The Fifth Element (1997) รหัส 5 คนอึดทะลุโลก

The Fifth Element (1997)
รหัส 5 คนอึดทะลุโลก
Director: Luc Besson
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi

เมื่อนานมาแล้วเคยมีเอเลี่ยนกลุ่มหนึ่งมายังโลกเพื่อเก็บศิลาธาตุทั้งสี่ที่ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม และไฟเอาไว้ในที่ปลอดภัยจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควรมาถึงจึงจะเอามาคืนที่โลกตามเดิม และฝากความหวังไว้กับกลุ่มนักบวชให้สืบสานเรื่องราวต่อไปจนกว่าจะถึงเวลานัดหมายมาถึงพวกเขาจะกลับมาใหม่พร้อมกับศิลาธาตุในการกู้วิกฤตอันตราย แล้วจวบจนคริสศตรรษที่ 23 มาถึงก็เกิดวิกฤตปัญหาขั้นร้ายแรงที่มีโลกเป็นเดิมพันเมื่อมีบางอย่างกำลังมุ่งเข้าหาโลกคล้ายจะกลืนกินทั้งใบ และมันไม่หยุดที่จะมุ่งหน้ามาเรื่อยๆแม้จะถูกห้ามด้วยกองกำลังป้องกันแล้วก็ตาม แต่นั้นจะมีแต่ทำให้มันอยากเข้ามาหาโลกเร็วขึ้นคล้ายกำลังโกรธอยู่ ด้วยอาวุธที่มีไม่สามารถทำอะไรสิ่งนั้นได้จนกระทั่งหลวงพ่อวีโต้ คอร์เนเลียส (Ian Holm) นักบวชผู้รับภารกิจปกป้องโลกมาหลายชั่วอายุคนได้เสนอเกี่ยวกับศิลาธาตุที่หายไปพร้อมกับเอเลี่ยนกลุ่มนั้นที่จะมาช่วยโลก แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเอเลี่ยนกลุ่มนั้นถูกโจมตีด้วยสมุนของซอร์ก (Gary Oldman) จนสิ้นซาก กระนั้นไม่วายขโมยศิลาธาตุทั้งสี่ไปอีกด้วย ทว่ากลับเหลือฉากเล็กๆพอจะประติดประต่อสร้างขึ้นมาใหม่ได้จนถือกำเนิดเป็นมนุษย์นามว่าลีลู (Milla Jovovich)


เรื่องชุลมุมได้เกิดขึ้นเมื่อคอร์เบน ดัลลัส (Bruce Willis) อดีตทหารฝีมือเยี่ยมที่ลาออกจากงานแล้วหันตัวเองมาขับแท็กซี่เกิดต้องมาเจอกับลีลูเข้าอย่างบังเอิญพร้อมกับความซวยบังเกิดขึ้นทันทีเพราะเขาต้องทำหน้าที่ช่วยลีลูในการตามหาศิลาธาตุทั้งสี่ให้เจอให้ครบเพื่อเอาไปยังที่ๆเดิมเพื่อกู้วิกฤตเลวร้ายครั้งนี้ ทว่ากว่าจะหาธาตุที่เหลือเจอให้ครบนั้นไม่ใช่เรื่อง่ายเพราะยังมีซอร์กที่จ้องจะเล่นงานตลอดเวลาเพื่อขโมยศิลาธาตุชนิดกัดไม่ปล่อย แถมยังต้องมาแก้ปริศนาชิ้นสุดท้ายกับธาตุที่ห้าว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่กว่าจะรวบรวมให้ครบพร้อมกับแก้ความลับที่ไม่ปรากฏได้นั้นทั้งดัลลัสกับลีลูจะทำสำเร็จได้จริงๆหรือไม่ เพราะถ้าไม่แล้วโลกทั้งใบจะหายไปตลอดกาล


"เอามันส์อย่างเดียวคงไม่ใช่ เพราะมันมีความเป็นศิลป์อยู่ด้วย"

