One Day (2011) วันเดียว วันนั้น วันของเรา

One Day (2011) | วันเดียว วันนั้น วันของเรา | B+
Director: Lone Scherfig
Genres: Drama | Romance

"เธอทำให้นายเป็นผู้เป็นคน ในขณะที่นายก็ทำให้เธอมีความสดใส"

วันที่ 15 กรกฎาคม ปี 1988 เป็นวันสำเร็จการศึกษามหาลัยของนักศึกษาทั้งหลายที่ในนี้รวมไปถึงเอ็มมา มอร์ลีย์ (Anne Hathaway) และเด็กซ์เตอร์ เมย์ฮิว (Jim Sturgess) ที่บังเอิญว่าเป็นวันที่ทั้งคู่ได้รู้จักกันและรู้สึกได้ถึงความรักช่วงวัยรุ่นที่เข้าพัดผ่านมา แต่เวลานั้นที่เหมือนกำลังไปได้สวยหรูเกิดตัดสินขอเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา จนตลอดเวลา 20 ปีผ่านไปต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อหาจุดเปลี่ยนของชีวิตและความหมายของการดำเนินตัวเองให้ก้าวต่อไป และเมื่อเจอเรื่องราวที่มากขึ้นก็ยิ่งพบประสบการณ์ต่างๆนาๆที่หลากหลาย แต่ไม่ว่ายังไงที่ช่วงเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ทั้งคู่ยังคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากวันแรกที่พบเจอ แม้จะห่างไกลต่างฐานะการงานราวกับต่างคนต่างชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ยังมีอยู่ก็ยังคงเรียกร้องแก่กันและยังคงมีแก่กันเสมอไม่เปลี่ยนแปลง


จัดว่าเป็นหนังที่ผิวเผินดูธรรมดาแต่แฝงเรื่องราวอันลุ่มลึกพอตัว เริ่มจากเดิมทีเป็นนวนิยายชื่อเดียวกันที่เขียนขึ้นในปี 2009 โดย David Nicholls ด้วยการเล่าผ่านตัวละครทั้งสองระหว่างเอ็มมากับเด็กซ์เตอร์ผ่านช่วงวันเวลาที่ถูกกำหนดใน 1 วันจาก 1 ปีของทุกๆวันที่ 15 กรกฎาคม ทำไมต้องเลือกวันนี้ทั้งเรื่องทั้งที่วันอื่นๆอาจดูดีกว่านี้หรือน่าจดจำกว่ามาก เพราะว่าวันนั้นเป็นวันแรกที่ทั้งคู่ได้พบได้เจอและรู้จักกันอย่างใกล้ชิด ทางเนื้อเรื่องจึงถือว่าวันนั้นของทุกปีไม่ต่างกับวันปีใหม่ของชีวิตทั้งคู่ของแต่ละปีหรืออาจมีความหมายมากกว่านั้นก็ได้ ซึ่งการดำเนินเรื่องจะมุ่งเน้นหนักไปที่ตัวเด็กซ์เตอร์มากกว่าเอ็มมาที่แสดงจุดเสี่ยงของชีวิตได้กว้างกว่าตามฐานะอาชีพของตัวเอง เริ่มที่การเรียนเมืองนอกแยกทางจากเอ็มมาจนได้เป็นพิธีกรรายการดึกที่กลายเป็นที่รู้จักโดยกว้างของสังคมแล้วสุดท้ายหนุ่มจ้าวเสน่ห์ผู้นี้เป็นเพล์บอยรักสนุกไม่อยากผูดมัดกับใคร ทั้งการใช้ชีวิตที่มักล้ำเส้นออกนอกทางอยู่บ่อยครั้ง เป็นเหตุที่ว่าทำไมเด็กซ์เตอร์จึงรุ่งแล้วดับในท้ายที่สุด ซึ่งคนที่เยียวยาได้ไม่ใช่ใครแต่เป็นเธอ เธอที่เขาพบและไม่เคยลืมความสำคัญ เป็นเอ็มมาที่เขาไม่เคยลืมอย่างที่เขาทำกับใครมาก่อน ส่วนเอ็มมาคือผู้หญิงที่หลงรักเด็กซ์เตอร์ในสมัยเรียนที่เผยความในใจในวันที่จบก่อนความสัมพันธ์จะหยุดเอาไว้ที่การเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน แม้ว่าเธอจะพบปัญหาไม่ต่างกับเด็กซ์เตอร์และบ่อยครั้งที่ต้องทำใจยอมทนรับสภาพของเขา ทว่าด้วยปัญหาความรัก การงาน หรือเรื่องต่างๆก็ล้วนเทเข้ามาก็กลายเป็นว่าถูกคลี่คลายลงได้เพราะเขา เพราะการมีอยู่ของเขาทำให้เธอรู้สึกมีความสุขและรู้สึกดีที่ได้ยิ้ม


