Friday the 13th Part 2 (1981) ศุกร์ 13 ฝันหวาน ภาค 2

Friday the 13th Part 2 (1981) | ศุกร์ 13 ฝันหวาน ภาค 2
Director: Steve Miner
Genres: Horror | Mystery | Thriller

หลังจากที่ภาคแรกจบไปด้วยดีก็ไม่วายตามมาติดในภาคต่อที่เนื้อหาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงจากเรื่องเล่าในภาคแรกเกี่ยวกับลูกเจสันที่น่าจะตายไปแล้วในเหตุการณ์จมน้ำ มาคราวนี้กลายเป็นภาคอำเอาจริงที่เปิดตัวละครนักฆ่าแห่งโลกมายาอีกแบบที่รู้จักกันดีในคอหนังสยองขวัญในนามเจสัน วอร์ฮีส์


ภาคแรกทำเอาคนสมัยนั้นกลัวการอยู่แคมป์ป่าไปเลยโดยเฉพาะความสดในเรื่องกับการสร้างความสยองชวนเสียว เนื้อเรื่องสานต่อจากภาคแรกที่ตอนนี้ผ่านพ้นไปแล้วถึง 5 ปี ตอนนี้แคมป์คริสตัล เลคได้ปิดใช้บริการ เพราะเหตุการณ์สยองในครั้งนั้น เวลานี้ได้มีหนุ่มสาวมาใช้บริการพักร้อนในแคมป์ใกล้ๆ แต่ไม่วายมีข่าวลือต่างๆนาๆเกี่ยวกับความสยองที่แคมป์คริสตัล เลคเมื่อหลายปีก่อนผ่านมาจนเป็นเรื่องเล่าให้ฟังเข้าหูในท้ายที่สุด ซึ่งทุกคนต่างฟังต่างไม่เชื่อกันไป เพราะมัวแต่สนุกกับแคมป์จนมองว่าเป็นเรื่องเล่าชวนให้กลัวมากกว่า


ทว่าเรื่องเล่าใครจะเชื่อจนเกิดการฆ่าเท่านั้นแหละ ต่างคนต่างโดนเชือดกันระนาว วิ่งกันไม่คิดชีวิต เพราะเจสัน วอร์ฮีส์มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ แถมไม่ใช่เด็กเล็กๆอย่างที่คิดเอาไว้เลย ตอนนี้ตัวโตมีพละกำลังกับเจตนารมณ์ฝังใจให้ฆ่า ฆ่า และฆ่าเท่านั้น เนื่องจากความแค้นที่เห็นแม่ตัวเองต้องตายด้วยฝีมือวัยรุ่นกับตาในคืนนั้น

ภาคแรกดังนักก็จัดไปกับภาคต่อที่อีกเดี๋ยวจะต่อยาวเลยกับตัวละครสุดโหดตัวนี้ สำหรับเนื้อเรื่องยังยึดติดตามภาคต้นฉบับไม่เปลี่ยนแปลงกับสูตรกลุ่มวัยรุ่นหาที่เที่ยวแล้วมาลงเอยการพักแคมป์ใกล้ป่า โดยหารู้ไม่ว่ามีฆาตรกรแอบแฝงอยู่ตามป่า แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีฆาตกรแอบอยู่จะมีแต่ข่าวลือลอยมาเท่านั้น นอกจากเค้าเดิมเกี่ยวกับพฤติกรรมวัยรุ่นแล้วแทบไม่มีอะไรนอกเหนือจากภาคแรกมากนัก โดยเฉพาะเหล่าวัยรุ่นที่ตัวหนังจะคัดสรรตามติดชีวิตไปเรื่อยๆจนกระทั่งโดนเจือน และแน่นอนว่าจะต้องเป็นฉากประจำหนังเรื่องนี้คือการมีเซ็กซ์ ไม่ว่าจะระหว่างหรือเสร็จแล้ว รับรองได้ว่ามีโอกาสโดนฆ่าแน่ๆ มันก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งสูตรที่เข้าสารานุกรมหนังสยองขวัญว่าใครทำอะไรร่วมรักอยู่มักจะตาย เพราะไม่ได้สังเกตสังการณ์อะไรเลยเนื่องจากมัวนัวเนียลูบคลำกันอยู่ ซึ่ง Friday the 13th จะใช้สูตรนี้มาใช้บ่อยๆ ทางกลับกันดูเหมือนจะตั้งใจสื่อถึงเรื่องเพศสัมพันธ์เชิงเสียดสีซะด้วย ประมาณว่าเป็นเรื่องที่มักเคยตัวของวัยรุ่นที่ทำกันโดยไม่สนความเป็นไปของความรักที่บริสุทธิ์ มีอะไรก็จะลงกันที่เตียงเป็นประจำ สื่อถึงความล่อแหลมในกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ห่างไกลผู้ใหญ่แล้วจะมีสภาพหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเซ็กซ์ใช่จะเป็นเรื่องสมควรเสมอไป หนังก็เลยจัดการฉากนี้ให้ตามด้วยความสยองตามตบท้ายที่ทำเอาผู้ชมปรับอารมณ์ไปอีกอย่างแบบทันควัน และชวนให้คิดไตร่ตรองว่าคืนนี้คงต้องงดกิจวัตรกันก่อนแล้วล่ะ


