Stan Helsing (2009) ก๊วนเพี้ยน ปลุกผีหวีดดีไหมหว่า

Stan Helsing (2009) | ก๊วนเพี้ยน ปลุกผีหวีดดีไหมหว่า
Director: Bo Zenga
Genres: Comedy | Fantasy | Horror
Grade: D

เป็นอีกเรื่องที่มาแนวเดียวกันกับ Scary Movie (2000) ที่รวมมิกซ์หนังเด่นแต่ละปีมารวมเป็นเรื่องเป็นราวเดียวพร้อมกับมุขต่างๆนาๆที่เชิงเสียดสีก็ใช่ปัญญาอ่อนก็มี ซึ่ง Stan Helsing จะมาในรูปของการรวมหนังสยองขวัญขึ้นชื่อยอดฮิตอย่าง Friday The 13th ที่มีฆาตรกรอมตะเจสัน วอร์ฮีส์,Halloween กับไมเคิล ไมเยอร์สฆาตรกรหน้ากากไร้อารมณ์,เลเทอร์เฟซจอมเลื่อยจาก The Texas Chain Saw Massacre,หัวตะปูพินเฮดจาก Hellraiser ตลอดจน A Nightmare On Elm Street เฟรดดี้ ครูเกอร์จ้าวนิ้วเขมือบ และมีผสมฉากสยองขวัญบางฉากบางเรื่องลงไปจนแทนที่จะน่ากลัวจนยี้กลายเป็นความฮาเสียแทน ส่วนจะฮามากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าใจกับตัวละครตรงหน้าด้วยหรือเปล่าว่ามาจากเรื่องอะไร มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ชมด้วยแหละว่าจะรู้สึกยังไงเวลารับมุขตลกเหล่านั้น ซึ่งจะขำมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่อารมณ์ส่วนตัว


เนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไรเลยจริงๆกับพล็อตเรื่องที่ตามตรงไม่มีนอกระบบระเบียบที่เริ่มต้นจากชายหนุ่มสแตน (Steve Howey) พนักงานขายหนังที่ได้รับว่าจ้างให้ไปส่งหนังที่ลูกค้าส่ง ซึ่งเผอิญเป็นจังหวะที่เขากับเพื่อนๆ ได้แก่ นาดีน (Diora Baird) ,เทดดี้ (Kenan Thompson) และเมีย (Desi Lydic) จะไปเที่ยววันฮาโลวีนกันซะหน่อย ทำให้ต้องอาศัยรถไปส่งของเสียก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนไล่ออกจากงาน แต่เกินสถานการณ์ไม่สู้ดี ยิ่งขับตามเส้นทางที่จะส่งของเรื่อยๆก็ยิ่งแปลกประหลาดกับสิ่งต่างๆที่พบมากมายที่ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องปกติทั้งนั้น จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านที่พวกเขาจะเอาหนังไปส่งของ ทำให้พวกเขารู้แล้วว่าที่หมู่บ้านแหล่งนี้ต้องคำสาปให้มีปีศาจเดินเพ่นพานได้อย่างอิสระ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ได้รับความหวังจากชาวบ้านต้องช่วยกำจัดปีศาจเหล่านั้นให้ออกจากหมู่บ้านไป แล้วจะพวกเราทำยังไงล่ะถึงจะเอาปีศาจพวกนี้ออกไปจากที่นี้ได้ ไม่รู้สิ!

