The Blob (1988) เหนอะเคี้ยวโลก

The Blob (1988) | เหนอะเคี้ยวโลก
Director: Chuck Russell
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller

นับแต่นั้นมา(หลังดูจบ)ตัวเองก็มีอคติกับของลื่นๆเช่นเจลไปชั่วขณะในอารมณ์ที่มองแล้วขอช่วยเอาไปไกลๆทีเหอะ ไม่อยากโดนย่อย?!

พล็อตเรื่องประมาณง่ายๆคือมีเอเลี่ยนตกมายังโลกแล้วก็กลายเป็นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแบบเยลลี่ทำตัวหนึบๆไล่ดูดคนตามเมืองจากไม่กี่คนจนขยายเขมือบทั้งเมืองในท้ายที่สุด ซึ่งเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรแค่หาตัวละครที่ดูน่าไว้วางใจให้คนนี้เป็นพระเอกนางเอกเท่านี้ก็เดาได้ว่าใครจะรอดได้บ้าง มาขยายเนื้อเรื่องจริงๆกันดีกว่ากับโลกใบหนึ่งที่มีสีฟ้าสวยงามแต่ใครจะรู้ว่ามีเรื่องประหลาดนอกโลกได้มาเยือนถึงที่กับลูกไฟสีแดงที่พุ่งมาตกถึงพื้น ใช่แล้วสิ่งนั้นคืออุกกาบาตก้อนไม่ใหญ่แต่มีของเหลวหนุบๆอยู่ข้างใน สามารถขยับได้ราวกับมีชีวิต ซึ่งมีคนวัยชรา (Billy Beck) ไปเจอเข้าพอดีจึงลองเอาไม้แหย่รู เฮ้ย!แหย่ดูว่าคืออะไร แล้วพบว่าสิ่งนั้นไม่ต่างกับเยลลี่รสสตอเบอรี่ ลักษณะสีชมพู นิ่มๆข้นๆท่าจะอร่อย?! แต่พอแหย่ได้หน่อยสักพักก็ฉะเฮ้ย! มันเกาะมือชายคนนั้นทันทีแล้วไม่ยอมปล่อยจนร้องด้วยความเจ็บปวดวิ่งหน้าตั้งก่อนจะไปเจอไบรอัน (Kevin Dillon) ที่บังเอิญซ่อมมอไซค์อยู่ในป่า ซึ่งไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรไบรอันจึงวิ่งตามไปดูอาการชายแก่คนนั้นก่อนจะไปถึงถนนที่ลงเอยด้วยถูกชน แต่ชายแก่คนนั้นยังไม่ตายแค่ถูกชนเบาๆไม่สาหัส เม็ก (Shawnee Smith) กับพอล (Donovan Leitch) ที่อยู่ในรถหวังจะไปเดทกันสักหน่อยจึงต้องอาสารับผิดชอบพาไปส่งที่โรงพยาบาลก่อนพร้อมกับไบรอันที่วิ่งตามมา เผื่อช่วยอธิบายให้ฟังได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งไบรอันเองยังงงอยู่นอกจากอะไรบางอย่างที่เกาะมือชายชราผู้นั้นที่พยายามเอามันออก แต่มันไม่ยอมปล่อย


หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้สักพักปรากฎว่าชายแก่คนนั้นได้เสียชีวิตลงไปอย่างน่าสยดสยองหายไปครึ่งตัวจนหลายคนถึงกับผวาในเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงทวีความสยองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนทั้งเม็กกับไบรอันได้เจอตัวเป็นๆของปัญหาดังกล่าว ซึ่งมันไม่ได้เหมือนอย่างที่เห็นตอนแรกอีกแล้วเพราะหลังจากดูดคนไปได้ 2-3 รายมันจะขยายใหญ่ขึ้น และตอนนี้เจ้าสิ่งมีชีวิตเมือกเหนียวหนึบได้ค่อยๆเข้าไปในตัวเมืองทีละขึ้น งานนี้ที่ทำได้คือหนีเพราะไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ไม่เชื่อเรื่องนี้ จนกระทั่งหน่วยงานของรัฐบาลได้เข้ามายังที่เกิดเหตุอุกกาบาตตกลงมาที่พื้นแบบจมูกไว แล้วช่วงเวลานั้นเองที่ไบรอันกับเม็กได้ไปพบเข้าพอดี หัวหน้าหน่วยงานเมดโดวส์ (Joe Seneca) ได้บอกว่าเป็นเพียงเชื้อโรคที่มากับนอกโลก ทำให้ตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้มากนอกจากปิดกั้นบริเวณเอาไว้ก่อน ทว่าไบรอันไม่คิดเช่นนั้นพร้อมคิดด้วยว่ามันเร็วเกินไปที่คนของรัฐบาลจะรู้ข่าวมาเร็วขนาดนี้ได้ ซ้ำยังใช้เหตุผลกับพฤติกรรมอันไม่เข้าหูจนเกิดไปรู้เรื่องความจริงแล้วว่าอุกกาบาตไม่ได้มาจากไหนเลย เนื่องจากมันคืออาวุธชีวภาพนี่เอง ทำให้ไบรอันกับเม็กต้องหลบหนีคนของรัฐบาลที่รู้ความจริงไม่พอแต่ยังต้องหนีเมือกกินคนที่กำลังอาละวาดไม่หยุดจนร่างกายใหญ่โตเกินควบคุม แล้วแบบนี้จะทำยังไงกันดี

ถ้าว่ากันด้วยเนื้อเรื่องถือว่างั้นๆตามสไตล์เกรดบีไม่หวังสาระแต่ได้บันเทิงกันแล้วแต่ตัวหนังจะให้มา และตอบได้เลยว่า The Blob ฉบับนี้ทำได้สมอย่างที่หวังเอาจนเรียกว่าเกินความคาดหมายในเรื่องของเอฟเฟคไปเลย และไม่แน่กว่าจะดูสนุกกว่าต้นฉบับเมื่อปี 1958 ซะอีก เดิมต้นฉบับไม่ได้วางไว้ว่าเป็นหนังสยองแค่เอาให้ดูน่ากลัวระทึกขวัญเท่านั้น แต่พอเอามารีเมคปรับแต่งให้ดูจริงจังดูร่วมสมัยก็ทำให้ออกมาสนุกแบบหนังสยองขวัญที่ผิวเผินทำให้นึกถึงเรื่อง The Thing (1982) ของ John Carpenter ไม่ใช่ในทางเนื้อเรื่องแต่เป็นเรื่องเอฟเฟคอันแสนโบราณแต่สมจริงและพิถีพิถันจนน่ายกย่องกับความเหน็ดเหนื่อย จะว่าแล้วเรื่องนี้มีทุนสร้างไม่สูง เพียงแค่ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น โดย 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐนำไปใช้กับเอฟเฟคทั้งหมดส่วนอื่นๆก็กระจายไปตามระเบียบ น่าเสียดายที่หนังน่าดูแต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าไหร่จึงเป็นหนังขาดทุนที่ทำรายได้อย่างเบาแค่ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น นึกแล้วก็เสียดายที่น่าจะทำกำไรได้พองามทั้งที่ความน่าดูมีค่อนข้างมากทีเดียว ถึงกระนั้นเสียงวิจารณ์ได้มาค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อเทียบกับฉบับเก่า ในแง่เรื่องเอฟเฟคและการปรับรูปแบบจากเดิมที่นำเสนอในรูปแบบทริลเลอร์-ไซไฟเป็นสยอง-ไซไฟให้ภาพลักษณ์ออกมาเข้าท่าน่าติดตาในหลายฉากๆ แม้ทางเนื้อเรื่องจะไม่ได้ลงลึกอะไรนักแต่ยังคงแฝงข้อคิดกับมนุษย์ที่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดเสมอ ไม่นับว่าเนื้อเรื่องจะง่ายเกินไปอย่างที่คิด


