Ghost Rider: Spirit of Vengeance (2011) โกสต์ไรเดอร์ อเวจีพิฆาต

Ghost Rider: Spirit of Vengeance (2011) | โกสต์ไรเดอร์ อเวจีพิฆาต
Director: Mark Neveldine, Brian Taylor
Genres: Action | Fantasy | Thriller
Grade: C-

กลับมาอีกแล้วกับโกสต์ไรเดอร์ที่คราวก่อนในปี 2007 ทำเอาแทบสิ้นชื่อไปเลยด้วยความที่ว่า"ยังขาดน้ำหนัก" สำหรับภาคนี้มีเนื้อเรื่องต่อจากคราวที่แล้ว แต่กระนั้นยังไม่ใช่จะตรงตามเนื้อเรื่องแบบถูกต้องระเบียบนิ้ว เพราะคราวนี้จอห์นนี่ เบลซ (Nicolas Cage) พระเอกเราควบคุมพลังโกสต์ไรเดอร์ไม่ได้ ประมาณว่าจะออกก็ออกไม่ตั้งใจอยากให้ออกก็ดันออกว่างั้น ผิดกับภาคแรกที่เรียนรู้ควบคุมพลังได้ดังใจ สำหรับเรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากภาคแรกที่จอห์นนี่ต้องต่อสู้กับคำสาปตัวเอง โดยพยายามยับยั้งไม่ให้ตัวเองกลายร่างเป็นหัวกระโหลกเพลิง แต่แล้วเกิดเรื่องวุ่นวายที่ส่งผลกระทบถึงเขาพอดี ทำให้ต้องไปจัดการพวกเหล่าร้ายคนชั่วที่ต้องการตัวเด็กเดนนี่ (Fergus Riordan) ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่เพียงรู้แค่ว่าอาจถูกจับตัวไปเพื่อทำพิธีบางอย่าง เพราะคำทำนายที่ว่าเด็กชายคนนี้มีพลังซาตานที่จะทำลายโลก จนต้องงานเข้าจอห์นนี่ตามหาตัวเด็กปริศนาเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับหัวหน้านักบวช (Christopher Lambert) ที่ว่าจะถอนคำสาปโกสต์ไรเดอร์ในตัวเขาออกไป จอห์นนี่จำต้องใช้พลังของเขาเอาเด็กขึ้นมาให้ได้ ทว่ายิ่งตามตัวมากขึ้นเขาก็ยิ่งรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับศัตรูของเขาที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงซาตานที่เคยมอบพลังกับเขานั้นเอง


สำหรับโกสต์ไรเดอร์ในภาคนี้มีจุดมุ่งหมายอยู่สองประการคือการกลับมาของหนังไตรภาคเพื่อกู้หน้าตาตัวเองให้ออกมาดียิ่งขึ้นกับการห้วนคืนหนังฟอร์มใหญ่ของนักแสดง Nicolas Cage ที่พักหลังหันไปปั้มหนังเกรดบีจนชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงฟอร์มต่ำเตี้ยเรี้ยดินแทน ซึ่งแน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้อาจจะรู้สึกเป็นการรีบู้ตมากกว่า ทว่าคนที่เล่นเป็นปีศาจกระโหลกเพลิงยังเป็นเจ้าเก่าไม่เปลี่ยนแปลง แค่เปลี่ยนลุดนิดหน่อยจากทรงจำปิดหน้าผากมาปล่อยตามแบบฉบับพระเอกหัวเถิก

ส่วนตัวผู้กำกับยังเปลี่ยนแปลงไปใช้บริการคู่หูไฟแรงสูงแห่งวงการฮอลลีวู้ดอย่าง Mark Neveldine และ Brian Taylor ซึ่งเราจะรู้จัดพวกเขาอย่างดีแบบไม่ลืมเลือนในผลงานคราวก่อนในเรื่อง Crank (2006) อันหวือหวาชวนบ้าคลั่งระห่ำ และ Gamer (2009) หนังคนเล่นเกมส์สุดเถื่อนที่ใช้คนเป็นตัวละครในเรื่อง ซึ่งในภาคนี้ที่พวกเขาได้ออกตัวบอกถึงลักษณะของ Ghost Rider: Spirit of Vengeance ในแบบที่ดีกว่าหลายเท่าในภาคก่อน ทั้งดุดันกว่า เถื่อนกว่า และแรงกว่าภาคแรกหลายเท่าตัว ซึ่งมันเป็นอย่างที่บอกจริงๆ ด้วยลายเซ็นของคู่หูผู้กำกับได้สร้างขึ้นได้ประจักษ์อย่างที่แถลงเอาไว้แบบไม่พลาดตกบกพร่องจากฝีมือของตัวเองแม้แต่น้อย