ถ้ามองว่ายังคงตามสูตรเสมอไปอาจทำให้เข้าใจผิดว่ายังเหมือนเดิม แต่เปล่าเลยเพราะถ้าพูดกันตรงๆอาจฟังดูซ้ำ แต่นี่มีการเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไปให้ฟังดูกระจ่างมากยิ่งขึ้น ในส่วนของภาคแรกเป็นการแสดงถึงความสนใจเรื่องรอบข้างที่มีเซ็กซ์เป็องค์ประกอบ อย่างการช่วยเหลือคน ภาคแรกได้กล่าวเอาไว้ว่าลูกเจสันจมน้ำเพราะไม่มีใครช่วยเหลือเลยทั้งที่มีคนอยู่เต็มตา เนื่องจากมัวแต่ใคร่รักกันจนไม่ลืมหูลืมตามองเด็กจมน้ำหรือกระทั่งการฟังเสียงช่วยเหลือจากแม่ที่ร้องโหยหวนอย่างน่าสลดใจ

พอมาเนื้อหาในคราวนี้ยังใช้ประเด็นในทางล้างแค้นเช่นเคยโดยฆ่าวัยรุ่น และโดยเฉพาะใครก็แล้วแต่ที่มีเซ็กซ์จะต้องพบความเป็นไปเสมอ แล้วอะไรทำให้เจสัน วอร์ฮีส์เกิดอยากฆ่าคนนักหนา แล้วทำไมเขามีความผิดปกติอยากฆ่าขนาดนั้นได้ ว่ากันภาคแรกคือการเสียสติของผู้หญิงคนหนึ่งที่รับไม่ได้กับการที่ตัวเองปล่อยลูกจมน้ำต่อหน้าต่อตาจนช้ำใจ พอมาในภาคนี้ยังคงคล้ายๆกันคือเป็นฝ่ายลูกที่เห็นความเลวร้ายที่แม่ของตัวเองตายด้วยฝีมือวัยรุ่นต่อตา สิ่งนี้เองที่ทำให้ภาคนี้มีเสน่ห์ด้วยการบอกถึงความในใจของตัวละครนักฆ่าตัวนี้ผ่านการวิเคราะห์

จะเห็นว่ามีอยู่ฉากหนึ่งที่มีการถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับเจสัน โดยตัวละครดังกล่าวคือจินนี่ ฟิลด์ (Amy Steel) ที่นำข่าวลือมาประเมินให้เห็นว่าเพราะอะไรสภาพจิตใจของเจสันจึงเป็นเช่นนั้น โดยตัวหนังไม่ได้ปล่อยให้คนวิเคราะห์เป็นคนธรรมดา แต่เรียนรู้ถึงจิตวิทยามาก่อน และไม่แปลกใจว่าการคิดของตัวละครนี้จะเป็นถึงผู้ช่วยฝึกอบรมชาวค่ายและเป็นที่ปรึกษาของแคมป์ ด้วยหลักการคิดของเธอทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงตัวเจสันได้อย่างดีรวมถึงการปูพื้นตัวละครมาแบบไม่ต้องเสียเวลา นั่นเองที่ทำให้เธอคือนางเอกของเรื่อง


