Army of the Dead (2021) แผนปล้นซอมบี้เดือด

Army of the Dead (2021) | แผนปล้นซอมบี้เดือด
Director: Zack Snyder
Genres: Action | Crime | Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: B

Dawn of the Dead (2004) คือหนังรีเมคที่ผู้กำกับ Zack Snyder ทำเอาไว้ได้สนุกและเป็นซอมบี้ตามทันยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความดุดัน ซึ่งเชื่อมั่นว่า Army of the Dead (2021) จะต้องออกมาเร้าใจเป็นแน่แท้ แต่กลายเป็นว่าความคาดหวังในจุดนั้นไม่อาจนำมาเทียบได้เลย โดยเฉพาะตัวละครที่มาพร้อมกับมิติแสนบอบบางและเนื้อเรื่องชวนธรรมดา


สถานะของหนังราวกับมี 2 ภาคในตัว โดยช่วงแรกเป็นการพูดถึงจุดเริ่มต้นของซอมบี้ที่มาบุกเมืองลาสเวกัส แม้ก่อนเป็นซอมบี้มีที่มาน่าฉงนใจ แต่คงเดากันไม่ยากเพราะไม่พ้นการทดลองหรือติดเชื้อจนกลายพันธุ์ (ถ้าสังเกตหน่อยจะเห็นว่าซอมบี้ที่เป็นต้นเหตุมีรูปลักษณ์คล้ายทหารคนหนึ่ง) เมื่อซอมบี้บุกเข้าเมืองลาสเวกัสก็เป็น Opening Scene ที่เล่าแบบสั้นๆตั้งแต่ติดเชื้อไม่กี่คนจนลุกลามเป็นทั้งเมือง จากนั้นสลับฉากยิงซอมบี้แบบไม่ยั้งกับดนตรีเบาๆเชิงล้อเลียน ก่อนจบลงด้วยการปิดล้อมเมืองขังซอมบี้ไว้ได้สำเร็จ เป็นอันจบแบบไม่ต้องเล่าเยอะ แต่บันเทิงพอตัว

เหลืออะไรให้เล่าหลังจากนั้น พล็อตมีอยู่ว่ากลุ่มคนหนึ่งได้รับการว่าจ้างไปขนเงินจำนวนมหาศาลที่อยู่ในเมืองลาสเวกัสที่ปิดตาย สาเหตุที่ต้องขนเงินเพราะจะถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ เพื่อไม่ให้เงินสูญเปล่าจึงต้องฝ่าซอมบี้ไปรับเงินกลับมาก่อนที่จะถูกระเบิดเผาหายไป แน่นอนว่าการสร้างแรงจูงใจด้วยเงินจำนวนมหาศาลแลกกับชีวิตถึงตายคงเสี่ยงไม่ใช่น้อย ทว่ากลุ่มคนบางส่วนที่ถูกเลือกมารับงานนี้ได้รับการสะท้อนถึงผลกระทบจากซอมบี้บุกลาสเวกัส ไม่ใช่คนเก่งมารับงานแค่นั้นซะเมื่อไร


สำหรับตัวละครที่ได้รับการคัดเลือกนั้นล้วนมีปมเกี่ยวกับซอมบี้ เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญในครอบครัว ความจำยอมต่อสถานการณ์ที่ขัดแย้งกับตัวเอง (ตัวละครหนึ่งในนั้นจบปริญญาโท สาขาปรัชญา แต่ต้องถือเลื่อยฆ่าซอมบี้ ก่อนภายหลังมาเป็นนักบำบัดชีวิต แล้วต้องกลับไปใหม่เพื่อเงิน) การสูญเสียลักทรัพย์จนไม่สามารถคืนสถานะตัวเองได้ อีกหลายประเด็นที่เล่าผ่านให้เห็นว่าหากได้เงินกลับไปจะเป็นรางวัลแก่ชีวิตมากแค่ไหน

น่าเสียดายที่ปมเกี่ยวกับตัวละครไม่อาจได้รับการไขกระจ่างเท่าที่ควร ไม่รู้สึกน่าเห็นใจหรือเอาใจช่วยยามจนตรอก มิหนำซ้ำบางตัวละครยังชวนให้เกิดสูตรสำเร็จเข้าตำราไม่รำคาญหรือขัดแย้งก็จบง่าย ดังนั้นต้องมีสิ่งที่น่าน่าหงุดหงิดเกิดเหตุไม่คาดฝัน กระนั้นในความไม่เข้าร่องเข้ารอยยังได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว ทำให้องค์สามของหนังดำเนินแบบม้วนเดียวต่อเนื่อง แม้จะอุดมด้วยฉากยิงซอมบี้กับสถานการณ์ชุลมุนน่าหวาดเสียวเพียงแค่นั้นก็ตาม


