The Impossible (2012) 2004 สึนามิ ภูเก็ต

The Impossible (2012)
2004 สึนามิ ภูเก็ต
Director: J.A. Bayona
Genres: Drama | History | Thriller

"The Best Holiday Season Ever."

"ภาพครอบครัวจริงที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิที่เป็นแรงบันดาลใจในหนังเรื่องนี้"

เป็นเรื่องจริงเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติหายนะครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดผู้คนล้มตายและหายสาปสูญไม่ใช่น้อยเพียงเพราะการมาเที่ยวทะเลพักผ่อน ณ เขาหลัก จังหวัดพังงา ที่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันน่ารื่นรมย์ของเหล่าชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากจนหลายเสียงส่งปากต่อปากถึงความสวยงามที่น่าอยู่พักอาศัยอย่างมาก แต่ทว่ากลายเป็นวันที่เกิดคลื่นลูกใหญ่พัดเข้าฝั่งอย่างรุนแรงและปราศจากการตั้งตัวหรือเตรียมพร้อมแต่อย่างใดในคลื่นยักษ์นี้กับ"คลื่นสึนามิ"


นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งชาวสเปนที่เจอกับภัยพิบัติครั้งนี้กับตัวทั้งครอบครัวและรอดทุกคน แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาต้องฝ่าอุปสรรคที่มีเพียง"ความหวัง"เป็นที่ตั้งเท่านั้นที่ทำให้พวกเขายืนยัดอยู่ได้

The Impossible คือหนังที่นำเหตุการณ์จริงของการเกิดคลื่นสึนามิที่เขาหลักในประเทศไทยมาใช้ถ่ายทอดด้วยมุมมองของครอบครัวหนึ่งที่มีครบหน้าตาทั้งเฮนรี่ผู้เป็นพ่อ (Ewan McGregor) มาเรียผู้เป็นแม่ (Naomi Watts) และลูกอีก 3 คน ได้แก่ ลูคคัส (Tom Holland), โทมัส (Samuel Joslin) และไซมอน (Oaklee Pendergast) อันเป็นตัวละครหลักในการสื่อเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติในครั้งนี้ ซึ่งเรื่องราวก็ว่าด้วยครอบครัวที่อยากพักร้อนมาเที่ยวที่ภูเก็ตตามประสานักท่องเที่ยวที่อยากหาความสุขจากการพักงาน ทว่าความสุขที่ได้จากสถานที่อันสวยงามได้จบลงทันควันเมื่อเกิดคลื่นสึนามิพัดพาเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ไม่ใช่แค่คลื่นแรงๆ แต่นี้ระดับกวาดล้างสิ่งก่อสร้างหรือวิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นได้อย่างหมดจดให้จบไปกับคลื่นได้อย่างสบายๆ นาทีเป็นนาทีตายที่คลื่นได้โหมเข้ามานั้นเองที่ทำให้ครอบครัวนี้ได้แตกแยกออกไปคนละทิศคนละทางที่ไม่รู้ว่าจะอยู่สภาพใดบ้าง ที่ทิ้งเอาไว้คือความหวาดกลัวที่เรามองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติลงโทษกับความหดหู่ที่ไม่รู้ว่าคนที่เรารักอยู่ไหน


พล็อตเรื่องคือการมุ่งเน้นเจาะจงไปที่ครอบครัวหนึ่งที่มาเยือนเขาหลักที่เริ่มลงจอดเครื่องบินที่ภูเก็ต(ฉะนั้นจึงอย่าแปลกใจถ้าชื่อไทยจะใช้คำว่าภูเก็ตแทนคำว่าเขาหลักตามสถานที่เกิดเหตุ เพราะเรื่องได้เริ่มที่นั้นและยังเป็นชื่อที่ชาวต่างชาติคุ้นหูมากกว่า) หลังที่ผู้ชมเริ่มคุ้นเคยกับตัวละครดีแล้วจึงวางคลื่นสึนามิให้เกิดฉับพลันจนเหมือนทำร้ายจิตใจประดังจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ชนิดตั้งตัวไม่ติดแล้วนำพาไปสู่บททดสอบที่เราเรียกว่า"ความหวัง"ที่จะตามหา