เอฟเฟคดีอันนี้น้อมนับโดยปริยาย ส่วนอื่นๆอย่างฉากสยองๆล่ะ ขอบอกว่าแหวะแล้วแหวะอีกจนเห็นการย่อยคนกันชัดๆเลยทีเดียว ซึ่งมันค่อนข้างมีหลายฉากตั้งแต่ยังเป็นก้อนเท่ากำปั้นจนใหญ่ระดับเขมือบคนได้สบายๆในคำเดียว(อันที่จริงมันไม่มีปาก) สิ่งที่ตัวเองประทับอย่างหนึ่งคือเอฟเฟคที่ไม่ได้หนักไปทาง CGI อะไรเลย แต่สามารถเนรมิตรสร้างได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจบวกกับดัดแปลงให้ออกมาน่าสยดสยองเข้าไปอีกก็เพิ่มอรรถรสกันเต็มอิ่มเลยทีเดียว อย่างที่ได้บอกไว้ว่าชวนให้นึกถึงหนังที่โดดเด่นทางเอฟเฟคหน้ากล้องคือ The Thing ซึ่งประเด็นแรกคือความแหวะ อย่างที่บอกมีแหวะแน่ๆแต่ขนาดไหนก็คิดเอาล่ะกันว่าเราจะได้เห็นคนโดนย่อยค่อยๆสลายไปทีละนิดละหน่อยจนแบบว่าเนื้อละมุนนิ่มกันทีเดียว ทว่าความโหดในแต่ละฉากถือว่ามีเด็ดอยู่พอสมควรโดยเฉพาะฉากอ่างล้างจานที่อาจทำให้หลายคนไม่กล้าล้างจานไปอีกนาน ไม่ใช่เพราะน้ำยาล้างจานทำพิษแต่มาจากสิ่งที่พุ่งมาจากท่อน้ำนั่นแหละที่จะลากลงท่อเล็กๆกลืนไปทั้งตัว หรือจะฉากเขมือบตัวละครอันเป็นที่คุ้นเคยจนผู้ชมอุทานแบบไม่ตั้งใจด้วยอารมณ์ที่บอกว่าเรื่องนี้โหดร้าย เนื่องจากตัวหนังเล่นสร้างบุคลิกอันน่าจดจำแทบทั้งสิ้น ซ้ำแต่ละตัวละครยังสร้างออกมาได้น่าจดจำ อาจไม่ถึงขั้นโดดเด่นแต่ในแง่การให้ความสำคัญกลับรู้สึกว่าโหดร้ายจริงๆในการจัดการตัวละครเหล่านั้นแบบไม่มีคำว่าปราณี โดยอย่างยิ่งเด็กที่ไม่ปล่อยให้รอดก็ยังมี หรือจะการบีบตัวละครด้วยความกลัวจนทะลักล้นในฉากตู้โทรศัพท์ ขอบอกว่าเอฟเฟคดีน่าชื่นชม การจัดการความสยองก็ดีจนน่าหวาดกลัว สรุปก็คือการผสมผสานระหว่างเอฟเฟคแบบเก่าๆที่กำลังดีไม่พึ่งคอมฯมากช่วยสร้างภาพความสยองได้ติดตาและสะพรึงกลัวใช่ย่อย


ถึง The Blob จะเป็นผลงานสร้างใหม่ของ Chuck Russell (ที่มีผลงาน A Nightmare on Elm Street 3: Dream Warriors (1987),The Mask (1994),Eraser (1996))แต่ยังคงความเป็นต้นฉบับด้วยการทำให้ผู้ชมได้สัมผัสฉากในโรงหนังที่เจ้าหนึบๆได้เข้ามาเขมือบคนอย่างจุใจแถมยังสร้างความน่ากลัวด้วยทำให้มีหนวดลากคนเข้าไป(นึกแล้วก็สยอง) อีกแง่หนึ่งก่อนจะเกิดฉากเจ้าหนึบโผล่เข้าโรงหนังนั้นมีการกัดจิกกับพวกชอบคุยชอบสปอยด์ในโรงหนัง ประมาณว่าพวกไม่มีมารยาททำให้คนอื่นเสียอารมณ์ก่อนจะจัดการแบบเซอร์ไพร์สเป็นรายแรก จะว่าก็แอบสะใจพวกนี้อยู่เหมือนกัน นี่ก็คือเป็นสาระอย่างหนึ่งที่ปะปนมากับความสยอง ทว่าความน่ากลัวได้เริ่มขึ้นจากการดัดแปลงเนื้อเรื่องให้ฝ่ายที่ดูน่ากลัวจริงๆไม่ใช่เจ้าหนึบดูดคนแต่เป็นมนุษย์อย่างเราๆที่ทำได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่การฆ่าพวกเดียวกันเองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน คือตัวหนังให้ภาพพจน์ในแง่ของเอเลี่ยนที่ตกมาจากโลกเพราะอุกกาบาต แต่นั้นไม่ใช่เลยเมื่อความจริงแล้วเป็นการทดลองเพื่อทำอาวุธชีวภาพให้มีอนุภาพร้ายแรงกว่านิวเคลียร์