เริ่มตั้งแต่งาน CGI ที่มีความสมจริงค่นข้างมากในหลายแง่มุมมองทั้งที่มันควรจะออกมาดูยาก และไม่น่าจะเนียนได้ขนาดนี้ในยุคนั้นได้ อีกแง่คิดหนึ่งนับไม่ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเรื่องนี้ทุนจะสูงที่สุดในตอนนั้นในฐานะหนังนอกสังกัดฮอลลีวู้ดกับทุนสร้าง 90 ล้านดอลล่าสหรัฐที่กินเงินงบประมาณ 80 ล้านดอลล่าสหรัฐไปกับพวกเอฟเฟค ฉากที่เห็นว่าอลังการมากที่สุดคงเห็นจะไม่พ้นฉากที่เราจะได้เห็นรถวิ่งบนอากาศที่ดูแล้วแสนวุ่นวายเต็มลูกตาไปหมด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจังหวะที่เราจะได้เห็น Milla Jovovich ในชุดแสนเซ็กซี่ชวนสะดุดตาคาดสายสีขาวตามตัวจนถูกเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่เซ็กซี่สุดในหนังไซไฟ(ในอันดับอะไรจำไม่ได้) และอีกนัยหนึ่งถือว่าเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ออกมาน่าสนใจอย่างมากทั้งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย กลับมาที่เรื่องของเอฟเฟคที่เห็นว่าในแง่กราฟฟิค CGI ทำออกมาได้ดีครบเครื่องและเนียนตา ทั้งยังมีความละเอียดสมกับเป็นหนังฝรั่งเศสที่ได้เข้าร่วมเทศกาลหนังเมืองคานส์อีกด้วย ที่สำคัญยังมีการออกแบบเหล่าเอเลี่ยนได้น่าสนใจในหลายแง่มุมที่มีหลายพวก แต่เห็นจะลืมไม่ลงคือเอเลี่ยนตาต่างดาวตัวสีฟ้าที่เล่นโดย Maïwenn ในบทบาทการแสดงไม่กี่ประโยคแต่ได้ใจไปเต็มๆกับการร้องเพลงที่โชว์พลังเสียงอันแสนทรงพลังจนใครๆยังต้องมีอึ้งกันบ้างกับโอเปร่าชุดนี้

การออกแบบดูเป็นพิสมัยไม่รำคาญทั้งที่ดูวุ่นวายและมากองค์ประกอบ ทว่าตัวหนังกลับมีสีสันทำให้ออกมาน่าดึงดูดหลายส่วนพร้อมๆไปกับการพักช่วงให้หายเหนื่อยด้วยการฟังเพลงอย่างที่กล่าวข้างต้น หรือที่เด็ดอีกอย่างคือมุขตลกตลกกัดจิกตัวละครกันเองที่ได้นักแสดง Chris Tucker มาร่างสีสันความฮาบ้าบิ่นกวนประสาทจนดีไม่ดีจะขโมยซีนลุง Bruce Willis เอาได้ง่ายๆเหมือนกัน เพราะว่าดูเอาจากบุคลิกท่าทางโยกโน้นโยกนี้พูดมากแถมยังติดกับสถานการณ์พาซวยอีก จึงไม่แปลกใจถ้าเป็นตัวละครที่น่าจดจำอีกตัวหนึ่งของเรื่อง อย่างตอนฉากบู๊ระห่ำพี่แกยังคงตะโกนกรี๊ดกร๊าดเอาตัวรอดได้หน้าตาเฉยแบบงงๆผสมกับลีลาที่ไม่ขำคงเป็นเรื่องแปลกกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีมุขขำเล็กขำน้อยหลายมุขที่ทำเป็นเนียนกับการเล่าเรื่องอย่างไม่เคอะเขินแต่อย่างใด ถือว่าความสนุกพาอมยิ้มมีอยู่ครบเครื่องไม่ทำให้ดูซีเรียสหรือขาดความจริงจังจนเกินไปก็นับว่าการคุมอารมณ์ของหนังทำได้ดีในหลายๆแง่ โดยเฉพาะในส่วนของแอ็คชั่นด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องบอกว่าดูสนุก มียิงกันดุเดือดระห่ำได้ใจแฟนคอแอ็คชั่นอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นหนังของลุง Bruce Willis ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องบอกว่ามันส์แค่ไหนเพราะครั้งนี้แอ็คชั่นใส่ไฟ เฮ้ย! ไซไฟกันตั้งแต่โลกไปนอกโลก