สิ่งแรกที่ผู้ชมรับรู้ได้หลังจากชมไปได้เรื่อยๆคือครอบครัวนี้ล้วนต่างคนต่างยึดมั่นที่เจอสิ่งที่ดีกว่าหลังจากประสบรอดตายจากคลื่นที่คิดในใจเสมอว่าคนในครอบครัวยังอยู่กันครบ แม้จะฟังดูเว่อร์ที่ทุกคนในครอบครัวรอดมาได้ราวกับปฏิหาริย์ค้ำจุน กระนั้นยังมีสภาพไม่ต่างกับคนที่กำลังจะใจสลายเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ไม่เห็นใครอีกแล้ว โดยอย่างยิ่งคนที่เป็นพ่อและแม่ที่ต้องร่ำไห้เมื่อลืมตาขึ้นมาไม่เห็นลูกของตัวเอง ประเด็นหลักของพล็อตไม่ได้อยู่ที่การทำฉากอุทกภัยที่มากับคลื่นแต่เป็นการแสวงหาคนที่หายไปท่ามกลางความหวังและหดหู่ ซึ่งเนื้อเรื่องได้สร้างความกังวลใจตั้งแต่แรกเริ่มไปกับเรื่องล็อคบ้านหรือยังกับการสนทนาของเฮนรี่กับมาเรียคล้ายลักษณะบ่งบอกถึงความไม่รอบคอบแล้วกลัวจะเจอเรื่องไม่ดี ในที่นี่ถ้าลืมล็อคบ้านคงไม่พ้นเรื่องทรัพย์สินหาย หรือจะเทียบเป็นลางสังหรณ์ง่ายๆว่าหลังจากคลื่นสึนามิโหมเข้ามาอาจจะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปก็ได้ เพียงสิ่งสำคัญนั้นคือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไม่ต่างกับสิ่งของที่อยู่คู่กับบ้าน


การเดินเรื่องเป็นไปอย่างสม่ำเสมอแบบไม่รีบเร่งคล้ายกับปล่อยให้ไปตามเวลาที่จะเกิดก็ต้องเกิดไม่ต่างกับเหตุการณ์จริงที่เราไม่อาจบอกได้ว่าใครรอดใครตายได้ครบทุกคนเพราะคนเหล่านั้นได้หายไปกับคลื่นเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะมีใครหายไปบ้างนั้นเราไม่อาจบอกได้จนคนนั้นจะมาปรากฎตัวให้เห็นเพื่อยืนยันว่ายังมีลมหายใจอยู่ สิ่งที่น่าเห็นใจคือการทุ่มไปกับการเล่าเรื่องในแบบราคาถูกแต่ได้ใจไปกับเรื่องจริงอันน่าสลดอย่างมีความซื่อตรงไม่ต่างกับคนที่ตามหาครอบครัวที่หายไปหลายปี ซึ่งการนำเสนอเช่นนี้ไม่ได้ดูซับซ้อนอะไรอีกทั้งยังตรงตัว ทว่าถ้าทำสำเร็จจับหวะได้แม่นแล้วล่ะก็จะดูน่าชื่นชมอีกหลายขุม ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดมีอยู่ 2 อย่างคือเรื่องการใช้พล็อตเรื่องเดิมๆที่ดันมีความบังเอิญมากไปหน่อยจนไม่ค่อยรู้สึกว่ามันน่าฉิวเฉียดแต่จงเจาะใจหากันให้เจอได้แม้จะทำเป็นมองไม่เห็นก็ตาม กับโทนที่ดูไม่ใหญ่อะไรเพราะมุ่งเน้นกับสถานที่โรงพยาบาลกับฉากหลังสึนามิมากไปจนสถานที่ที่ดูจะวุ่นวายแสนกว้างขวางดูเล็กลง และเริ่มเล็กลงเรื่อยๆเมื่อตัวละครทั้งหลายเริ่มเข้าหากันทีละนิด แม้ว่าจะใช้พล็อตเรื่องเดิมแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังคงไม่ต่างกับเรื่องที่ใหม่สำหรับกลุ่มคน(ไทย)ที่รับรู้เหตุการณ์คลื่นสึนามิพัดเข้าฝั่งได้ดี ยิ่งกับคนที่รอดตายด้วยแล้วนี่คือเรื่องที่อยากเก็บเอาไว้ตระหนักตัวเองที่สุดว่า"เรารอดได้ไม่ใช่โชค แต่เป็นความหวังที่ไม่ทอดทิ้งกัน"