สิ่งที่จินนี่อธิบายคือการบอกถึงการรับรู้จิตใจต่างระดับ โดยอย่างยิ่งกับเด็กแล้วการเห็นแม่ของตัวเองถูกฆ่าตายจะกลายเป็นปมที่เช่นระทมในใจ สิ่งแรกที่เรารับรู้คือเจสันมีร่างกายผิดปกติจากคนอื่นทั่วๆไป ฉะนั้นจึงไม่แปลกถ้าไม่สามารถเข้าหาสังคมอันเป็นที่รักได้จนเกิดเหตุการณ์ว่าทำไมไม่มีใครช่วยเจสันจากน้ำได้ เพราะทุกคนรังเกียจไม่สนใจนั้นเอง และคนที่ยังรักเขาแบบไม่ตัดขาดสัมพันธ์ที่รักคือแม่ผู้บังเกิดเกล้า ในภาคแรกเราคงรับรู้ได้ว่าแม่ของเจสันรักลูกตัวเองมากแค่ไหนจนถึงกลับสติฟั่นเฟืองเป็นฆาตกรไปด้วยความแค้น เมื่อแม่ที่เป็นที่พึ่งทางใจได้จากไปก็เป็นไปได้อีกว่าเจสันขาดการเลี้ยงดูสั่งสอนมาตลอด 5 ปีนับแต่เหตุการณ์ภาคแรก และด้วยการเห็นแม่ของตัวเองตายจึงไม่ต่างกับคนเกิดความแค้นฝังใจแต่เด็กที่ถูกสั่งสอนมากับคำว่าต้องฆ่าอย่างเดียว เพราะเวลาที่ไร้การเลี้ยงดูเจสันจึงไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเลยนอกจากร่างกายที่จิตใจยังเด็กอยู่อย่างนั้น ยังคงยึดมั่นวิถีแบบเด็กๆคิดกัน อีกแง่หนึ่งไม่ต่างอะไรกับเด็กในคราบผู้ใหญ่กับประสบการณ์วันเลวร้ายยากรับมือเพราะ"ทำไมต้องฆ่าแม่ของหนู"

ในทางนักแสดงไม่เป็นที่เตะตานักกับการคัดสรรเฉพาะคนไม่ดัง จึงรู้สึกได้ว่ามีอารมณ์ดิบๆปะปนที่สอดคล้องกับบรรยากาศในป่าชวนธรรมชาติได้ชัดเจน ที่แน่คือนักแสดงที่ใช้ต้องเป็นหน้าเป็นตาทางวัยรุ่นหรือจะเรียกว่าประมาณหล่อกับสวยก็ว่างั้น โดยส่วนตัวคิดว่าภาคนี้มีตัวละครที่ค่อนข้างเยอะไปหน่อยจนเริ่มตะหงิดใจแล้วว่าจะเห็นฉากฆ่าจะเลี่ยนหรือเปล่า แล้วความจริงกับตรงกันข้ามที่รู้สึกมีการแบ่งคนไปที่ตัวเมืองบ้างอยู่ในแคมป์บ้าง และแน่นอนว่าคนที่อยู่ในแคมป์ต้องพบชะตากรรมเช่นไร ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่แคมป์คือตัวละครที่ทำให้ผู้ชมออกอาการเดาว่าชัวร์เลย


ชัวร์ที่ว่าคือมีพระเอกหรือไม่นางเอกแน่นอน ซึ่งเป็นอย่างที่บอกเพราะจินนี่นางเอกในเรื่องคือตัวละครที่ใช้ปัญญาสู้กับเจสันได้อย่างฉลาด ในตอนที่จนตรอกเริ่มสู้ไม่ไหวทำให้เธอฉุดคิดได้ว่าเจสันมีปัญหาทางเรื่องครอบครัวที่ปราศจากแม่ ดังนั้นจินนี่จึงสู้ด้วยทักษะปัญญาที่ทำให้ภาคนี้มีเสน่ห์ที่สมเหตุสมผลกว่าภาคแรกที่วิ่งๆหนีๆฟันคอขาด น่าเสียดายที่ตัวละครยังมีบทบาทตามแบบภาคแรกเช่นเคยที่ยังไปตามประสาวัยรุ่น ไม่มีอะไรน่าสนใจมากมายกับการอยู่แคมป์ที่ยังไงต้องมีคู่รักให้เชือด ส่วนนักแสดงรายอื่นๆยังคงตามน้ำในบทบาทของตัวเองต่อไป

อย่างที่กล่าวข้างต้นที่ภาคนี้เจสันไม่ได้ตายอย่างที่บอกภาคแรก ในเนื้อเรื่องจะเป็นคนเป็นๆธรรมดาอย่างเราๆ เพียงมีทักษะการฆ่าแบบไม่มีคำว่าปรานี และภาคนี้ยังถือเป็นคอนเซ็ปต์เรื่องตัวละครเจสันที่เห็นแล้วแปลกตาไปอีกแบบกับสภาพหัวคลุมด้วยถุงผ้าไล่ฆ่าชาวบ้าน บางคนถามแล้วหน้ากากฮอกกี้ล่ะมันยังไงกันเหรอ ขอตอบว่าลองหยิบภาคต่อมาดูสิแล้วจะรู้ว่าเจสันที่เราคุ้นหน้ามาจากไหน ตอนนี้ขอให้รู้สึกโฉมหน้าแบบนี้ไปก่อน จัดว่าเถื่อนไปอีกแบบกับฉบับนักฆ่าที่ไม่ค่อยจะลงทุนเรื่องปกปิดใบหน้า
 

