Dolittle (2020) ด็อกเตอร์ ดูลิตเติ้ล

Dolittle (2020) | ด็อกเตอร์ ดูลิตเติ้ล
Director: Stephen Gaghan
Genres: Adventure | Comedy | Family | Fantasy
Grade: C

สำหรับนักแสดง Robert Downey Jr. ตั้งแต่ The Judge (2014) เป็นต้นมานั้น ไม่ได้รับบทบาทอื่นในหนังเรื่องใดอีกเลย นอกจากเป็น โทนี่ สตาร์ค หรือ ไอรอนแมน จนเป็นภาพติดตาที่มองมุมไหนยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ จนกระทั่ง Avengers: Endgame (2019) หนังเรื่องสุดท้ายที่ต้องสวมเกราะเหล็กพิทักษ์จักรวาลในฐานะตัวละครหลักสำคัญ


พอจบจากบทซูเปอร์ฮีโร่สวมเกราะไฮเทคกลายเป็นเรื่องยากที่จะลบภาพเดิมออกไป เช่นเดียวกับ Dolittle (2020) ที่ยังคงลายเซ็นคาแรคเตอร์เดิมอยู่บ้าง แม้จะพยายามปรับให้ต่างจากเดิม ด้วยการเปลี่ยนมหาเศรษฐีสวมเกราะมาเป็นหมอรักษาสัตว์ที่พูดกับสัตว์ได้ทุกชนิด ทว่าความกวนและอัจฉริยะเป็นสิ่งที่คล้ายกัน ทำให้ระหว่างที่ดูยังเผลอคิดว่าจะโชว์ความล้ำสมัยอะไรอีกหรือไม่ ทั้งที่ยุคสมัยคนละเรื่องคนละราวเลยด้วยซ้ำ

แม้สิ่งที่เห็นจาก Robert Downey Jr. ยังคงติดตาเป็นไอรอนแมน กระนั้นความพยายามที่จะสร้างตัวตนใหม่เพื่อลบภาพลักษณ์เดิมยังพอมีบ้าง อย่างเช่นการสื่อสารกับสัตว์ต่างๆ หรือความติ๊งต๊องที่หลายคนเห็นว่าเพี้ยนหน่อยๆ (อีกนัยแอบคิดว่าคล้ายตอนรับบทเป็น เชอร์ล็อก โฮมส์ ในฉากเฉลยไขปริศนาที่วางท่าทางใช่อย่างมาก) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่น่าจับตามองคือ Harry Collett รับบทเป็น ทอมมี สตับบินส์ เด็กหนุ่มที่ไม่กล้าฆ่าสัตว์ และอยากสื่อสารกับสัตว์ได้เหมือน ดร. ดูลิตเติ้ล จนได้ติดตามไปทุกที่ในฐานะผู้ช่วย


เนื้อเรื่องไม่เท่าไรเพราะเป็นผจญภัยตามหายาถอนพิษให้กับองค์ราชินี (Jessie Buckley) ก่อนที่ที่ดินที่พักอาศัยของ ดร. ดูลิตเติ้ล จะถูกยึดกลับคืน นั้นแปลว่าสัตว์ทุกชนิดที่อาศัยในที่ดินดังกล่าวต้องออกไปด้วย การเดิมพันกับการตามหายาถอนพิษเป็นไปด้วยความเรียบง่าย แก้ไขสถานการณ์ได้ไม่ยาก ยกเว้นที่สนุกขึ้นมาบ้างตอนที่ Antonio Banderas เข้าฉาก เพราะเป็นช่วงที่ดูจริงจัง นอกจากนั้นก็ให้อารมณ์แบบเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี

ตามประสาหนังโลกสดใส หลายสิ่งหลายอย่างดูเรียบง่าย ปมที่วางเอาไว้ช่วยให้ดูจริงจังเพียงเปลือกเท่านั้น การนำมาใช้จริงแทบสื่อไม่ถึงอารมณ์ได้เลย โดยเฉพาะปมในใจของ ดร. ดูลิตเติ้ล ที่ต้องจมความทุกข์เสียคนรัก จากนั้นปิดกั้นตัวเองจากทุกคน อยู่ในโลกที่มีแต่สัตว์เพียงอย่างเดียว แต่พอได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจกลับยอมทำโดยง่าย แม้จะบอกว่าหากไม่ทำจะต้องเสียโรงพยาบาลสัตว์ที่ตัวเองใช้ก็ตามที ดังนั้นอารมณ์บีบบังคับควรจะมี เนื่องจากเป็นหนทางเดียวที่ช่วยตัวเองและสัตว์ได้


อาจจะมีความย้อนแย้งหลายอย่าง อย่างเช่น ทอมมี สตับบินส์ เด็กหนุ่มที่ไม่กล้าฆ่าสัตว์ และมอง ดร. ดูลิตเติ้ล เป็นต้นแบบที่อยากเก่งแบบนั้นบ้าง แต่หนังดันเล่าในลักษณะทำตามใจตัวเองซะมาก บางครั้งยังแอบรำคาญที่อยากเป็นคนอื่น ไม่สนไม่แคร์ตัวเองเป็นใครมาก่อน มิติจึงดูล้นทั้งที่ตามสูตรสำเร็จด้วยซ้ำ มองในแง่หนึ่งเสมือนเป็นตัวละครช่วยฟื้นฟูให้กับ ดร. ดูลิตเติ้ล ที่ช่วยให้กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง

ส่วนตัวไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร เพราะตามสูตรสำเร็จพอสมควร แม้จะเต็มไปด้วยสัตว์มากมายที่เนรมิตรด้วย CGI อันแนบเนียนจนล้นจอก็ใช่จะตื่นเต้นตามไปด้วย ยกเว้นดูเอาพอเพลินไม่คิดมากจะสนุกไปอีกแบบ และที่สำคัญที่สุดคือการได้เห็น Robert Downey Jr. ในหนังเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่บ้าง จะว่าเป็นหนังพักผ่อนที่ไม่จำเป็นต้องดีเลิศ แค่ดูง่ายและบันเทิงให้ขำขันบ้างก็ยังดี

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)