สึนามิคือฉากที่นับว่าเด็ดที่สุดของเรื่องที่ทำได้สมจริงสมจังราวกับเกิดขึ้นจริงอีกครั้ง ไล่ตั้งแต่ฉากสถานที่ที่เก็บความสมบูรณ์จากบ้านเรือน โรงแรม ที่พักอาศัยได้อย่างไร้ที่ติคล้ายมีผู้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้จริง แต่นั้นยังไม่เท่ากับฉากที่คลื่นสึนามาราวกับมัจจุราชยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า นั้นคือฉากที่นอกจากจะเด็ดดวงแล้วยังให้ความรู้สึกที่รุนแรงกับคลื่นที่ทาโทมไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้ต้องขอบคุณทีมงานที่เนรมิตของจริงขึ้นมาเพื่อพยายามเก็บมุมภาพที่สมจริง ทั้งคลื่นที่ไหลแรง การปะทะ หรือแม้กระทั่งการจับใบหน้าของนักแสดงที่กำลังดิ้นทุรายเอาตัวรอด ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพก็กลายเป็นฉากที่น่าลุ้นน่าหวาดเสียวอันแสนจะเปี่ยมด้วยพลังที่ทำให้ผู้ชมหลั่งอะดรีนาลีนออกมาได้ชนิดอยากจะวิ่งหนีไปบ้าง ซึ่งฉากคลื่นถล่มบ้านเรือนทำได้ดีมีรถสิ่งของมากมายถูกพัดลอยมากับน้ำมากมายรวมถึงคนที่โดนไปเต็มๆด้วยเช่นกัน ตัวหนังได้มุ่งเน้นความทรหดการพยายามว่ายน้ำหนีตายให้กับมาเรียผู้แม่ที่รู้ตัวอีกทีก็ตระหนักได้ว่าเหลืออยู่คนเดียวท่ามกลางน้ำทะเลที่อยู่บนบกก่อนจะพบว่ามีลูคัสลูกชายของตนเองอยู่ใกล้ๆด้วย ใช่เลยที่ตัวหนังมอบอารมณ์ความเป็นความตายให้กับสองตัวละครนี้นั้นน่าจะมาจากความอดทนของคนเป็นแม่


ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่าแม่เสมือนกำลังใจก้อนโตที่ให้เสียงเชียร์ได้ดีกว่าคนอื่นๆ ในทางตรงกันข้ามลูกๆนี่แหละกำลังใจอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นเมื่อมาเรียได้เห็นลูกตัวเองจึงพยายามเข้าไปช่วยแต่ต้องฝ่าอุปสรรคสิ่งกีดขวางมากมายจนร่างกายบอบช้ำเต็มไปด้วยบาดแผลที่ผู้ลูกเห็นแล้วยังตกใจกลัวกับบาดแผลที่แม่มี กระนั้นลูคัสยังคงทำความเข้าใจยอมรับเสมอว่านี้เป็นเรื่องจริงแม้การตั้งคำถามกับผู้แม่ว่ากลัวไหมแล้วแม่ยังบอกว่ากลัวตามจริงมากกว่าบอกว่าไม่เท่าไหร่เพื่อปลอบใจที่น่าจะฟังดูดีกว่า ฟังดูเป็นฉากที่ท้อแท้แต่กลับมีความหมายของความจริงซ่อนอยู่"ท่ามกลางความกลัวและแสนอันตรายเราอาจบอกว่าไม่กลัวเพื่อข่มใจตัวเอง แต่บางครั้งการบอกว่ากลัวเพื่อให้ตัวเองปรับสภาพยอมรับความเป็นจริงนั้นอาจทำใจง่ายกว่า และสิ่งนั้นช่วยให้เราพัฒนาตัวเองเพื่อสู้กับความกลัวต่อหน้าได้ดีกว่าการบอกโกหก"


