรับหนัง X-Men ภาคสุดท้าย (ถึงจะง่ายและไม่ซาบซึ้งเลยก็ตาม)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilGXF9qrnVRuX9K5gOrCGCFLhlXuHZI0dxslXOD2_lFQztOVpnExX7o9nUGelbsY2xFAuyxdNsgKxQIRNnhIokok83AWJ90cQgmZCt2YBZaNpuLk8MZQhoV3BOzzCsnsMCVRJjvWba-_g/w640-h262/68747470733a2f2f73332e616d617a6f6e6177732e636f6d2f776174747061642d6d656469612d736572766963652f53746f7279496d6167652f31443845447859526279497254413d3d2d3739313533343332352e3135636165633235356332303835333832313034383038.gif)
ในความแย่ของหนังก็ใช่ว่าจะไม่มีดีซ่อนอยู่ ในที่นี่ขอยกให้กับ Soundtrack ประพันธ์โดย Hans Zimmer ที่ฟังแล้วโดดเด่นและแปลกจากหนัง X-Men ที่แล้วๆมาตรงที่ซ่อนด้านมืดเอาไว้ ได้ยินแล้วมีความลึกลับผสมกับความน่ากลัวที่ต้องการเอาจริงอย่างไม่เกรงใจใคร ทำให้สอดคล้องกับจีนเกรย์ที่มีพลังจิตแรงกล้าและร้อนแรงดุจฟีนิกซ์ ถ้าขาดดนตรีประกอบเหล่าแล้วตัวหนังจะขาดความหนักแน่นทันที
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAe1sVzgguuM-NmYqgZ6IAN1WWV8aXS_MM0QUBadPuZNXlCTort6SFw4L6cGLND_IOrhBzSAWGi89b-R9lkpdyZ1uI0V4hFkuSLhpoxZTbjM4vaNmo8B2istwqghNCJEBhSWJJ9A0stjg/w448-h640/dark_phoenix_ver3.jpg)