Lord of War (2005) นักฆ่าหน้านักบุญ

Lord of War (2005)
นักฆ่าหน้านักบุญ
Director: Andrew Niccol
Genres: Action | Crime | Drama

"สงครามนี้ไม่ใช่ของเรา"

และสงครามนี้ไม่ใช่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เรื่องราวอันน่าหดหู่เกี่ยวกับสงครามคือความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในเวลาที่คุณอยากยุติ แต่คนที่ยุติมันได้ไม่ใช่คนที่ชนะหรือแพ้สงคราม ถ้าเราจำกัดคำว่าอาวุธออกไปบางทีการจะฆ่ากันอาจลดน้อยลงไป ทว่าเอาเข้าจริงๆอาวุธนั้นมีมากกว่าสิ่งของที่จับฆ่าฟันกัน ซึ่งนั้นคืออุดมการณ์กับอคติที่แฝงด้วยความบ้าอำนาจกับหน้าที่ของฝักใฝ่สูง สงครามที่ได้ลิ้มรสจนกลมกล่อมเป็นสงครามที่เต็มไปด้วยความกระหายของเหล่าทหาร
 

ในยุคสงครามไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นเลยสักคน ด้วยความโหดร้ายที่เกินเหยียวยารักษาหายได้ มันก็คงไม่ต่างอะไรกับสงครามโลกหรืออีกหลายๆสงครามที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลประการเดียวคือการกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัวเอง ส่วนใครจะได้ผลลัพธ์อะไรนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าหน้าที่ขอตัวเองมีขอบเขตถึงระดับไหน เคยสงสัยกันไหมว่าการก่ออาชญากรรม สงคราม จนกระทั่งการฆ่ากันเองในวงเล็กๆมาจากอะไรที่กระตุ้นแรงจูงใจ แล้วเคยเข้าใจกันไหมว่าการฆ่าคนนั้นมักมีวิธีการฆ่ายังไงที่สะดวกมากที่สุด

คำถามนี้คือปืน แต่การจะใช้ปืนได้เต็มประสิทธิภาพต้องมีกระสุน และอาวุธเหล่านี้ทำไมถึงกระจายสู่สังคมทั่วโลกได้ง่ายนัก คำตอบคือพ่อค้า ดังนั้นต่อให้มีโรงงานผลิตอาวุธมากมายแค่ไหนถ้ายังไม่เข้าสู่ตลาดที่มีพ่อค้าเป็นสื่อมันก็ไม่ต่างอะไรกับของที่ถูกทิ้งเอาไว้เช่นของเหลือหลังสงครามโลกที่ปิดตายตามโรงเก็บของที่มีไว้โชว์ ด้วยเหตุผลหัวใสของการทำกำไรจำต้องเอาของที่เหลือมาขาย ซึ่งแน่นอนล่ะว่ามันต้องมีรายได้เข้ามากว่ารายจ่ายชัวร์ แล้วกำไรของชีวิตมันมีค่าพอจะบอกได้ไหมว่าคนๆนั้นสมควรตาย หรือคนๆนั้นต้องตกอยู่ฝ่ายใต้ลูกกระสุนที่ฝังหัวที่เราพึ่งขายให้ไปอยู่หยกๆ เราสามารถยุติการเลือกขายได้โดยไม่มีการถูกฆ่าภายหลังได้หรือไม่จากอาวุธของเรา เราเลิกล้างระบบค้าอาวุธเถื่อนให้ขาวสะอาดพอจะไม่ขุ่นที่มีการคนได้หรือเปล่า เชื่อเหอะเรื่องแบบนี้ถ้าห้ามหรือยุติเลิกให้หมดจดได้ สงครามจะไร้ประโยชน์ต่ออำนาจที่มี แล้วทุกคนจะอยู่อย่างเท่าเทียมในขณะที่ในใจอยากถีบตัวเองลุกขึ้นมาเหยียบอำนาจที่ด้อยกว่าแล้วกลืนกินเป็นอำนาจตัวเองที่แพร่ระบาด แล้วเมื่อการแย่งชิงเกิดขึ้นในสังคมเมื่อไร ทุกสิ่งจะเริ่มหลงเปลี่ยนไปจากความขัดแย้งเป็นปกติ แล้วความปกติจะกลายเป็นเสียงโหวตที่สนับสนุนต่อนโยบายที่มักใหญ่และทรงอำนาจ ถ้ามาเส้นทางนี้แล้วจะมีแต่ต้องย้อนเวลาเท่านั้นที่เลิกได้ ดังนั้นเรามีหน้าที่ทำอะไรจงทำมันแค่เท่านั้น ซึ่งการค้าอาวุธไม่มีอะไรนอกจากเอาอาวุธไปแลกเงินจากนั้นจบ ก็บอกแล้วสงครามนี้ไม่ใช่ของเรา