แม้ว่าจะเพิ่มประเด็นความน่ากลัวในจุดนี้ เพื่อบอกที่มาที่ไปของเจ้าหนึบๆอย่างชัดเจนแต่ด้วยการสร้างปมเช่นนี้ยังดูเบาไปหน่อยในการหาข้อเปรียบเทียบ เพราะอย่างแรกคือวงจำกัดยังเล็กอยู่ ซึ่งอาจไม่แปลกถ้าทุนและเนื้อเรื่องจะเริ่มที่เมืองเล็กๆก่อนซึ่งว่ากันตามตรงมันไม่มีอะไรมากเลย จะมาดูดีในตอนจบที่ขยายด้านมืดของจิตใจมนุษย์ว่าน่ากลัวมากแค่ไหน(อันที่จริงมีแววภาคต่อ แต่กำไรไม่งามจึงเงียบ)


เอฟเฟค ความน่ากลัว เรื่องแหวะ ทำได้ดีหมด แต่ที่ได้ใจคือการวางบทตัวละครแบบบางคนไม่สมควรตายทั้งนั้น เพราะในเรื่องไม่มีพวกตัวละครทำให้เรารำคาญใจ อะไรต่อมิอะไรจึงดูลื่นไหลๆม่ต่างกับตัวหนึบที่เข้าหาเหยื่อได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ตัวละครเด่นๆก็มีนักแสดง Kevin Dillon มาเล่นเป็นพระเอกได้แบบไม่น่าดูเป็นพระเอกได้ ไม่ใช่เรื่องหน้าตาแต่หมายถึงบุคลิกที่ดูห้าว ออกแนววางมาดเถื่อนนิดๆ ในท้ายเรื่องนี่ก็เท่จริงขับรถบรรทุกหิมะเทียมไปชนเจ้าหนึบ แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือนางเอกที่เล่นโดย Shawnee Smith (ที่มักจะคุ้นเคยกันดีในเรื่อง Saw ไงล่ะ) เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ตัวเองรู้สึกชอบเช่นกันที่ในเรื่องออกประมาณหญิงแกร่ง ดูได้เลยจากท้ายเรื่องที่หยิบปืนมายิงเจ้าหนึบใหญ่เลย จะว่าท้ายเรื่องจะให้อารมณ์บวกกๆทางแอ็คชั่นเอามันส์ก็ไม่ผิด แต่ที่ได้ใจในการหักมุมเนื้อเรื่องคือนักแสดง Donovan Leitch ที่เล่นบทพอลจากตอนแรกของเนื้อเรื่องที่วางเอาไว้จะเป็นพระเอกของเรื่องที่จะไปเดทกับเม็ก ส่วนหลังจากนั้นยังไงขอบอกว่าเจ็บใจจริงๆที่ผู้กำกับ Chuck Russell จัดการตัวละครดีๆไปซะเกลี่ยงเลย ก็เอาเป็นว่าเป็นหนังแนวสัตว์(โลก)น่ารักที่น่าขยะแขยงที่สุดตัวหนึ่ง และน่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง ถ้าชอบอะไรที่ดำเนินเรื่องแบบไม่ยืดยาวมาดูพระเอกบอกรักนางเอกต้องเรื่องนี้แหละที่เหมาะสุด แถมบางฉากยังเป็นการกัดจิกตลกร้ายไปในตัว(อย่างฉากในรถที่เอามือล้วงหน้าอกหญิงที่ไม่รู้จะฮาดีหรือสยองดีล่ะ)

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)