ที่น่าประทับไม่เปลี่ยนเป็นดนตรีประกอบที่ยังเอาสะดุ้งผวาได้ง่ายเช่นเคย โดยคนประพันธ์คือ Harry Manfredini ที่ทำได้ไม่น่าผิดหวังกับบรรยากาศพาลุ้นได้อย่างน่าพอใจ นอกจากดนตรีที่เพิ่มความสยองขนลุกได้แล้วยังมีบรรยากาศแอบมองไม่ต่างจากเดิมที่ทำให้เรารู้ว่าในสายตาฆาตกรคนนี้กำลังแอบทำอะไรอยู่ มองใครบ้าง และเหยื่ออาจจะใช่คนที่กำลังจ้องหรือเปล่า ที่สำคัญยังเพิ่มความหลอนมากับรูปลักษณ์เงาดำที่ตัดกับแสงแสดงให้เห็นฆาตกรที่อยู่ไม่ไกล และอันตรายยังคงอยู่รอบบริเวณไม่ได้ห่างไปไหนเลย ฉะนั้นจะเห็นว่าความปลอดภัยหาแทบไม่ได้เลยกับหนังเรื่องนี้ ขนาดแม้แต่กับตำรวจยังโดนเล่นงานอย่างง่ายดายคงไม่นับประสากับเด็กวัยรุ่นที่กำลังมีความสุขหรอกนะ ไม่ใช่แค่ดนตรีหรือบรรยากาศที่เล่นเท่านั้นยังต้องนับเรื่องของความสมจริงกับการรีเมคที่เฉาะกับสดๆ สมัยนั้นการเมคอัพแต่ละทีต้องบอกว่ามืออาชีพเท่านั้นที่ทำให้เรารู้สึกสยองได้ และ Friday the 13th ภาคนี้ยังคงมาแรงกับโหดเช่นเคยเพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นสะใจกว่าก่อน เพราะมีการใช้มุมกล้องหลบก็เลยเห็นแต่หน้านักแสดงที่โดนฆ่าแทน ถือเป็นอีกอารมณ์ที่เหมือนมาอยู่ตรงหน้าก็โดนแทงแบบไม่มีคิดรีรอ นับเป็นข้อดีที่หนังเรื่องนี้ทำให้ไม่เสียเวลาการฆ่า พอได้จังหวะลงมือรับประกันว่าตายชัวร์แน่ๆ แต่ที่ชอบคือฉากหนุ่มรถเข็นที่มาคอยแฟนตัวเองในคืนที่ฝนตกพอดี จังหวะช่วงนี้หลังจะเข้าหาข้างหลังรถเข็นสลับกับหน้าหนุ่มคนนั้น เป็นแบบนี้สักพักจนเสียวไส้เลย คือเป็นอะไรที่พะวงกับตัวเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นหว่าก่อนฉากนั้นจะจบลงแบบชวนสะดุ้ง(กับคนลุ้นจัด)


Friday the 13th Part 2 ยังคงไว้ลายกับการฆ่าที่โหดไม่เปลี่ยนแปลงจากเคยที่เอาถึงใจผู้ชมหนังสยองขวัญอย่างดี พร้อมกันนั้นยังเพิ่มปมของตัวเจสันให้เป็นพื้นฐานความเข้าใจได้พออิ่มกับเหตุผลได้อย่างดี แต่ที่เห็นได้น้อยในหนังสยองขวัญคือการทำยังไงให้ตัวเองไม่สติแตกก่อน และเรื่องนี้สามารถสร้างตัวละครใจแข็งได้เยี่ยมจริงๆกับนางเอกที่ตีโจทย์ปมในใจของเจสันจนสามารถเอาตัวรอดมาได้แบบฉิวเฉียด สรุปว่าบรรยากาศยังชวนหดหู่ได้พอประมาณ ยิ่งติดในป่าเปล่าเปลี่ยวแบบนี้จะขอความช่วยเหลือคงโดนฆ่าก่อนแน่ๆ

ดังนั้นต้องลุกขึ้นสู้กับมันบ้าง แต่จะสู้ได้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ และส่งท้ายว่าเจสันภาคนี้ยังคงเห็นเซอร์ไพรส์ตอนจบให้ตกใจอีกครั้ง เป็นการบ่งบอกว่าเรื่องนี้สยองจัดจนตัวละครในเรื่องยังประสาทเสียเลย แล้วกับผู้ชมล่ะ ถ้าดูในที่เปล่าเปลี่ยวไร้ผู้ชมจะรู้สึกได้ไหมว่าที่ๆตัวเองอยู่นั้นปลอดภัย และไร้ข่าวลือ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)