ในหมู่พ่อค้าอาวุธทั้งหมดสิ่งแรกที่ตัวเองต้องรอบคอบคือการก้าวกระโดดที่ไม่ลืมจุดที่ข้ามก้าวไป เมื่อการค้าอาวุธอันหมายถึงการพามาซึ่งความตายเท่ากับว่าเราต้องเสี่ยงต่อความถูกต้อง และเจ้าความผิดพลาดที่ตรงข้ามกับกฎหมายต้องเปลี่ยนสภาพให้ขาวสะอาดตามกฎหมายที่ระบุจึงจะรอดได้ ทว่าจะทำความมืดให้ขาวแค่ไหนชีวิตที่ตราตรึงกับส่วนหนึ่งของต้นเหตุการตายยังคงมีตะกอนเก็บซ่อนอยู่  เฉกเช่นเรื่องของยูริ ออร์ลอฟ (Nicolas Cage) ชายหนุ่มจากครอบครัวยูเครนที่ผันตัวเองจากลูกเจ้าของร้านอาหารมาเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามระดับโลก ชีวิตของเขาไม่ต่างอะไรกับการผจญภัยที่เสี่ยงทั้งคุกและลูกปืน เขาค่อยๆเรียนรู้ด้วยการเอาตัวไปคลุกคลีกับความเลวร้ายของสงคราม ด้วยความสามารถการพูดการจาบวกไหวพริบปฏิภาณ ทำให้เขามีความมั่นใจกับงานทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จต่อการหนีกฎหมายแบบไม่ทิ้งหลักฐาน ทีแรกชีวิตของมีจุดยืนเช่นคนธรรมดาทั่วไปกับสังคมที่รักครอบครัว จนกระทั่งชีวิตที่มาเรื่อยๆกับเส้นทางคราบเลือดจึงได้สมความหวังกับภรรยาที่ตัวเองใฝ่ฝัน เพียงแต่เข้าไม่เคยปริปากถึงงานที่ตัวเองทำจริงๆกับชีวิตอีกด้านหนึ่งของเขาอย่างกระจ่างแจ้ง

สุดท้ายความจริงที่ปิดไม่มิด สักวันมันต้องเปิดขึ้นมาเพราะสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเข้าจนได้ พอถึงเวลานั้นพ่อค้าอาวุธจะยอมปล่อยหรือรับจิตใจของครอบครัวที่มองเขาจากเปลือกมาตลอดว่าเป็นคนดีล้ำค่า และรักครอบครัวอยู่เสมอได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะตัดสินทำอะไรต่อไปในฐานะพ่อค้าอาวุธ คิดจะเลิกเพื่อครอบครัวอย่างซื่อสัตย์ต่อไป หรือวนเวียนเส้นทางเดิมที่ตัวเองเลือกว่าเป็นของถนัดมากที่สุด


