Bumblebee (2018) บัมเบิ้ลบี

Bumblebee (2018) | บัมเบิ้ลบี
Director: Travis Knight
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: B+

ผู้กำกับ Michael Bay ทำทรานส์ฟอร์เมอร์สมาตั้ง 5 ภาค แต่ละภาคมีความสนุกแตกต่างกันออกไป สิ่งที่ขายคือฉากแอ็คชั่นกับ CGI กระนั้นยิ่งทำภาคต่อมากเท่าไรยิ่งกลายเป็นความเลวร้ายยิ่งขึ้น บทหนังเริ่มถูกบั่นทอนให้มีความสำคัญน้อยลง ตั้งใจให้เป็นหนังแอ็คชั่นที่มีหุ่นยนต์ต่อยตีกันอย่างเดียว เนื้อหาสาระแทบจะเหมือนกันทุกภาคจนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าและจบลงเพียงเท่านั้น


Transformers: The Last Knight (2017) คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ทั้งเสียงคนดูและนักวิจารณ์ต่างพากันแสดงความคิดเห็นทางด้านลบ แม้จะทำได้ดีในเรื่องของ CGI ก็ใช่เป็นเรื่องแปลก ความแนบเนียน ความตระการตา ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้หนังน่าดูหรือดูดีมีราคา บทหนังและตัวละครยังพากันมั่วซั่วและสับสน เสมือนนึกอะไรได้ก็ใส่เอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยมาเรียบเรียงด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ทำให้ไม่ใช่ภาคที่สนุกน้อยลง แต่เข้าขั้นแย่ที่ไม่ยอมใส่ใจรายละเอียดให้ดีพอ ความน่าเบื่อทำให้ทรานส์ฟอร์เมอร์สฉบับรุ่นแรกกลายเป็นตราบาปที่คนดูรู้ตัวและจะไม่หลงไปกับหนังเรื่องนี้อีก ทำให้ความคาดหวังในรุ่นต่อมาในฐานะอีกจักรวาลหรือรีบูทใหม่ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับมากนัก ทำให้ทำรายได้เพียง 413$ ล้าน ซึ่งเทียบกับภาคก่อนๆยังมีรายได้มากกว่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่มีรายได้น้อย ไม่ได้แปลว่ายังวนเวียนในลักษณะเดิม อันที่จริงมีดีกว่าทุกภาคเสียด้วยซ้ำไป


Original Mode คือมีลักษณะและรูปร่างแบบเดิมหรือใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด ฉะนั้นหน้าตาหุ่นยนต์ออโต้บอทหรือดิเซปติคอนจะถูกอิงจากฉบับการ์ตูนเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะช่วยเสริมสร้างกำลังใจแก่คนที่ชื่นชอบต้นฉบับ ส่วนของ Michael Bay จะมีลักษณะดัดแปลงไปมากพอสมควร แต่เป็นแค่บางตัวเท่านั้นที่ไม่ใกล้เคียงกับของเดิม แค่ทำให้ดูสมจริงและแยกแยะได้ง่ายระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายร้าย บัมเบิ้ลบี คือพระรองที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่าง และเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนและหุ่นยนต์ ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะมีเพียงตัวละครนี้ที่ออกมามีบทบาทมากที่สุด ขณะที่ตัวละครหุ่นยนต์ตัวอื่นๆจะเน้นทำศึกสงครามกันซะมาก ดังนั้นไม่แปลกกับการมีภาคของตัวเองเพราะปูเรื่องราวได้ง่ายและละเอียดอ่อนที่สุด ถ้าเป็นตัวละครอื่นอาจไม่ได้แบบนี้และดูแข็งทื่อ การปกป้องโลกไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ต้องเพื่อมวลมนุษยชาติด้วย การเข้าหาทำความเข้าใจกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก


รีบูทยกเครื่องใหม่ อิงเอาเหตุการณ์ปี 1987 หรือยุค 80S ยุคที่เต็มไปด้วยเสน่ห์หลายอย่าง มีแต่ความสดใหม่และแตกต่างจนหลายคนชอบพูดถึงหรือหยิบเป็นตัวอย่าง ซึ่งเรื่องราวเป็นของ ชาร์ลี (Hailee Steinfeld) เด็กหญิงที่เพิ่งอายุ 18 ปี และต้องการมอบขวัญชิ้นพิเศษให้กับตัวเอง นั่นคือรถเต่าสีเหลืองที่หมดสภาพจนไม่มีใครให้ความสนใจ แต่เธอสนใจและซ่อมรถคันนี้จนวิ่งได้สำเร็จ ทว่าเรื่องไม่คาดฝันเกิดกับรถเต่าคันโปรดได้กลายเป็นหุ่นยนต์ร่างยักษ์ เหมือนย้อนกลับไปดูหนังยุค 80S เต็มตัว มีทุกอย่างที่เกือบจะครบเครื่องสำหรับหนังยุคนั้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์ตัวละครที่มักปูมาเรื่อยๆพร้อมกับใส่สัญลักษณ์ที่ชวนน่าจดจำ ทุกอย่างดูซื่อตรงและซื่อสัตย์กับตัวละคร แม้จะเดาทางได้ง่ายจนไร้ความสดใหม่ ทว่าอารมณ์ล้วนกินใจจากการเข้าถึงได้ทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการหยิบยกฉากจบสั้นๆจากหนัง The Breakfast Club (1985) ที่ชูแขนขึ้นด้วยความรู้สึกถึงชัยชนะ สำหรับคนที่ไม่รู้คงไม่ได้เอะใจอะไร แต่นั้นเป็นหนังเกี่ยวกับนักเรียนที่ถูกทำโทษ โดยแต่ละคนเล่าเรื่องของตัวเองสลับไปมาทั้งเรื่อง แล้วจะสนุกได้ยังไงถ้ามีแต่บทสนทนา คำตอบอยู่ใจความของ Coming of Age


