![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj87L6ISBn2KhDAzN3VCN1NO8S4-CQRlQ8F1imKrGh98MVpPXXE4Ym7CICQ1lc_CNtFNPohMlmQ7_tX7DY7bSeAo-BpXlcBWPBXRzUhN2Sl2VAEn28JVvhXnzwZlsLuxKdFwYJN1OOcHYmeOlzA38lpg8XFdMKI3Klnw48o6ydTDoKAFrfxG4RzQY-l/w432-h640/MV5BMWEwMDU3MWUtZTdiMy00Yjg5LWFiNWYtYTRmZGExNzk5YjQ2XkEyXkFqcGdeQXVyNTUwOTkzMzY@._V1_.jpg)
The Babysitter: Killer Queen (2020) | เดอะ เบบี้ซิตเตอร์ ฆาตกรตัวแม่ | C+
Director: McG
Genres: Comedy | Horror
ความตลกใน The Babysitter (2017) หรือภาคแรกออกมาพอดี ไม่เว่อร์ขนาดต้องคัลท์หรือแหวกแนวซะทีเดียว ซึ่งหลายอย่างเต็มไปด้วยลูกบ้าที่บันเทิงและย่อยง่าย ขณะที่ภาคนี้ที่ต้องการเป็นภาคต่อเพื่อสานต่อในเหตุผลที่ไม่ได้พูดถึง(แต่อยากทำ)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6JsOA5X0epj5Zlkw9ZIteQm3OPT23E-n91HX7jVZ4LPwu0nlm9wPhMVBh0Ea-RQ81LBTriBtvOEzpfxK74VV4padEbLs5Hwv2b1Qy4PGzCjHPZDD8v0BnVtjLjE4yBVJmyRb4umwsXb4oJjl631EKsGJ6a7RGSu3ly4ugXnAjo6o_bI0i35Kv9L0_/w640-h270/tumblr_790c5dbab35404a49c7fd0d348686d33_36e42ae1_540.gif)
ตัวละครและนักแสดงยังกลับมาเหมือนเดิมแทบจะครบชุด แต่สิ่งที่เห็นความแตกต่างคือการเติบโตที่ไม่เด็กอีกต่อไป ซึ่งนั้นทำให้คิดว่าช่วงเวลาที่ห่างกันไม่กี่ปีในภาคแรกช่างรวดเร็วซะเหลือเกิน โดยเฉพาะนักแสดง Judah Lewis ที่ภาคแรกคือเด็กที่ไม่ประสีประสานึกสนุกไปตามวัย แต่ภาคนี้ได้โตขึ้นเป็นวัยรุ่นจนนึกว่าผ่านมาหลายปี (ชาวยุโรปโตกันไวจริงๆ)
ภาคต่อนี้ยังใช้ประเด็นเดิมคือ Coming of Age ที่สอดแทรกผ่านความเป็นวัยรุ่น จากภาคแรกอาจมองประเด็นนี้ไม่ชัดเท่าไร แต่ภาคนี้จะเน้นเรื่องที่ใกล้ตัวให้ชัดเจน เช่น เรื่องเพศตรงข้าม การเข้าสังคม และครอบครัว แน่นอนว่าปัญหาอยู่ที่ โคล (Judah Lewis) เด็กหนุ่มที่รอดชีวิตจากการถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยให้กับลัทธิซาตาน แต่ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เขาเจอมา ทำให้ถูกมองเป็นเด็กมีปัญหาทั้งที่ความจริงเลวร้ายมาก
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwvGyQpZOGE06KtpfuH4_4u4fm75XT11nJUd8su309y0xh9nEveyx7gA9vG6hLVCZ488Ca7frAfoBWhxG8rTex2NBS1SibCYZzybhTMG_6hbibwAQ-hNIX4b1Nx35Ne8ULJ2NtpaS_qreughoDaxlFQyKd_KAazCd9mFunivUhxGjigeeDwrNUqPpK/w640-h278/BabysitterKillerQueen19.jpg)