"สงครามนี้ไม่ใช่ของเรา"ประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้นตามแรงจูงใจที่เกิดขึ้นจากปากของพ่อค้าอาวุธยูริที่พูดต่อน้องชายวีทาลี (Jared Leto) ที่มีส่วนร่วมกับธุรกิจนี้ตั้งแต่เริ่มแรก ครั้งแรกการบอกอาจมีท่าทางที่ลำบากต่อการฝืนใจตัวเองที่ความจริงมันโหดร้ายในการค้าอาวุธ เมื่อมันส่งผลต่อคนที่อยู่หลังกำแพงและเหยื่อสงครามอีกนับไม่ถ้วนที่รอโดนยิงทิ้งด้วยอาวุธของเขาทันทีที่มีการซื้อขายอย่างสมบูรณ์ ครั้งแรกคือเด็กน้อยที่อ่อนต่อโลกอันป่าเถื่อน ครั้งที่สองคือผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวอย่างเต็มเปี่ยม ยูริบอกอีกทีด้วยปรโยคที่เคยลั่นเอาไว้ในหนแรกกับน้องชายอย่างซื่อตรง ทว่าน้ำเสียงกับสีหน้านั้นมีจุดหักเหที่เปลี่ยนไปจากคนเดิม ยูริสนใจแต่เพชรที่นำมาซื้อขายอาวุธที่ตั้งหน้าตี่งตากับรายละเอียดมากกว่าจะมองดูเหยื่อบริสุทธิ์ข้างล่างที่วีทาลีเห็นอยู่เต็มตา และรู้ทันทีว่าการซื้อขายจบเมื่อไรคนที่อยู่ข้างล่างต้องมีสภาพนอนตายเป็นเหยื่อสงครามอันโหดดิบแน่นอน สำหรับครั้งนี้แตกต่างจากครั้งแรกเรื่องกำแพงที่ปิดบัง ซึ่งคราวนี้ทำเป็นมองไม่เห็นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้นอีกแล้ว ด้วยนิสัยของน้องชายที่เห็นความเลวร้ายดีกว่าพี่ชายจึงอยากยุติให้เลิกๆไปซะเพื่อคนที่รอดอยู่ข้างล่างอย่างสบายใจ เห็นได้ชัดกันแล้วว่าบุคคลที่ยังเด็กคือวีทาลี ขณะที่ผู้ใหญ่คือยูริ ประโยคที่ถ่ายทอดออกมาในหนนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมที่บ่งบอกว่าชายคนๆนี้เปลี่ยนไป และไม่สะทกสะท้านต่อพฤติกรรมที่เขาทำที่มีแต่จะทำลายชีวิตที่ดิ้นรนอยู่ตรงหน้า ถามจริงเถอะว่าสุนัขที่ต้องระวังคือใครกันแน่

วีทาลีเดิมนั้นเขาเป็นพ่อครัวในภัตตาคารของครอบครัว มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นที่สะดุดตาคือป้าย"ระวังสุนัข" ยูริที่เห็นจึงถามถึงที่มาของป้ายนี้ด้วยความสงสัยเพราะไม่มีสุนัขเลยสักตัว แล้ววีทาลีได้เกริ่นอธิบายป้ายนั้นอย่างดิบดีว่าเอาไว้เตือนใจตัวเอง สุนัขนั้นหมายถึงสุนัขในตัวเขาที่ต้องคอยควบคุมไม่ให้มันออกมาเพ่นพ่านอาละวาดกัดกินเกินควบคุม สิ่งที่ตัวหนังต้องการจะสื่อคือความเป็นไปของสองตัวละครระหว่างวีทาลีและยูริที่ต่างเข้าใกล้ความกระหาย


สุนัขที่ต้องระวังเป็นความนัยของการกระหายที่ขับดันจากความชั่วดีทั้ง เงินทอง ความสุข และอีกหลายสิ่งที่ประโลมความอยากทั้งหลาย วีทาลีรู้ตัวดีในการควบคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบที่ควรเช่นการได้อยู่ในกรงสัตว์ลี้ยงที่ไม่เดือดร้อนต่อคนรอบตัว จนกระทั่งเขาได้ถูกปล่อยจากถิ่นเดิมของตัวเองให้เริ่มต้นธุรกิจกับพี่ชายที่เสนอเส้นทางท้าทายตรงข้ามกับความบอบบางของจิตใจ อาวุธอาจเป็นการค้าขายที่แลกมาด้วยทรัพย์สิน สำหรับเขาแล้วการมาเหยียบย้ำถึงที่ทารุณเช่นนี้จึงทำให้ใจของเขาแตกตื่นจากความจริงข้างนอกที่โหดร้ายกว่าในกรง ไม่ว่าจะการหนี การฆ่า ความรุนแรง ความสกปรก ยาเสพติด การคดโกงที่ทำใจยอมรับ และเมื่อยิ่งอยู่ทนนานมากขึ้นความอยู่กับที่ของตัวเองรับมาต้องกดดันผลักให้ตัวเองต้องตกต่ำ เขาต้องปรับสภาพเพื่อรับสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ให้เหมาะแก่วงการ