มาเรียคือตัวแทนแห่งความกล้าที่ไม่สนคลื่นที่โหมมารุนแรงเพื่อไปคว้าลูกมาใกล้ๆเพื่ออย่างน้อยยังบอกได้ว่าสิ่งสำคัญยังอยู่ใกล้ตัว สิ่งนี้บ่งบอกความเป็นแม่อย่างแรงกล้าที่ไม่สนสิ่งใดมาทำอันตรายใดๆกับตนเองแม้ผลลัพธ์จะทำให้เธอเข้าขั้นปางตายเลยก็ตาม ด้วยการแสดงของนักแสดง Naomi Watts ทำให้ทราบซึ้งได้ถึงแรงปรารถนาอันกล้าแกร่งว่าตัวเธอยังมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป ไม่ใช่ว่าเพื่อตัวเองที่ยังค้างคาแต่เพื่อคนในครอบครัวที่ยังอยากลืมตาเจอหน้าคนที่รักพร้อมรอยยิ้มจากลูกๆ ด้วยสภาพที่เริ่มหนักหน่วงของอาการจนทรุดโทรม สุดท้ายกำลังที่จะทนต่อไปนั้นก็ทลายลงกับพื้นด้วยเรี่ยวแรงที่หมดลงไป แต่เชื่อไหมว่าหลังจากฉากนี้คือฉากที่ทำให้เรา(คนไทย)รู้สึกปลื้มปิติอย่างยิ่งที่เจ้าบ้านได้ออกมาช่วยผู้ประสบภัยแบบไม่สนใจว่าจะต้องเหนื่อยหนักแค่ไหน เพียงขอแค่ช่วยไว้ก่อนเรื่องตอบแทนอย่างพึ่งถาม หลังจากมาเรียหมดแรงด้วยสภาพที่บอบช้ำก็มีสองมือเหี่ยวๆลากเธอไปอย่างมีพลังพร้อมกับบอกตลอดทางให้กำลังใจว่าอย่าพึ่งเป็นอะไรไป เข้มแข็งหน่อย นับเป็นฉากที่ดูแล้วน่าคิดอยู่เหมือนกันว่าคนเจ้าถิ่นยังเสี่ยงลงพื้นที่ช่วยแม้จะฟังภาษาไม่เข้าใจเพราะเป็นคนต่างชาติแล้วไฉนคนที่ฟังภาษาเข้าใจด้วยกันเองถึงไม่ช่วยกันบ้าง นั้นน่าจะเป็นฉากที่เฮนรี่กำลังจะขอความช่วยเหลือจากคนต่างชาติด้วยการขอยืมโทรศัพท์แต่ถูกปฏิเสธเพราะคิดว่าตัวเองยังต้องการมันอยู่ ซึ่งมองๆแล้วมีแต่คนเจ้าถิ่นเท่านั้นที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือซะมาก ในขณะที่คนต่างชาติมากมายต่างรอคอยการช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว ก็นี่แหละประสบการณ์หลังความกลัวที่เป็นใครต้องผวาและกระวนกระวาย ทว่าสิ่งหนึ่งที่พบได้ชัดเจนหลังประสบคลื่นยักษ์สึนามิคือการตามหาคนที่เรารักว่าอยู่ไหน ปัญหาคือพวกเขายังมีชีวิตมาหาพวกเขาได้หรือไม่ และนี่คือสิ่งที่เฮนรี่ห่วงที่สุดไม่ต่างกับมาเรียที่ขอเจอหน้าทุกคนในครอบครัวแม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม


Ewan McGregor ต้องรับบทเป็นเฮนรี่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีหลายอย่างค้างคาไม่ต่างกับแอบดูงานทั้งที่มาพักร้อน ตัวหนังเล่นให้ช่วงแรกหลังจากเจอคลื่นให้กับตัวละครมาเรียจนสงสัยเป็นไม่ได้ว่าเฮนรี่เป็นยังไงบ้าง และเมื่อหน้าที่บทบาทของมาเรียจบลงก็เป็นทีของบทเฮนรี่บ้าง ซึ่งเราจะไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นยังไงบ้างตอนคลื่นมาแต่เราจะเห็นหลังคลื่นหมดไปแล้วในสภาพที่ย่ำแย่ไม่ต่างกับใครๆพร้อมกับความพยายามที่จะตามหาคนอื่นๆให้เจอ แต่สุดท้ายเขาหาไม่เจอเพราะต่างคนถูกแยกคนละทิศละทาง ที่ตอนนี้ทำได้คือไม่ทิ้งความหวังที่จะตามต่อไปแม้จะแผ่วเบาแค่ไหนก็ตาม