Army of the Dead (2021) มีประเด็นหลายอย่างสอดแทรก แต่พล็อตหนังจมอยู่กับที่อย่าเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้การขยายความต้องมาตีประเด็นกันเอาเอง ซึ่งมาคิดวิเคราะห์คงบอกเป็นหนังซอมบี้ที่สนุกและดีเรื่องหนึ่ง ทว่าเอาบันเทิงแบบ Dawn of the Dead (2004) ที่เล่าง่ายตรงประเด็นจะกลายเป็นความน่าเบื่อทันที อันที่จริงการที่หนังยาวร่วม 2 ชั่วโมงเกือบครึ่งควรมีแก่นสารมากกว่านี้

งานภาพเป็นสิ่งที่น่าถกเถียงอย่างมาก เสมือนดาบสองคมที่อีกคนมองว่าสวย มีฉากหลังที่ละลายจนดูละมุน แต่อีกมุมจะบอกทันทีว่าความเบลอนั้นต้องแลกมากับสายตาที่ชวนปวดและตาลายเอามากๆ ซึ่งเลนส์ที่ใช้มีค่า f 0.95 ในมุมของการถ่าย  Portrait คือดีงามเอามากๆ โฟกัสคนได้สวยและช่วยละลายหลังจนเหมือนภาพความฝันสมชื่อ Dream Lens แต่พอเป็นภาพเคลื่อนไหวทำให้ใช้สมาธิมากกว่าเดิม เผลอๆมองเข้าไปใกล้ๆต้องมีหลุดโฟกัสกันบ้างแหละ


สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความกวน ทั้งตลกและเครียดผสมกันไป ซึ่งลงตัวในระดับเกือบเข้ากันหมด ตั้งแต่คาแรกเตอร์ตัวละครที่ชวนน่าติดตาม(มากๆ) ความพิลึกพิลั่นบางประเด็นที่ใส่เข้ามาผิดที่ผิดทาง โดยเฉพาะประเด็นการอธิบายศพที่นอนแห้งตายแต่ชุดเหมือนตัวละครกันเกือบหมด ซึ่งบอกเป็นนัยๆเชิงปรัชญาว่านี่อาจเป็นพวกเราอีกไทม์ไลน์หนึ่งที่ตายแล้วเกิดใหม่เป็นเช่นตอนนี้ แน่นอนว่าไม่พูดปากเปล่า แต่ยัง Flashback ให้ดูน่าเชื่อถือในทำนองเป็นไปได้เหรอว่ะ 

ความน่าสนใจอีกข้อหนึ่งที่หลายคนบอกเลิศอย่างมากคือซอมบี้ ซึ่งไม่ใช่ซอมบี้แบบเดิมที่จ้องจะกัดหรือกินแล้วเป็นซอมบี้แค่นั้นจบ เนื่องจากมีพัฒนาการเข้าสู่ระบบสังคม เริ่มมีการแบ่งชนชั้นใครใหญ่ใครเป็นผู้น้อย ทำให้ซอมบี้ดูเป็นระบบสังคมที่ไม่กระจัดกระจายหรือเละเทะ นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกนึกคิดจนเกิดข้อสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนกับซอมบี้นั้นใครคือตัวร้าย แน่นอนว่าอาจจะไม่มีใครที่เป็นตัวร้ายซะทีเดียวเพราะมีสถานะสีเทา ทำเพื่ออยู่เพื่อกินเพื่อรอด นับว่าแปลกพอสมควรในหมู่หนังซอมบี้ กระนั้นไม่ถึงขั้นเป็นเรื่องใหม่ซะทีเดียว


Army of the Dead (2021) คือหนังซอมบี้ที่พยายามหาความบันเทิงและสร้างความเชื่อมั่นให้ครบเครื่อง แต่ความพยายามให้มีจึงสร้างบางสิ่งที่ไม่จำเป็น ในทางกลับกันก็ขาดสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ทำให้สนุกแบบไม่สุดหรือรู้สึกอย่างที่เป็นเหมือนช่วงแรกๆที่หลั่งอะดรีนาลีนความอยากดูจนไม่อยากไปไหน ความรู้สึกที่ได้คือชอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)