ทว่าความเที่ยงแท้ของตัวเองยังทรมานตอนที่วีทาลีได้โคเคนจึงไม่ต่างอะไรกับโลกใบใหม่ที่อยู่ในกรง อย่างน้อยมันก็ดีกว่าข้างนอกที่ตาตัวเองเห็นกับการฆ่าเพราะอาวุธที่ขาย ยูริปล่อยน้องชายตัวเองให้ออกจากกรงเพื่อรับโลกภายนอกที่เหมาะกว่า แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อสุนัขตัวนี้มีมโนธรรมในใจมากกว่าการยึดมั่นในงานของเขา ยูริแม้จะได้โคเคนแทนเงินจากการค้าอาวุธและนั้นทำให้เขาได้กำไรมากกว่าที่คิดที่ได้เช็คราคาในตลาด แต่เหมือนน้องชายของเขาจะกระเสือกกระสนในโคเคนชนิดเสพติด เพราะโคเคนคือยาชั้นดีของวีทาลีที่ช่วยบำบัดเยียวยาใจของเขาได้อย่างดี มันช่วยให้ลืมๆอาวุธได้ มันช่วยบำบัดความเจ็บปวดในโลกข้างนอก และสุดท้ายคนที่หวาดกลัวต่อสงครามคือวีทาลี แต่ดีแค่ไหนที่ธรรมในตัวเขามีมากกว่าพี่ชายตัวเอง

โคเคนมีเครื่องหมายการใช้ว่าหนี ฉะนั้นวีทาลีขอเสพความสำราญย์กับตัวเองดีกว่ากระทำกับคนอื่น นั้นหมายความว่าเขายังเข้าใจชีวิตคนระหว่างเป็นกับตาย ผิดกับยูริที่เริ่มเข้าลึกมากขึ้นจากการนำเหตุและผลมาประดิษฐ์ประดอยให้ตัวเองถูกต้องกับการแก้ต่าง ซึ่งถามหน่อยเถอะว่าศีลธรรมกับเหตุผลอย่างไหนควรนำมาอธิบายได้ถูกต้องกว่ากัน


"ห้ามถูกยิงตายโดยอาวุธปืนที่เป็นสินค้าของตนเอง เเละการค้าอาวุธจะต้องรู้ว่าเงินจะต้องได้ตามจำนวนที่กำหนดยิ่งถ้าได้ก่อนยิ่งดี"

ยูริมีลีลาถ้อยคำที่อ้างโน้นอ้างนี้ที่ฟังแล้วไร้เหตุผล แต่เอาจริงมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจจากคนถือปืนว่าจะลั่นไกใส่ใคร และเขาไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งให้ยิงให้ฆ่ากัน แค่เป็นพ่อค้าอาวุธที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเท่านั้น ด้วยเหตุผลยอมรับการกระทำของตัวเองอาจฟังดูเป็นพวกไร้ความผิดชอบจากเป็นแค่พ่อค้า แต่เขาไม่ได้หวังให้ยิงกันสักหน่อย หรือจะยิงก็ไม่ได้หวังว่าจะโดนหัวใครเข้า ด้วยการแก้ต่างที่ฟังไร้ยางอายคงไม่ต่างกับผู้นำที่หนุนหลังสนับสนนุนให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ แล้วมันเพื่ออะไร