นับว่าเป็นอีกหนึ่งการแสดงที่แรกๆยังไม่ได้โดดเด่นอะไรอะไรจนกระทั่งเริ่มๆออกอาการกลัวว่าจะหาคนในครอบครัวไม่เจอเท่านั้นแหละที่รู้ว่าแสดงดีแค่ไหน ในเรื่องเฮนรี่จะเป็นคนตามหาครอบครัวคนอื่นๆที่หายไปตามที่ต่างๆ และนั้นทำให้เราได้เห็นมุมมองที่หลากหลายไปกับเขาด้วยกับเรื่องคนที่ประสบภัยที่ว่าเมื่อถึงเวลาจริงต่างล้วนมีความเห็นแก่ตัว อย่างเรื่องโทรศัพท์ที่ได้บอกในข้างต้นว่าให้ยืมโทรสักเดี๋ยวก็ไม่ได้ ทว่าตัวหนังค่อนข้างเลือกจะลดความหดหู่ลงเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อขับในสิ่งที่ต้องการออกมาอย่างเด่นชัด นั้นคือการช่วยเหลือมนุษย์ร่วมโลกในภาวะยากลำบาก ฉะนั้นแล้วฉากที่น่ากลัวและทำร้ายจิตใจก็คือคลื่นสึนามิที่พังทุกอย่างราบเป็นหน้ากอง ดังนั้นสิ่งที่ผู้ชมรับรู้คือเบื้องหลังเหตุการณ์ว่ามีความสับสนวุ่นวายแค่ไหนบ้าง จึงไม่แปลกใจเลยที่เฮนรี่รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ตามหาคนในครอบครัวไม่เจอ ในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งรู้สึกดีที่ได้เพื่อนร่วมทางช่วยเขาอย่างเต็มใจแม้จะประสบปัญหาไม่ต่างกัน อย่างเช่นฉากขอยืมโทรศัพท์ที่ครั้งแรกไม่ให้ยืมจึงรู้สึกหว่าเว้ไม่รู้จะบอกกับใครยังไงดีกับเรื่องนี้จนได้โทรศัพท์จากอีกคนทำให้รู้สึกมีความหวังมากขึ้นที่จะระบายความรู้สึกออกมาให้ทางบ้านฟัง นับเป็นฉากที่สะเทือนใจอีกหนึ่งฉากแต่จะรู้สึกดีก็ตอนที่ชายคนที่ให้ยืมบอกว่าเอาไปเถอะ ที่เขาบอกแบบนั้นเพราะเข้าใจหัวอกเฮนรี่ดีเพราะเขาประสบปัญหาเดียวกันเพียงแค่เรื่องของเขาน่าเศร้ากว่าของเฮนรี่มาก และขอช่วยเฮนรี่ตามหาครอบครัวอีกแรงเพื่ออย่างน้อยผลตอบแทนอาจได้พบคนที่กำลังตามหาอยู่


