The Babysitter: Killer Queen (2020) เดอะ เบบี้ซิตเตอร์ ฆาตกรตัวแม่

The Babysitter: Killer Queen (2020) | เดอะ เบบี้ซิตเตอร์ ฆาตกรตัวแม่
Director: McG
Genres: Comedy | Horror
Grade: C+

ความตลกใน The Babysitter (2017) หรือภาคแรกออกมาพอดี ไม่เว่อร์ขนาดต้องคัลท์หรือแหวกแนวซะทีเดียว ซึ่งหลายอย่างเต็มไปด้วยลูกบ้าที่บันเทิงและย่อยง่าย ขณะที่ภาคนี้ที่ต้องการเป็นภาคต่อเพื่อสานต่อในเหตุผลที่ไม่ได้พูดถึง(แต่อยากทำ)


ตัวละครและนักแสดงยังกลับมาเหมือนเดิมแทบจะครบชุด แต่สิ่งที่เห็นความแตกต่างคือการเติบโตที่ไม่เด็กอีกต่อไป ซึ่งนั้นทำให้คิดว่าช่วงเวลาที่ห่างกันไม่กี่ปีในภาคแรกช่างรวดเร็วซะเหลือเกิน โดยเฉพาะนักแสดง Judah Lewis ที่ภาคแรกคือเด็กที่ไม่ประสีประสานึกสนุกไปตามวัย แต่ภาคนี้ได้โตขึ้นเป็นวัยรุ่นจนนึกว่าผ่านมาหลายปี (ชาวยุโรปโตกันไวจริงๆ)

ภาคต่อนี้ยังใช้ประเด็นเดิมคือ Coming of Age ที่สอดแทรกผ่านความเป็นวัยรุ่น จากภาคแรกอาจมองประเด็นนี้ไม่ชัดเท่าไร แต่ภาคนี้จะเน้นเรื่องที่ใกล้ตัวให้ชัดเจน เช่น เรื่องเพศตรงข้าม การเข้าสังคม และครอบครัว แน่นอนว่าปัญหาอยู่ที่ โคล (Judah Lewis) เด็กหนุ่มที่รอดชีวิตจากการถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยให้กับลัทธิซาตาน แต่ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เขาเจอมา ทำให้ถูกมองเป็นเด็กมีปัญหาทั้งที่ความจริงเลวร้ายมาก


การสานต่อเนื้อเรื่องจะพูดถึงตัวละครในภาคก่อนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้อธิบายไม่ได้ว่ามีกลุ่มลัทธิซาตานอยู่จริงหรือเรื่องที่แต่งขึ้น ปัญหานี้ได้สร้างความไม่สบายใจแก่โคลจนต้องได้รับยาและการบำบัดที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ทว่านั้นเป็นเพียงเรื่องน่าเบื่อเท่านั้น กระนั้นเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อคนที่เคยคิดเอาชีวิตจากกลุ่มลัทธิซาตานฟื้นคืนชีพอีกครั้ง รวมถึงกลุ่มใหม่ที่ต้องการชีวิตเขาอีกด้วย

อย่าไปหาความสมเหตุสมผลคือดีที่สุด เพราะภาคนี้ใส่ลูกบ้าใส่ฉากที่ไม่ควรมี(หรือควรมี)เต็มไปหมด ซึ่งจะว่าแปลกหลุดโทนความสยองขวัญเลยก็ได้ เพราะที่เห็นล้วนตลกร้ายทั้งสิ้น ต่อให้โหดเลือดกระฉูดตายอนาถยังไงก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไร มีเพียงฉากเดียวที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวคือการตายของเหยื่อคนแรกที่มีความตั้งใจฆ่ามากที่สุด หลังจากนั้นหลุดๆจะจริงทีเล่นที ปรับอารมณ์ไม่ถูก 


การดึงตัวละครเก่าพร้อมนักแสดงหน้าเดิมทำให้ต่อยอดภาคต่อได้ถึงอารมณ์ โดยเฉพาะกลุ่มลัทธิซาตานในภาคแรกที่มีความบ้าและคาแรคเตอร์ที่แตกต่าง ทำให้เห็นความหลากหลายที่ไม่ชวนซ้ำบนสูตรสำเร็จ สิ่งที่เพิ่มคือการบอกสาเหตุที่ภาคแรกไม่ได้อธิบายเป็นจริงเป็นจัง ทำให้เห็นความตั้งใจของการลองทำสัญญากับซาตานที่ไม่รู้จริงหรือไม่ แต่ต้องทำเพื่อสิ่งที่ตัวเองฝัน

ส่วนตัวชอบภาคแรกที่รู้สึกบันเทิงกับความสยองที่โหดแค่ไหนก็สนุกแค่นั้น อีกทั้งไม่ได้จริงจังจนเครียดเพราะแทรกมุขตลก ขณะที่ภาคนี้ที่วางเนื้อเรื่องสานต่ออย่างดีกลับชอบน้อยลงเพราะความบันเทิงเกินพอดี ซึ่งไม่รู้เก็บกดมาจากไหนถึงกล้าเล่ากล้าเสนอในสิ่งที่ย้อนแย้งขนาดนั้น ถ้าไม่คิดมากอาจเสพความบันเทิงและมุขตลกถึงขั้นสุดยอดเลยก็ว่าได้ แต่ส่วนตัวขอละไว้ในบางส่วนล่ะกัน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)