ก็เพื่อสร้างอิทธิพลอำนาจของตัวเอง อำนาจใคร? อำนาจผู้นำยังไงล่ะ การก่อการร้าย การทำสงคราม จนกระทั่งการนำพาซึ่งอาชญากรรมทั้งหลายในสังคมล้วนมีจุดกระจายอยู่ที่คนส่งเสริม ก็เหมือนดีกับชั่วที่ต้องมีในสังคม เพียงมันอยู่ในรูปของก่ำกึ่งมากกว่าจึงจะถูก ประมาณว่าการมาเป็นผู้นำควรนำมาซึ่งความเจริญกับความสุขมาสู่ประชาชน เมื่อประชาชนได้อยู่อย่างมีความสุขเท่ากับว่าการมีผู้นำจะไร้ประโยชน์เพราะไม่จำเป็นต้องดูแลอีกต่อไป พวกเราจะอยู่กันได้โดยไม่เกินขอบเขต ทีนี่มันติดตรงที่ว่าการมีผู้นำคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหน้าให้ปวงประชาไปในทิศทางเดียวกัน เผอิญมีพวกสวนกระแสทำให้ดีกลายเป็นเลวร้าย ซึ่งคนส่งเสริมในที่นี่อาจหมายถึงผู้นำก็ได้นะ เพราะว่ายิ่งรักาาหน้าตัวเองมากเท่าไหร่ยิ่งช่วยผลักความต้องการของตัวเองให้ดูองค์อาจมากขึ้น ฉะนั้นยิ่งเป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลังด้วยแล้วการต่อต้านในเบื้องหน้าจะดูมีราคากับตัวเองขึ้นมาทันที


กฎของพ่อค้าอาวุธที่ดูจะมีศักดิ์ศรีมากที่สุดคือห้ามตายเพราะอาวุธของตัวเอง พอเอาใจความจริงๆมันไม่เกี่ยวกันเรื่องกับเรื่องศักดิ์ศรี เพียงเป็นความต้องการในใจของตัวเองอยู่ลึกๆว่าจงเอาปืนออกจากหน้าของฉันเพื่อให้นายยิงคนที่นายต้องการยกเว้นฉัน แล้วฉันจะกลับมาใหม่กับสินค้าเช่นเคย หมายความว่ายังไงเหรอ? ก็ถ้าพ่อค้าอาวุธตายเพราะปืนตัวเองเข้ากับว่าตัวเองแพ้ แต่ถ้ารอดเท่ากับตัวเองชนะ เมื่อชนะย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ว่ากระบอกปืนนั้นมีโอกาสได้ลั่นไกยิง และเมื่อมีการยิงเกิดขึ้นย่อมมีสงคราม เมื่อเกิดสงครามสิ่งที่มอบหมายให้ต่อสู้โดยใช้อาวุธจะกลายเป็นเรื่องต้องการในทันที พอถึงเวลาเช่นนั้นพ่อค้าจะเสนอตัวเองเข้าสู่จุดศูนย์เพื่อกระจายสินค้าให้ทุกคนใช้ลั่นไก สุดท้ายจะเกิดการนองเลือดขึ้น ทว่าปืนที่ลั่นออกไปนั้นไม่ใช่พ่อค้าที่ลั่นเองทั้งที่เป็นคนมอบอาวุธให้กับมือ

ไม่ว่าจะทำยังไงก็แล้วแต่พ่อค้าอาวุธมักไม่เล่นของของตัวเอง ฉากหนึ่งแค่ฉากนี้ฉากเดียวทำให้รู้แล้วว่าจิตใจของยูริตกอยู่ในสภาพไหน ตอนที่คุยกับอังเดร (Eamonn Walker) ลูกค้าคนสำคัญที่ช่วยจับคู่แข่งทางการค้ามาให้เขา และให้ตัดสินเลือกว่าจะฆ่าทิ้งดีหรือไม่ เพราะคนๆนี้แหละที่ตัดช่องทางส่วนหนึ่งของการค้าอาวุธของคุณ ด้วยท่าทางที่ลังเลในตอนแรกกับสภาพน้ำท่วมปากอยากจะพูดกลับไม่พูดเต็มปากจึงไม่คิดทำอะไร อังเดรที่หยิบยื่นปืนให้จำต้องเปลี่ยนเป็นเอาปืนยัดใส่มือแทน โดยกุมปืนเอาไว้ร่วมกับอังเดร และบอกให้หยุดเมื่อไหร่ถ้าไม่พร้อม สภาพที่เห็นเราคงคิดได้ว่าพ่อค้าที่ไม่เคยจับปืนยิงใครต้องมายิงจริงๆคงไม่ต่างอะไรกับประสบการณ์ทำครั้งแรกที่ตอนนี้ได้สะท้อนในมุมที่ไม่ปรากฏออกมา อังเดรอาจจะลั่นไกออกไปด้วยนิ้วของตัวเอง แต่ความจริงนิ้วที่กระดิกในความกระหายคือนิ้วของยูริ เขาอาจไม่ใช่คนที่ยิงเอง แต่มันชัดเลยว่านิ้วที่ไม่เคยมองเห็นเป็นตัวแทนอย่างหนึ่งของอาวุธทุกชิ้นที่ยามใดมันมีกระสุนนำพาและนิ้วที่ลั่นไกกระบอกปืน มันก็พร้อมจะสังหารทุกคนบนโลกได้ และหากคนที่ตายเพราะคนยิงนั้นเลวจะแปลกอะไรที่คนขายจะเลวยิ่งกว่าที่ให้สิ่งของฆ่าคนเช่นนั้น