ลูคัสพี่ชายใหญ่สุดที่ท่าทางจะแปลกแยกกับน้องๆราวกับเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง แต่เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันเข้าจริงกลับเป็นคนที่พึ่งพาช่วยเหลือได้อย่างดี ทั้งยังมีความเอื้อเฟื้อต่อคนรอบข้างจนเป็นอีกตัวละครอันแสนน่าเป็นตัวอย่างมากที่สุด เนื่องจากเขาใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่าใครๆด้วยการช่วยเหลือดั่งคำพูดของแม่ที่บอกลูคัสให้ไปช่วยทางอื่นบ้างในขณะที่กำลังนั่งเฝ้าแม่อยู่ข้างๆ สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือหน้าที่ของหมอต้องทำให้ถึงที่สุดและเวลาคือสิ่งสำคัญที่ปล่อยผ่านไม่ได้ ที่เป็นแบบนี้เพราะมาเรียคือหมอคนหนึ่งที่เจอปัญหากับตัวเอง บางทีถ้ามาเรียไม่ได้อาการหนักจนน่าเป็นห่วงแล้วเราอาจจะเห็นการทำงานของเธอในฐานะผู้ช่วยเหลือและผู้ประสบภัยไปในตัวก็เป็นได้ แต่ครั้งนี้ลูคัสขอเลือกจะตามเจตนารมย์ของแม่เพื่อช่วยคนอื่น ซึ่งเป็นอะไรที่ดูจริงจังและน่าสนใจที่ได้นักแสดง Tom Holland มาแสดงฝีมือลายมือได้อย่างเข้าถึงอีกคน จะว่าเป็นเด็กที่ดูแน่วแน่อย่างถึงที่สุดทีเดียว แต่ที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นอีก 2 นักแสดงเล็กกับ Samuel Joslin และ Oaklee Pendergast ที่แสดงได้ดีเช่นกัน แม้บทบาทจะไม่ถึงกับเด่นมากในช่วงแรกๆ แต่ด้วยการดำเนินเรื่องก็ทำให้เด็กน้อยทั้งสองมีโอกาสดำเนินเรื่องในส่วนของตนเองได้และได้พาเผชิญกับอีกมุมหนึ่งที่แตกต่างออกไป ข้อดีที่ตัวหนังพยายามเล่าเรื่องแบบกระจัดกระจายคือการทำให้เห็นมุมที่กว้างขึ้นแม้จะรู้สึกว่ายังไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตที่ควร(เพราะตัวหนังเล็งเป้ามาที่ครอบครัวนี้มากกว่าเจาะเข้าปัญหาภัยพิบัติ) แต่ตามความจริงแล้วมันคือหายนะเรื่องใหญ่ที่น่าสลดใจมากอีกหนึ่ง

The Impossible ไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยสึนามิเป็นตัวหลักแต่เป็นส่วนหนึ่งที่นำมาใช้เพื่อขยายอารมณ์ คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าการรับชมเรื่องจะให้ความรู้สึกที่หลากหลายตั้งแต่รู้สึกดีในช่วงแรกๆที่ได้เห็นครอบครัวแสนอบอุ่นปล่อยโคมไฟอย่างมีความสุข จนเริ่มหนักอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆในกับความหวาดระแวงจนคลื่นสึนามิพัดเข้ามา ซึ่งหลังจากจุดนี้คืออารมณ์ที่แสดงออกทั้งลบทั้งบวกอย่างชัดเจนไม่ว่าจะหดหู่ สะเทือนใจ ดีใจ หนักใจ มีหวัง เครียด ไม่ย่อท้อ เศร้า มีน้ำใจ หรือแม้กระทั่งการหมดหวังที่จะไปต่อ


เป็นหนังที่ถ่ายทอดทางอารมณ์ล้วนๆไปกับเหล่าตัวละครที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆอย่างยากเข็ญ จึงไม่แปลกใจว่าการทำไมเรื่องนี้ถึงน่าสลดจนอยากซับน้ำตากันเป็นแถว แต่ถึงจะลำบากแค่ไหนถ้าไม่ได้เจ้าบ้านช่วยเอาไว้ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้จริง โดยเฉพาะนักแสดงไทยอย่างพลอย จินดาโชติในบทพยาบาลที่ช่วยลูคัสในหลายๆเรื่อง จะว่าเป็นตัวแทนของคนไทยอีกแง่หนึ่งคงไม่ผิด อีกทั้งนี้การช่วยเหลืออย่างมีน้ำใจไมตรีก็นับว่าเป็นสิ่งที่เราๆควรตระหนักเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะเมื่อไหร่ที่เราสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากแค่ไหนต่อให้มีปัญหามากมายก็ฟันฝ่าไปได้ในที่สุด

สุดท้ายนี่แรงกดดันอะไรคงไม่เท่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ลืมตาตื่นขึ้นมาเพียงลำพัง มันเป็นความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่ารู้ว่าตัวเองต้องตายเพราะถ้าตายทั้งเป็นนั้นมีความรู้สึก และความรู้สึกมันแสนทรมานบาดใจยิ่งกว่าตายจริงๆ และถึงแม้ความกลัวจะครอบงำจนยั้บยั้งไม่ได้เพราะความโดดเดี่ยวแสนลำพังแต่คราวใดที่รู้สึกว่าในอ้อมกอดยังมีลูกๆอยู่ ความกลัวเหล่านั้นก็จางหายไป

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)