Mark Neveldine กับ Brian Taylor ได้สร้าง Ghost Rider ภาคนี้ด้วยความเต็มเปี่ยมทางด้านเอฟเฟคที่ลงรายละเอียด CGI ชนิดเนียบเนียนอย่างที่สุด ทั้งหัวกระโหลกเพลิงที่ดูเป็นไฟลุกโชนขึ้นจริงๆผิดกับภาคแรกที่ยังลงไม่ลึกขนาดมีควันขึ้นออกมาลอยในอากาศ หรือจะมอเตอร์ไซค์ที่ดีไซน์ใหม่ให้ชวนดาร์คกว่าของเก่าจนดำทั้งคัน เวลาขับมอเตอร์ไซน์ตอนแปลงร่างเป็นโกสต์ไรเดอร์แล้วนั้นชวนให้รู้สึกถึงพวกไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ในแต่ละฉากขับทีนี่แบบว่าโลกร้อนเพราะรถของมันชัวร์ ควันตามตัวมาเป็นโขมง ไม่บอกก็รู้ว่าดาร์คแค่ไหน ยอมรับว่าเรื่องเอฟเฟคทำได้ดีเกินคาดจริงๆ โดยเฉพาะฉากขับรถเครนที่เปี่ยมอลังการบ้าพลัง แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคืออาการเมาค้างที่เป็นลายเซ็นของผู้กำกับที่ต้องมุมกล้องไม่นิ่ง เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เหวี่ยงไปมา ชวนปวดหัวหน้ามืดตาลาย ออกมาให้ผู้ชมได้ชมกันอยู่แทบตลอดทั้งเรื่อง สมราคาคุยในเรื่องความบ้าจริงๆ ทว่าข้อเสียเรื่องมุมกล้องกลับมีปัญหาเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่รับไม่ค่อยไหว เพราะชวนเวียนหัวเนื่องจากมันเหวี่ยงแล้วเหวี่ยงอีกจนอาจไม่พอใจจนรำคาญก็มี ฉะนั้นเรื่องของกล้องก็แล้วแต่จะชอบล่ะนะ

แต่โดยส่วนชอบเรื่องมุมกล้องแบบเหวี่ยงอย่างนี้ด้วยเหตุผลที่ว่ามันชวนลุ้นมันส์ดี แถมยังรู้สึกสะใจเวลาอยู่ใกล้ๆตัวละครที่ปล่อยของกันแบบสุดๆ โดยเฉพาะสีหน้าการแสดงของ Nicolas Cage ในฉากแปลงร่างที่เดี๋ยวค่อยกลายร่างทีละนิด ซึ่งในจังหวะนั้นได้ภาพที่โฟกัสเฉพาะหน้าตาเอาไว้ที่กำลังปล่อยอารมณ์สุดเหวี่ยง ทั้งร้อง ทั้งว้าก หัวเราะ ยังกับคนบ้าเลยมิปาน ก็ไม่แปลกหรอกว่าทำไมต้องแสดงได้เถื่อนขนาดนั้น เพราะเพื่อเรียกความสนใจให้กลับมาอีกหนหนึ่งเช่นที่ตัวเองได้ทิ้งความบ้าโรคจิตใน Face/Off (1997) นอกจากจะมีพระเอกของเราที่อยากกลับมาบ้างแล้วยังมีนักแสดงอยู่คนหนึ่งที่เล่นเป็นนักบวช คือ Christopher Lambert ที่รู้จักจากบทเทพเจ้าสายตาลอร์ด เรย์เดนในหนังต่อสู้มันส์ได้ใจใน  Mortal Kombat (1995) ในทางนักแสดงอื่นๆยังคงมาตรฐานตามบทบาทของตัวเองต่อไปเรื่อยๆไม่ว่ากัน
 

เรื่องราวของฮีโร่สุดดาร์คไม่จบที่การมีเอฟเฟคยอดเยี่ยมเพียงเดียวเท่านั้นที่น่าตื่นตา เพราะยังเรื่องของดนตรีร็อคมาประกอบที่บางคนสงสัยว่ามันเข้าจังหวะตรงไหน แต่โดยส่วนตัวกลับชอบไม่น้อยที่ชวนรู้สึกปลดปล่อยตัวเอง แม้จะไม่ถึงขั้นพาเร้าใจในบางมุมมองก็ตาม นี่แหละข้อดีในภาคนี้ที่แตกต่างออกไปจากภาคแรกที่เหมือนจะพัฒนามาไม่น้อยทีเดียว ทว่าข้อเสียเป็นปัญหาใหญ่ยักษ์ระดับพาหนังเสียไปเลย เพราะเอาแต่เติมความมันส์เอย เอฟเฟคเอย จนลืมเนื้อเรื่องที่ลงเอยดำเนินได้ง๊ายง่ายไม่ต่างอะไรกับภาคแรก