ทั้งเด็กซ์เตอร์และเอ็มมามีส่วนที่คล้ายคลึงกันคือการเป็นจุดที่เชื่อมเข้าหากันประหนึ่งอีกคนยืนอีกคนล้ม ไม่ได้หมายความว่าแค่นี้เพราะคนที่ยืนจะทำให้หน้าที่ยื่นมือเข้าหาคนที่ล้มเพื่อฉุดดึงขึ้นมา ดูได้จากข้างต้นที่ไม่ว่าฝ่ายไหนที่ทอใจในชีวิตแต่เมื่อนึกถึงอีกคนจะรู้สึกว่ามีกำลังใจขึ้นมาทันที ดังที่ว่ามีแต่เพื่อนแท้เท่านั้นที่ยอมอยู่จุดต่ำสุดเพื่อดึงเราเข้าสู่จุดสูงสุด ทว่าสิ่งที่เด็กซ์เตอร์กับเอ็มมาสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนดูจะมีอะไรที่มากกว่านั้นมาก ตั้งแต่การขาดใครบางคนที่ใกล้ตัวไปเวลานานๆจนรู้สึกคิดถึงอีกฝ่าย หรือจะแววตา พฤติกรรมที่ดูจะสนิทสนมกันมาก ถ้าใครที่ไม่รู้จักสองคนนี้ดีหรือเข้าใจฐานะทั้งสอง หลายคนน่าจะบอกว่าเขาและเธอเป็นแฟนกัน ทว่าความจริงแค่เพื่อนเท่านั้นเอง และเป็นเพื่อนที่ยังรักกันแม้จะขอใช้ชีวิตตามใจตัวเองในหลายๆเรื่องก็ตาม ฉะนั้นแล้วกำลังใจคือสิ่งสำคัญที่ยึดเหนี่ยวให้ผู้นั้นไม่ทอถอยจนเกินตัวต่อให้เป็นได้เพื่อนใจ

ตัวหนังมีการดำเนินเนื้อเรื่องที่แสดงจุดเปลี่ยนชีวิตของเด็กซ์เตอร์ค่อนข้างชัดเจนกว่าเอ็มมา ทั้งยังแสดงตัวตนด้วยว่าเขามีหลายอย่างที่ต้องเผชิญหนักหน่วงในชีวิต ทั้งเรื่องครอบครัว การงาน และสังคม ผู้ชมคงเห็นว่าเขาคือคนดีที่ดีต่อเอ็มมาไม่ฉวยโอกาสกระทำในเรื่องที่อาจจะทำได้ แน่นอนว่าเขายังเคารพต่อเอ็มมาเสมอไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าชีวิตที่หรูหราจากการงานทำให้เขากลายเป็นอีกคนที่หลงในแสงสีเสียงไม่ต่างกับคนนอกเข้ากรุง จึงไม่แปลกเมื่อเส้นกราฟที่ดีขึ้นจะลดน้อยลงทุกครั้งที่ตัวหนังเล่าผ่านแต่ละปี


แม้เขาจะพยายามดึงตัวเองให้กลับมาดีขึ้นจนได้ชีวิตคู่อีกคนพร้อมทั้งแต่งงานจนมีลูกพร้อม ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่เขารักจำต้องทอดทิ้งเขาไปเพราะรักที่ดีกว่า และถึงแบบนั้นเด็กซ์เตอร์ยังคงเป็นเด็กซ์เตอร์ต่อไปต่อให้ผิดหวังในความรักก็ตาม เนื่องจากคนที่เขามองหาเวลาเจ็บช้ำใจคือเอ็มมาที่ยังไม่ทอดทิ้งไปไกลแม้เธอจะมีคนรักของเธอเองเช่นกัน ในด้านชีวิตของเอ็มมากมีความลำบากไม่ต่างกับเด็กซ์เตอร์แค่มีจุดเสี่ยงที่น้อยกว่ามากเพราะเธอมีความเป็นไปในสังคมที่น้อย และแต่ละคนรู้จักเธอดีพร้อมยอมรับอย่างเข้าใจ เป็นข้อแตกต่างระหว่างเด็กซ์เตอร์ที่มุ่งเข้าหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองตามใจตนจนเข้าหาสังคมที่ปะปนกันระหว่างดีน้อยไม่ดีมาก ผิดกับเอ็มมาที่เธอไม่ได้เข้าหาวงกว้างแต่ได้ภาวะการดำเนินชีวิตที่ดีและปลอดภัยกว่า อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ตัวหนังดำเนินเนื้อเรื่องให้ดูแตกต่างกันแค่ไหนเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่เป็นไปยังไง กระนั้นหัวใจกับความรู้สึกยังคงเหมือนเดิม