จะว่าฮาขำขันสู้รุ่นพี่อย่าง Scary Movie ภาคแรกได้หรือเปล่านั้น โดยส่วนตัวบอกได้เลยว่ายังห่างอยู่มาก ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้หนังประเภทยำถึงมีลักษณะเส้นตื้นกันไปหมด(มุขง่ายๆ) โดยอย่างยิ่งการทำในสิ่งเว่อร์ๆด้วยทุนต่ำสุดติดดินที่ดูกี่ทีก็รู้ว่าเตรียมอุปกรณ์ฉากกันจะๆ ไม่มีดัดแปลงให้ออกมาเนียบกลมกลืนเลย และใน Scary Movie ทำได้ดีมากในเรื่องของการกลมกลืนอย่างลงตัวถึงที่สุดโดยเฉพาะตอนจบที่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าจะมีการหักมุมได้อีก สรุปว่าทั้งฮาทั้งหักมุม แล้วกับ Stan Helsing ล่ะเป็นยังไงบ้างในด้านของความกลมกลืน คงตอบได้ว่าทำได้ไม่สุด ซ้ำร้ายไปกว่าคือการเอาตัวละครที่ติดตาคอหนังสยองมาป่วนจนเละเทะไปหมดเลย ก็หนังตลกจะเอาสยองตามต้นฉบับคงยังไงๆกันอยู่ต้องมีดัดแปลงกันบ้างเพื่อลดกลิ่นอายเลือดเนื้อ คงไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะดัดแปลงให้ออกมาดูตลก ทว่าที่เละคือภาพพจน์ของตัวละครสยองขวัญออกจะไร้เสน่ห์ไปหน่อย อย่างเช่น เฟรดดี้ ครูเกอร์ที่กลายเป็นพวกแร็พโย่วห้อยนาฬิกาบนอก รวมถึงการแต่งกายที่ชวนไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย หรือจะพินเฮดที่เกือบจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ เพราะไปดัดแปลกจากตะปูกลายเป็นลูกดอกที่เอาไว้ปาตามผนัง สภาพคงพอดูแปลกตาได้บ้างในจังหวะ แต่เอาจริงๆมันก็ไม่เห็นจะได้ขันตรงไหน ต่อให้ดัดแปลงถุงมือเฟรดดี้เป็นแปรงสีฟันก็ไม่เห็นจะพิลึกแปลกตา หรือจะเสียดสีเลเทอร์เฟซในด้านอาวุธประจำกายอย่างเลื่อยไฟฟ้าเป็นเครื่องเป่าลมแทน ที่เป่าลมเนี้ยนะ! มันดูตลกตรงไหนกันหว่า? อ่อใช่มันดูฮาตรงที่ไปเสียดสีตัวละครในตำนานจนกลายเป็นของเด็กๆไปน่ะสิ(จริงเหรอ?!)


ในด้านนักแสดงเล่นได้แอบแข็งๆนิดหน่อย ประมาณว่าพอเห็นเดี๋ยวจะก็รู้เองว่าเล่นแข็งในฉากไหน พอเอาจริงเอจังก็ต่างเล่นได้ทะเล้นดี เห็นอย่างงี้หน้ามันฟ้องเลย ที่ชอบสุดคือนักแสดง Desi Lydic คนนี้เล่นได้บทบาทเนียนกับตัวเองมาก ที่สำคัญยังเป็นตัวโดดเด่นของเรื่องที่มักเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองอยู่บ่อยๆ และแต่ละครั้งที่เปลี่ยนก็กลายเป็นเหมือนจุดขายในเรื่องให้น่าติดตามจากความน่ารักอีกด้วย แถมยังเล่นทะลึ่งกว่าที่คิดอีกด้วย ผิดกับนักแสดงที่น่าจะเป็นนางเอกอย่าง Diora Baird ที่ไม่ค่อยมีบทบาทดึงความสนใจเท่าที่ควร แต่ด้วยรูปลักษณ์จัดว่าเซ็กซี่ไม่น้อย ซึ่งคนๆนี้มักจะโดนเล่นมุขหน้าอกอยู่บ่อยๆด้วยเหตุที่ว่าล้นกว่าชาวบ้านชาวช่อง ในขณะที่พระเอกของเราอย่าง Steve Howey เล่นได้ดีเหมือนกัน แต่เหมือนดูขัดๆยังไงไม่รู้ บางฉากก็ไม่ว่าอะไร พอบางฉากเหมือนจะไม่ใช่ตัวของตัวเองเลย ที่ดีคือตัวหนังให้บทบาทที่เยอะจนเป็นตัวเด่นมากที่สุดในเรื่องลองจาก Desi Lydic และคนที่มาแปลกสุดในเรื่องคือ Kenan Thompson ที่แต่งกายได้เด่นกว่าคนอื่น และแปลกตากว่าใครๆในชุดซุปเปอร์แมน ผิวเผินคงไม่แปลกเท่าไหร่ถ้ารู้ว่าในหนังกำลังเล่าเรื่องในตอนวันฮาโลวีน แต่ที่แปลกคือสีสันของเสื้อผ้ากับนิสัยของตัวละครนี้ที่ค่อนข้างพิลึก ในบางครั้งยังงงๆอยู่เลยว่ามันเป็นคนดีจริงหรือเปล่า หรือในบางจังหวะเล่นมุขจับหน้าอกได้เนียนมาก ทำเป็นไม่รู้เรื่องได้หน้าตาเฉย ก่อนจะรู้ตัวอีกทีเจ้าตัวบอกว่าจับหน้าอกฉันอยู่ โอ้โหเล่นซะเนียนกับบทเหลือเชื่อ อ่อเกือบลืมไปคนหนึ่งที่โผล่มาในบทคุณป้าพนักงาน Leslie Nielsen ถ้าเป็นแนวล้อเลียนนี่ไปโผล่แทบทุกเรื่องไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้โชว์มุขอะไรเด็ดๆออกมา อย่างมากก็ฮาด้วยการแต่งกายเป็นหญิงไปล่ะกัน


"ฉันว่าวันนี้ทั้งวันไม่มีตอนไหนดีกว่าตอนนี้แล้ว"