ไม่สิต้องบอกว่าผลลัพธ์ออกมาง่ายกว่าอีก ยิ่งฉากต่อสู้กันในท้ายเรื่องคล้ายจะมามันส์ตัวต่อตัวได้ดีแล้วเชียว ดันกลายเป็นว่า"อ้าวตายแล้ว" หรือจะตอนจัดการซาตานที่แบบว่าปอกกล้วยเข้าปากชัดๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมซาตานถึงกระจอกขนาดนั้นได้ทั้งที่ตัวเองมอบพลังให้แท้ๆ ถ้าถามว่าแอ็คชั่นในส่วนฉากอื่นๆก็ว่าง่ายอีกแหละ ไม่มีอะไรที่เร้าใจตื่นตาหรือบอกว่าสุดมันส์ได้เลย ที่ดีคือเรื่องของเอฟเฟคที่ลงรายละเอียดได้แม่น กับดนตรีประกอบที่ช่วยเอามันส์ขึ้นได้บ้าง เอาเป็นว่าคนดีไซน์ฉากแอ็คชั่นคงต้องปรับปรุงอย่างหนักเลยล่ะ


Ghost Rider: Spirit of Vengeance มีจุดที่แปลกกว่าภาคแรกคือความเมาของผู้กำกับที่ฟรีสไตล์ตามใจตัวเอง ซึ่งคงรู้แล้วว่ามีอะไรบ้างนับแต่เรื่องมุมกล้อง ตลอดจนทัศนะวิสัยการเล่าเรื่องอันวาดเหวี่ยง แต่ที่คิดว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่ค่อนข้างน่าผิดหวังคือการเอาความตายตัวมาใช่โดยไม่คิดมาก แล้วจัดหนักในสิ่งที่คิดว่าโดดเด่นมากที่สุด ซึ่งคือเทคนิค CGI นั้นเองสำหรับเรื่องนี้ สังเกตได้ว่าผู้กำกับคู่หูสองท่านนี้มีแต่หนังว่านอนสอนง่าย จะมีที่โดดเด่นคือการเล่าด้วยเอกลักษณ์ของตัวเองตลอดจนความสนุกอันหวือหวา วิธีนี้อาจทำให้ภาพพจน์ของหนังสนุกก็จริง ทว่าใช้ไม่ได้เหมือนกับเรื่อง Crank เสมอไป ดูได้จากปมประเด็นที่ติดกับตัวละครมาด้วย ถ้าเป็นแอ็คชั่นบ้าหลุดโลกแบบไม่เกรงใจก่อนหน้านี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม เพราะรู้ว่านอกจากยิงกันเพื่อมันส์แล้ว ด้านสาระถือเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงในโลกความรุนแรง ทว่าตัวหนังลงได้ตื้นอย่างมากเกี่ยวกับตัวละครทั้งหลายจนเป็นเพียงตัวประกอบอันไม่น่าจดจำนอกจากใบหน้ากับชื่อ น่าเสียดายที่วัตถุดิบชั้นดีอย่างเรื่องนี้ยังถูกเมินเฉยจากการเล่าอันแสนเรียบง่าย นี่ถ้าเอาเข้าจริงมันจะเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากในการตีความในหลายๆแง่กับความชั่ว ความดี สรรค์บนดิน นรกบนฟ้า รวมถึงสามารถนำมาเปรียบเทียบกับแนวปรัชญาได้อย่างสบายๆ

ด้วยความที่ว่ามีกึ่งธรรมดา(ยอดแย่)กึ่งสุดยอด(ทางภาพ CGI)คงจะตื่นตากันไม่น้อยที่เห็นควันดำกับรถที่เป็นตอตะโกอย่างนั้น และแน่นอนว่าถ้าใครรับรู้ถึงฮีโร่ที่สุดยอดในขณะนี้อย่างแบทแมนของผู้กำกับ Christopher Nolan แล้วนับว่ามีความทะเยอทะยานในการเรียบเรียงเนื้อหาที่ลึกซึ้งอย่างมาก และโกสต์ไรเดอร์ควรมีภาพลักษณ์แบบนั้นบ้างเช่นเดียวกัน ด้วยความที่ว่าภาคนี้มีเนื้อหาเล่าถึงปมของจอห์นนี่ที่ไม่อยากได้พลังไรเดอร์มาครอบครองอีกต่อไปจนเป็นเหตุให้ต้องหนีไปอยู่ในยุโรปตะวันออก เพราะเอางานเอฟเฟคมากไป สุดท้ายเนื้อหาแทบโดนทิ้งลงขยะเกือบหมด ประเด็นเรื่องความดี ความชั่วที่ตั้งมาในต้นเรื่องก็หายไปอย่างไม่มีเยื่อใยปลิ้วไปกับสายลม ถ้าเปรียบดังกระดาษคงไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อนำมาเผาจนเหลือแต่ธุลีที่ไร้ประโยชน์ ฉะนั้นพล็อตที่กล่าวออกมากลายเป็นสูตรสำเร็จปราศจากเนื้อหาสาระเพิ่มเติม ตอนนี้คงได้แต่หวังต่อไปว่าฮีโร่ดาร์คโกสต์ไรเดอร์จะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้หรือเปล่า ซึ่งนี่ก็สองครั้งแล้วที่ยังน่าถูกใจตามที่ต้องการเลย เว้นแต่เอฟเฟคที่ดีแน่นอน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)