ไม่ปฏิเสธว่าอะไรคือจุดบกพร่องที่ทำให้เนื้อเรื่องหลวม เมื่อตลอดการเล่าเรื่องมาจากวันเดียวของทุกปีตั้งแต่ 1988 จนจวบปัจจุบันที่ไล่ลำดับราวกับไทม์ไลน์ที่ทอดผ่านทุกวันที่ 15 กรกฎาคม ซึ่งจุดนี้นับเป็นมิติที่เข้าท่าดีแต่มันคงไม่ดีเท่าไหร่ในการหาทางพัฒนาตัวละครแบบทีละนิดละหน่อยแต่เป็นแบบก้าวกระโดดไกลเกินเอื้อมจนบางทีผู้ชมอาจจะตามเรื่องตามราวไม่ทัน เนื่องจากตลอดระยะเวลาตั้งปีนี้มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงเสมอ และไม่แปลกถ้าการหยิบวันเดียวของทุกปีมาร้อยเป็นเรื่องเดียวกันเสมือนคำถามที่ไร้คำตอบ หรือมีคำตอบแต่ไร้คำถาม ใช่เพราะแค่เปลี่ยนไปอีกปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายและแต่ละอย่างดูไม่ลงรอยกับปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด เช่น ชีวิตการเป็นพิธีกรของเด็กซ์เตอร์ที่ไม่รู้ว่าได้งานนี้มาได้ยังไงหรือตอนไหนแต่เราจะเห็นว่าเขาได้ทำหน้าที่ตรงนี้ไปแล้ว และเหมือนกับว่าพ่อ (Ken Stott) กับแม่ (Patricia Clarkson) จะไม่ปลื้มในงานนี้เท่าไหร่ หรือจะเอ็มมากับเอียน (Rafe Spall) ชีวิตคู่ที่กลายเป็นว่าใช้ชีวิตร่วมกันด้วยยังไงนั้นเราก็ไม่รู้ 

นอกจากช่วงเวลาที่เริ่มและจบลงไวเหมือนโกหก ซึ่งเราเห็นชัดเลยว่าบางเรื่องมีจุดเริ่มแต่ไม่มีกลางเรื่องจะมาอีกทีก็จบเรื่องไปแล้ว หรือจะไม่มีจุดเริ่มต้นแต่มีทิศทางของเรื่องจนจบข้อสรุป เป็นการบ่งบอกเลยว่าภายใน 365 วันมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย และการหยิบมาแค่วันเดียวในจำนวนนั้นไม่อาจบอกแทนได้ทุกวันที่ไม่ได้เอ่ยมา จะว่าเป็นการบอกนัยๆอีกด้านหนึ่งก็คือความแน่นอนคือสิ่งที่ไม่แน่นอน เราอาจเห็นวันนี้ตัวละครมีความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้แต่วันอื่นๆล่ะจะเป็นยังไงบ้าง วันนี้ดูมีความสุขแต่วันก่อนอาจทุกข์ระทม วันก่อนอาจเจ็บปวดแต่วันนี้รู้สึกดีขึ้นไม่มีอะไรกำหนดทิศทางได้แน่นอนเสมอทุกครั้งไป แต่เรากำหนดได้ว่าควรอยากให้เป็นเช่นไรบ้าง ดูได้อย่างเอ็มมาที่อยากจะเขียนหนังสือสักเล่มแต่เธอไม่เคยเขียนส่งเลย จนกระทั่งตัดสินใจเขียนหนังสือและได้ตีพิมพ์ในที่สุด เป็นดังที่ว่าคนเราสามารถสร้างความฝันให้เป็นจริงขึ้นได้ แต่การจะได้สิ่งนั้นมาเราต้องฝ่าฟันในหลายๆเรื่องเสียก่อนจึงจะประสบความสำเร็จจริงๆ เอ็มมาเขียนหนังสือได้สำเร็จก็จริงทว่าก่อนหน้านั้นเธอเจออะไรมาบ้างเราไม่อาจบอกได้เลย เพราะอุปสรรคเป็นสิ่งที่ต้องเจอเพียงเราเลือกเข้าหาไม่ได้เท่านั้นเอง