การสานต่อเนื้อเรื่องจะพูดถึงตัวละครในภาคก่อนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้อธิบายไม่ได้ว่ามีกลุ่มลัทธิซาตานอยู่จริงหรือเรื่องที่แต่งขึ้น ปัญหานี้ได้สร้างความไม่สบายใจแก่โคลจนต้องได้รับยาและการบำบัดที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ทว่านั้นเป็นเพียงเรื่องน่าเบื่อเท่านั้น กระนั้นเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อคนที่เคยคิดเอาชีวิตจากกลุ่มลัทธิซาตานฟื้นคืนชีพอีกครั้ง รวมถึงกลุ่มใหม่ที่ต้องการชีวิตเขาอีกด้วย
อย่าไปหาความสมเหตุสมผลคือดีที่สุด เพราะภาคนี้ใส่ลูกบ้าใส่ฉากที่ไม่ควรมี(หรือควรมี)เต็มไปหมด ซึ่งจะว่าแปลกหลุดโทนความสยองขวัญเลยก็ได้ เพราะที่เห็นล้วนตลกร้ายทั้งสิ้น ต่อให้โหดเลือดกระฉูดตายอนาถยังไงก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไร มีเพียงฉากเดียวที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวคือการตายของเหยื่อคนแรกที่มีความตั้งใจฆ่ามากที่สุด หลังจากนั้นหลุดๆจะจริงทีเล่นที ปรับอารมณ์ไม่ถูก
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgBcYSkae6EYS4J9jzajEaLU-znCIrze9gVWCvHztoiJKqWeiJsw3oq64GcV0anvTI_NwDfb5p5q7g0YGdGhNGgLzkqlTUY9IOp4JBWkFklqwK0Fz0j1WTmmMvj_cY4lmW8p-F4ffn0caZVW9iI6fghExGeG7byStPnIDkFxeK1EcItqVsbiYY_lfX/w640-h266/Ehi9TL6WsAEcMAu.jpg)
การดึงตัวละครเก่าพร้อมนักแสดงหน้าเดิมทำให้ต่อยอดภาคต่อได้ถึงอารมณ์ โดยเฉพาะกลุ่มลัทธิซาตานในภาคแรกที่มีความบ้าและคาแรคเตอร์ที่แตกต่าง ทำให้เห็นความหลากหลายที่ไม่ชวนซ้ำบนสูตรสำเร็จ สิ่งที่เพิ่มคือการบอกสาเหตุที่ภาคแรกไม่ได้อธิบายเป็นจริงเป็นจัง ทำให้เห็นความตั้งใจของการลองทำสัญญากับซาตานที่ไม่รู้จริงหรือไม่ แต่ต้องทำเพื่อสิ่งที่ตัวเองฝัน
ส่วนตัวชอบภาคแรกที่รู้สึกบันเทิงกับความสยองที่โหดแค่ไหนก็สนุกแค่นั้น อีกทั้งไม่ได้จริงจังจนเครียดเพราะแทรกมุขตลก ขณะที่ภาคนี้ที่วางเนื้อเรื่องสานต่ออย่างดีกลับชอบน้อยลงเพราะความบันเทิงเกินพอดี ซึ่งไม่รู้เก็บกดมาจากไหนถึงกล้าเล่ากล้าเสนอในสิ่งที่ย้อนแย้งขนาดนั้น ถ้าไม่คิดมากอาจเสพความบันเทิงและมุขตลกถึงขั้นสุดยอดเลยก็ว่าได้ แต่ส่วนตัวขอละไว้ในบางส่วนล่ะกัน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1CmdBqi5bfdQDRsvL6Bnz7Zw42XOfDyC4SkoGdDJd46ga5H9RiKXZRShx-p5_xx4gzimpHEtt4cKNRdCNxoTmTqAZQxJQdbEiJKQ7uyy8hxqd9NiCEosl8q7zxFI8umK1n9vswmQVxUMWAU5-5hqr9WkV65oveiZ68nPbovMs2VKCZR1KZSrDrIIL/w640-h360/the-babysitter-killer-queen-anmeldelse-netflix.jpg)