ตอนที่อังเดรจับมือยูริแล้วกุมปืนพร้อมจะยิงไปด้วยกันได้ถาถึงความมั่นใจในตัวของเขาว่าพร้อมไหม หยุดได้ถ้าบอก แต่แล้วยังไงกับเสียงที่เงียบกริบ ไม่มีการตอบคำถาม ปราศจากคำตอบ จะมีเพียงนิ้วที่เริ่มกดหนักขึ้นเรื่อยๆจนวินาทีสุดท้ายของกลไกระบบทำงานของปืนกระบอกนั้นกับกลิ่นควันปืนหนึ่งนัด เขายิงทั้งที่รู้ผลลัพธ์ของมันดีกว่าใครๆ อันที่จริงยูริน่าจะเข้าใจดีถึงการยิงครั้งนี้ดีว่าตัวเขามีสิทธิ์หยุดได้ตามต้องการเพียงบอกว่าหยุด แค่นั้นก็ชัดเจนถึงผลลัพธ์ต่อไปแล้ว ทว่าเขาไม่พูดสักคำแค่เมินไม่มองต่อสิ่งที่กำลังเกิด

ใช่มันไม่ต่างอะไรกับตัวยูริตอนนี้เลยสักนิดที่ตอนนี้มันเป็นอาชีพของทางเดินเขาอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ริเริ่มในอาชีพนี้มีใครที่ส่งเสริมบ้างหรือเปล่า มีใครหนุนหลังหรือไม่ในตอนที่ไปขาย ไม่มีเลยสักนิด ไม่เกี่ยวกับเหตุผลที่ว่าคนอื่นหรือใครจะทำต่อ มันไม่ได้ขึ้นกับคนอื่นเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาแต่เพียงคนเดียว เขาเหยียบหนทางนี้ เขาเปลี่ยนตัวเองเพื่องานนี้ เขาเลือกจะตัดสินด้วยเหตุผลของตัวเอง สุดท้ายปืนที่เล็งมาที่เขาคือการตัดสินใจในผลลัพธ์ที่ยิงออกไป

ปืนที่ขายให้คนอื่นได้ใช้ ปืนที่นำพาซึ่งหายนะที่ลั่นไก สุดท้ายวิถีของมันยังคงเป็นเรื่องเข้าหาตัวเองได้ไม่ต่างอะไรกับบาป ปืนที่ยิงยูริคือกระบอกหนาที่หาซื้อขายไม่ได้ มันมีเวลาที่ดปล่งประกายของมันเอง จากการใช้สาดกระสุนใส่คนอื่นมานักต่อนักเพื่อประโยชน์ ตอนนี้กระสุนที่วิ่งมาตั้งแต่เริ่มอาชีพได้ไล่ถึงชีวิตของเขา เป็นผลลัพธ์ไปถึงจิตวิญญาณ สุดท้ายปืนที่กระชากร่างกายวิญญาณของคนตายได้ไปถึงคนเป็นที่เขารักทุกคน และปืนคือตัวเขาที่ยิงใส่ทุกคนรอบตัวให้ล้มลงไปทีละราย


"อาวุธในสงครามทั่วโลกส่วนใหญ่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสมาชิกถาวรขององค์การสหประชาชาติ"