ใครที่ดูเรื่องนี้คงจะเข้าใจประโยคนี้กว่าใครๆที่ยังไม่ได้ชม ซึ่งเจ้าฉากนี้ถือเป็นมุขอย่างหนึ่งที่เรียกความหื่นก็ว่าได้ แต่เชื่อเหอะเป็นไปอย่างที่พูดนะแหละว่าเป็นมุขที่พอใช้ได้ ซึ่ง Desi Lydic ออกหน้าออกตาแสดงได้อารมณ์ เอ่อไม่ได้ต้องการบอกว่าเป็นฉากหื่นเกินไปนะ ต้องเรียกว่ามุขเด็ดถึงจะถูก ในขณะที่มุขอื่นๆที่ขนมาเรื่อยๆนั้นต่างเป็นมุขที่ค่อนข้างกร่อยจนน่าผิดหวัง ข้อดีที่ยังพอดูได้คือความต่อเนื่องของเรื่องราวที่เติมมุขเสริมเข้ามาตามจังหวะว่างอย่างเช่นมุขสแตนนึกถึงวันวานระหว่างเขากับนาดีนว่าเลิกคบกันเพราะอะไร ประเด็นตรงนี้จัดว่าเป็นอีกมุขที่ทำได้ดี

ส่วนทางด้านมุขอื่นๆออกจะพาเบื่อซะมากกว่า แต่อะไรนั้นที่จะผิดหวังไปไม่ได้คือการเอาตัวละครสยองขวัญมาบรรเลงในตอนท้ายเรื่องแบบไร้สาระอย่างสุดกุ่ ตอนที่สู้กันอย่างพอสนุกได้บ้าง โดยเฉพาะการเลือกเอาความฝันมาใช้ เป็นไฮไลท์อีกแบบที่หักมุมเนื้อเรื่องในช่วงนั้น ถ้าความฝันเป็นของเฟรดดี้ แล้วตัวละครอื่นๆอย่างเจสันหรือเลเทอร์เฟซมีจุดเด่นอะไรบ้าง


ในด้านตัวละครอย่างเช่นพวกเจสัน ไมเคิล และเลเทอร์เฟซจะมีบทบาทที่น้อย อาจเป็นเพราะพวกนี้พูดไม่ได้ด้วยก็เลยไม่มีอะไรจะโชว์นอกจากการกระทำของตัวเอง โชคดีหน่อยที่เลเทอร์เฟซมีเครื่องสังหารอย่างฮาของตัวเองใน ขณะที่ไมเคิลไม่มีอะไรเปลี่ยนนอกจากทรงผมที่ยาวกว่าต้นฉบับจนภาพลักษณ์ชวนแปลกตากับหน้าตาที่คล้ายกับตัวตลก(มีทำหน้ายิ้มด้วย) ผิดกับเจสันที่รายนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากกลายเป็นนักกีฬาฮอกกี้เต็มตัว ก็เหมือนพินเฮดที่เหมือนจะมีบทเยอะที่โผล่มาในส่วนต้นๆของหนัง แต่เอาจริงมาเร็วไปเร็ว เกือบลืมตุ๊กตาชัคกี้จากเรื่อง Child's Play ไปซะสนิทเลย ถ้าจะลืมคงไม่ว่าหรอก เพราะดันใช้นักแสดงคนเป็นๆเล่น เสน่ห์เลยหายไปหมด ทำให้ไม่เป็นที่น่าจดจำเลยสักนิด แถมไม่รับรองว่าตัวละครจะแจกบทกันทั่วถึงที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวหายไปโผล่อีกทีก็นาน ที่สำคัญคือชื่อหนังที่ใช้คำว่าเฮลซิ่งต่อท้ายที่ความจริงคือชื่อของตัวละครสแตน หรือสแตน เฮลซิ่ง แล้วมันยังไงเหรอ เนื่องจากมีคำว่าเฮลซิ่งต่อท้ายในเรื่องก็เลยเป็นที่พูดกันจังเลยว่า"คุณคือแวน เฮลซิ่ง" และเจ้าตัวบอกไม่ใช่ผมคือสแตนไม่ใช่แวน สุดท้ายก็กลายเป็นนักล่าปีศาจในท้ายที่สุดจนได้ เท่านั้นยังไม่พอคือการปล่อยให้เหตุบังเอิญกลายเป็นเรื่องจริงด้วย แล้วเขาก็คือนักล่าปีศาจจริงๆไปซะงั้น การดำเนินเรื่องค่อนข้างมาในอารมณ์เถรตรงสุดราบเรียบ ไม่ตื่นเต้นไม่เร้าใจ โดยรวมมุขยังสองแง่สองง่าม ดังนั้นก็แล้วแต่ใครจะชอบล่ะกัน จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสีสันที่คิดว่ายังงั้นๆแหละ
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)