Bumblebee คือหนังทรานส์ฟอร์เมอร์สที่แตกต่างและมีความเติบโต มีใจความถึงการเผชิญโลกกว้างและการต่อสู้เพียงลำพัง ด้วยเหตุนี้ทั้งเรื่องจึงมีแค่บัมเบิ้ลบีเท่านั้น ขณะที่พรรคพวกยังไม่มาถึงโลกจะเกิดอะไรขึ้น บัมเบิ้ลบีจะทำยังไงในฐานะผู้มาถึงก่อน การให้คิดตัดสินใจเอาเองทำให้เห็นวุฒิภาวะของตัวละคร เฉกเช่นชาร์ลีที่เพิ่งก้าวพ้นวัยเด็กสู่วัยรุ่น การตัดสินใจจะเป็นผู้ใหญ่และให้ความสำคัญในหลายเรื่องมากขึ้น ทว่ายังมีสิ่งที่กลัว และความกล้าเท่านั้นที่จะชนะได้ เนื้อเรื่องดูเชยพอสมควร แต่ไม่ปฏิเสธที่หลายอย่างย่อยง่ายและเข้าถึงได้ทันที อีกทั้งการใส่ใจตัวละครทำให้ข้อเสียไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดถึง ดังนั้นความเลวร้ายในภาคก่อนๆจะไม่ใช่สิ่งที่ติดตาอีกต่อไป เพราะภาคนี้ได้ทลายข้อด้อยที่สร้างมา เชื่อเลยว่ากับคนที่คาดหวังสูงจะต้องรู้สึกดีเป็นพิเศษ อย่างน้อยได้เห็นการปรับเปลี่ยนที่ไม่ซ้ำจำเจก็เป็นเรื่องบวกที่ไม่มากไม่น้อย


ด้วยความที่เน้นความสัมพันธ์เป็นหลัก ทำให้ดูเป็นหนังครอบครัว ความรุนแรงหรือฉากแอ็คชั่นมีน้อยและเป็นฉากเล็กๆ ไม่เหมาะกับคนคาดหวังเห็นฉากอลังการหรือสงครามกลางเมืองที่มีหุ่นยนต์ไล่ยิงกันอย่างภาคก่อนๆ กระนั้นใช่ว่าจะไม่มีฉากมันส์ๆ แค่มีน้อยและตั้งใจเน้นไปกับฉากใดฉากหนึ่งไปเลย จึงเห็นได้ถึงความกระชับไม่ยืดยาวจนน่าเบื่อ และชัดเจนกับการต่อสู้ที่สมเหตุสมผลจากตัวละครที่ไม่เก่งจนเกินไป หลายอย่างทำได้ถึงอารมณ์และค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ใจร้ายหรือดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ซึ่งเหมาะกับตัวละครตามท้องเรื่องและนักแสดงอย่าง Hailee Steinfeld ที่เล่นเป็นสาวห้าวได้อย่างสมบทบาท(และน่ารักมากด้วย) ที่สะดุดตาเห็นจะเป็น John Cena จากที่เปิดตัวก่อนใครและน่าจะมีบทบาทมากกว่านี้ ทว่ากลับตาลปัตรไม่ได้ทำอะไรสักเท่าไร ยกเว้นตอนจบที่ดูเป็นพระเอกขึ้นมาบ้าง แม้จะทำอะไรไม่ค่อยได้ก็ตามที


สรุปว่าเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์สที่กลับมาอีกครั้งในฉบับรีบูทที่ดูดีมีราคาและกันเอง ไม่เว่อร์วังอลังการจนล้นและเอียนแสนน่าเบื่อ ถ้าเน้นเรื่องบทกับตัวละครแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆให้แข็งแรงและน่าเชื่อถือก็ไปต่อได้อีกหลายภาค แต่ด้วยความที่สเกลเล็กลงจึงหาความบันเทิงชวนระเบิดระเบ้อได้น้อย แม้จะขยายกลุ่มคนดูให้กว้างขึ้นจนดูเป็นหนังครอบครัวก็มิปาน กระนั้นมีความต้องการเห็นฉากแอ็คชั่นที่มันส์และเว่อร์บ้าพลังอยู่ดี นั่นก็แล้วแต่จะเลือกระหว่างเบาสมองกับปล่อยสมองล่ะนะ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)