ถ้าไม่ใช่ตอนท้ายที่กล่าวประโยคนี้ขึ้นมาคงบางทีมันคงหาคำตำหนิแต่เหล่าพ่อค้าอาวุธ เมื่อประโยคนี้เกิดขึ้นมามันไม่ต่างอะไรกับตัวเองได้ถูกตบหน้าจากความเสมือนจริงกลายเป็นเรื่องตกใจที่เอาจริงๆแล้วของจริงมันก็เป็นแบบนี้ คนชั่วถูกจับยังคงลอยนวลได้เพราะบารมีอำนาจจากผู้นำ บางคนคงมองไม่ออกหรอกว่าตอนจบมันจะลงเอยที่คุกดีหรือไม่ แต่ที่แน่ผู้นำประเทศมีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งสิ่งสุดท้ายที่ยูริรอดมาได้เพราะอำนาจทางร่วมมือของคนผู้นั้น

สุดท้าย"สงครามนี้ไม่ใช่ของเรา"ไม่ได้หมายถึงเราไม่ได้เกี่ยวกับสงครามหรอกนะ จริงมันเกี่ยวโยงมาตลอดเพียงเหลือแค่ว่า"สงครามของเรา"จะมาถึงเมื่อไหร่ เมื่อวันนั้นมาถึงคนที่ยังติดในสงครามยังจะบอกได้หรือเปล่าว่า"สงครามนี้ไม่ใช่ของเรา"


ความเป็นจริงผู้ร้ายมีคนเกลียดมากกว่าชอบเป็นเรื่องปกติ อาชีพพ่อค้าอาวุธเป็นตัวละครที่ขัดต่อศีลธรรมไม่ชวนให้เอาใจช่วย แต่ลึกๆแล้วยังมีหน้ามาบอกไม่อยากเอาใจช่วยกับตัวละครนี้อย่างเต็มเปี่ยมได้จริงรึ เราแอบเอาใจช่วยคนฆ่าคนทางอ้อมโดยไม่รู้ตัวให้ประสบความสำเร็จกับการขาย ขอให้เอาชนะคู่แข่งกับอุปสรรคทั้งหลายด้วยดี นั้นเพราะเราคือยูริ การฆ่าตายกันในสงคราม ตามถนน หรือที่ต่างๆล้วนเกิดจากความกระหาย คนติดยาได้ต้องมียาเสพ เมื่อไร้ซึ่งยายังเป็นคนปกติ พ่อค้าอาวุธต้องมีคนกระหายในการฆ่าจึงขายได้ เมื่อไร้การค้าขาย อาวุธจะนิ่งเฉย และคนจะมีอายุที่ยืดยาวขึ้น เช่นความของนายตำรวจวาเลนไทน์ (Ethan Hawke) ที่ทำได้เพียงกักตัวยูริเอาไว้ 1 วัน

เป็นเวลาที่สั้นเกินไปสำหรับคนผิดศีลธรรม  โดยรู้ทั้งรู้ว่ากักตัวไปก็เปล่าประโยชน์เพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด ตัวยูริเองมีลู่ทางเอาตัวหนีกฎหมาย ดังนั้นการกักขังเขาไว้ 1 วันอาจไม่ทำให้จับกุมเขาได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าวันเวลแค่นั้นมีค่ามากแค่ไหนสำหรับชีวิตคน เพราะอย่างน้อยก็เท่ากับสามารถชะลอการส่งต่ออาวุธไปได้อีก 1 วัน หมายความว่าสามารถชะลอการตายที่กำลังจะเกิดขึ้นมุมใดมุมหนึ่งของโลกที่อาวุธจะไปถึงได้อีก 1 วันเต็มๆ เท่านี้คนที่น่าจะตายยังคงมีลมหายใจต่อไป

ก็รู้หรอกนะว่าสงครามไม่มีวันจบสิ้น ถ้าเรารู้คุณค่ามันมากกว่านี้สงครามคงจบทันทีที่ไม่ต้องมีการสูญเสีย สงครามที่ยิ่งใหญ่เป็นสงครามในตัวเราเองซะส่วนใหญ่ เทียบกันแล้วประเทศมหาอำนาจทั้งหลายคงหนีไม่พ้นกรณีนี้ นี่เรามองเห็นกระสุนหนึ่งลูกกับชีวิตหนึ่งคนได้ต่างกันแค่ไหนนะ

"การไม่ทำอะไรเลยยังดีกว่าการขายปืน"

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)