เพราะการพัฒนาการแบบก้าวกระโดดจึงมีช่องว่างที่อุดไม่มิดแม้จะพยายามสร้างตอนจบให้เร้าอารมณ์แบบซาบซึ้งและเก็บรายละเอียดในส่วนที่ค้างคา ทว่าอีกมุมเราจะมองโลกในแง่ดีคือชีวิตของคนเรามีรูปแบบที่หลากหลายในชีวิต ไม่จำเป็นต้องยึดติดในกฎเกณฑ์เสมอไปทุกชั่วกาล คือสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆของชีวิตที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วหลายครั้ง บางทีก็เกิดเรื่องใหม่ตามมา บางครั้งยังคงเป็นเรื่องเก่าที่ยังจัดการไม่จบสิ้น ที่เห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราอาจไตร่ตรองแต่งเพิ่มเข้าไปให้ดูมีมิติขึ้นมาเองก็ได้ ดังนั้น One Day จึงมีรูปแบบที่ไม่ตายตัวของเนื้อเรื่องทั้งหมด แต่อย่าลืมว่าการจะแต่งในจุดที่หายต้องเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ให้มาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นสิ่งที่หนังอุตส่าห์สร้างมาจะหาความประทับใจไม่เจอ เว้นว่าเช่นตอนจบที่ทำให้ปมที่ขาดหายไปได้กลับมาอีกครั้งได้อย่างครบถ้วนในเรื่องตัวละครที่โผล่มาทั้งพ่อแม่ของเด็กซ์เตอร์และเอ็มมาชวนให้ทิศทางที่ดูหลงทางได้เข้ามาอยู่ในกรอบอีกครั้งไม่ต่างกับการระลึกช่วงเวลาที่ดีที่สุด

โดยส่วนนี้ไม่ใช่หนังรักที่หวือหวา โรแมนติก หรือซาบซึ้งจนน้ำตาร่วง แต่เป็นการแสดงคุณค่าของชีวิตทั้งสองที่มองผ่านแต่ละปีว่าเป็นยังไงบ้าง แน่นอนว่ามีทั้งสมหวังไม่สมหวังปะปนกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ประทับอย่างมากคือความเป็นธรรมชาติของเนื้อเรื่องกับนักแสดงที่กลมกลืนได้อย่างสวยงาม ทุกภาพทุกมุมมองล้วนดูสบายตาไม่ขัดแย้ง การได้นักแสดง Anne Hathaway มาเล่นเป็นเอ็มมาได้อย่างแนบเนียนดูแล้วลื่นตาทุกสัดส่วน แลกลายเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ชวนน่าสัมผัส ส่วนนักแสดง Jim Sturgess เล่นได้ดีสมบทบาทเช่นกัน เป็นหนุ่มที่ดูมีเสน่ห์ได้ทุกเวลา แสดงอารมณ์ได้ชัดเจนแม้ไม่ต้องเอยปากพูดก็เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงว่าลึกๆแล้วเป็นยังไง ในด้านของนักแสดงทำได้ดีจนไม่คิดว่าขัดตาแม้แต่น้อย ดนตรีประกอบพาให้อิ่มเอมอบอุ่นชวนประทับใจผสมซึ้งสัมผัสได้ถึงความเป็นฟีลกู๊ด จะเสียอยู่อย่างเดียวคงเป็นการเรียบเรียงเนื้อเรื่องที่ไม่ได้หยิบมาอธิบายได้กระจ่างทั้งหมด ถ้าว่าโดยรวมแล้วเป็นหนังที่ดูจบแล้วอิ่มใจเหมือนค้นพบอิสรภาพที่แม้จริงกับชีวิตที่เหลืออยู่ ประดังวันเวลาที่ดีในหนึ่งวันกับการเลือกใช้จนคุ้มค่าแล้วใช้วันเวลาที่เหลือจดจำช่วงเวลานั้นไว้ให้ตราตรึงอย่างมีความหมายไม่มีวันลืม


One Day หนึ่งวันที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือวันที่เราสองยังเช่นเคยทั้งใจ แม้จะเป็นได้แค่เพื่อนตามปากว่าแต่ว่าในใจดูจะเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก การได้พบคนที่ต้องการไม่จำเป็นว่าเขาหรือเธอคนนั้นต้องเอยปากบอกรักแล้วอยู่ด้วยกันเช่นคนรักที่ไม่ทอดทิ้งกัน เพียงแค่ขอให้เข้าใจว่ายังไม่ทอดทิ้งกันและยังคงมีกันเสมอเท่านี้นับว่าสุขยิ่งกว่าแล้ว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)