ในทางเนื้อเรื่องจัดว่าน่าสนใจแม้จะไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อนเกินเข้าใจหรืออะไรใหม่ในพล็อตเรื่อง เว้นแต่ลูกเล่นที่สลับพักเหนื่อยได้น่าสนใจและไม่ออกมาดูเบื่อหรืออืดอาดจนเกินไป อย่างฉากเดินทางจากโลกไปยานอวกาศที่แสดงยุคสมัย การแต่งกาย อุปกรณ์ รวมถึงความนิยมของยุคสมัยที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่จนของเก่าตกยุค เนื่องจากยังความเชื่อของเหล่านักบวชผสมอยู่ด้วยแถมยังแสดงถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับเอเลี่ยนที่ถึงแม้จะไม่ได้มากสายพันธุ์ก็ตาม

ซึ่งไอเดียทั้งหมดเดิมเป็นของ Luc Besson ที่คิดพล็อตเรื่องประมาณนี้ตั้งแต่เรียนไฮสคูลจนมาได้ปรับเปลี่ยนแต่งขัดเกลาอีกหน่อยโดย Robert Mark Kamen ซึ่งผลที่ออกมาคือความสนุกแบบมันส์โม้แหลกเสมือนจับหนังไซไฟที่ดูเป็นเรื่องเป็นราวมาจับคู่กับแอ็คชั่นบางครั้งไร้เหตุผลผิดวิสัย(ฮา) ไม่ใช่ว่าไร้เหตุผลแล้วบอกว่าจะเอามันส์อย่างเดียวซะที่ไหนกัน เพราะเนื้อเรื่องยังคงเดินไปตามเรื่องราวของตัวเองกับการแย่งชิงศิลาธาตุที่มีซอร์กเป็นตัวโกงสุดขั้ว ที่บอกว่าสุดขั้วไม่ใช่ว่าเลวจนเหี้ยมแต่หมายถึงเป็นตัวร้ายที่มีหัวคิดและถนัดกับการลงมือด้วยตัวเองมากกว่า เห็นได้ชัดกับช่วงเกือบท้ายเรื่องที่บุกเดี่ยวตะลุยอย่างกับพระเอกไม่กลัวตาย โดยได้นักแสดง Gary Oldman มาแสดงถึงความเป็นตัวโกงอีกระดับนึงก่อนจะเป็นที่รู้จักคุ้นหน้าใน Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (2004) ที่เล่นเป็นซีเรียส แบล็คไงล่ะ


สำหรับ The Fifth Element ไม่มีอะไรมากนักนอกจากเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟที่ดูเอามันส์อย่างต่อเนื่องที่ไม่รู้สึกว่าเบื่อหน่ายหรือจำเจ แถมยังมีลูกเล่นแสดงจุดผ่อนคลายในตัวเองได้อย่างลงตัวอย่างไม่ติดขัดแต่อย่างใด และที่สำคัญคือความเป็นรสนิยมของตัวหนังที่แสดงความแตกต่างจากหนังไซไฟแอ็คชั่นในหลายๆแง่ด้วยการเพิ่มมิติตัวละครด้วยความรักในจังหวะที่ไม่ได้จะมีได้ หรือบรรยากาศที่ดูจริงจังผสมกับความเป็นตลกร้ายปะปนกันไปให้ตัวหนังออกมาดูไม่ซีเรียสเกินไปทั้งที่โลกจะดับสูญแท้ๆ รวมถึงการมีบทบาทของเหล่าเอเลี่ยนนอกโลกที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยชุดคอสตูมที่ไม่ดูโอเว่อร์เกินไป แต่ต้องยกนิ้วให้กับ Maïwenn กับเอเลี่ยนตัวสีฟ้าที่มีคาแรกเตอร์อันแสนน่าจดจำ โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบในหลายส่วนจนเกือบๆคิดไปว่ามีส่วนคล้ายคลึงในความเป็นการ์ตูนไปหน่อยในบางฉากเพราะมันออกมาเว่อร์และตัวร้ายก็เก๊กท่ายิ่งกว่าพระเอกเสียอีก สรุปว่าดูเอามันส์เก็บฉากสวยๆกับโลกอนาคตและบันเทิงอย่างถึงที่สุด!

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)