![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhu4Bj0FUKPNic0h4-R--wk5w9ZLs2I42A4jJFDPGpvH3b_IrYEQPFz0thH5-xhPXLBkOomSDQx0-ieUjSa_aYN5HzMUO4-ELc1RJtABmqKkaKZiLsx-ZVGXTNSHfi22gtVbBsyr4poBuSOeDDwv_dCrbYjmaT4yrjQ1MEaeQ_MA3R8xJeEehRFb2JD2UE/w432-h640/MV5BYWM1YTgxNjMtNzY2NC00YjVmLWE1ODUtNTdiYTI4YjZhODMwXkEyXkFqcGdeQXVyMTUzMTg2ODkz._V1_.jpg)
Hellraiser (2022) | B+
Director: David Bruckner
Genres: Horror | Mystery | Thriller
ความชอบสองภาคแรกหรือ Hellraiser (1987) และ Hellbound: Hellraiser II (1988) เพราะประสบการณ์นรกแตกหรือความหฤโหด ทำให้คาดหวังภาคต่อเอาไว้สูง แม้จะสนุกบ้างและเข้าขั้นแย่บ้าง แต่ไม่มีภาคไหนที่มอบความรู้สึกเท่าภาคดังกล่าวเลย
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjg1-b1cA0KjmekROpa5BUVgA413k1bFaeYt7saBrF8yrZ-nIIm4DFqX0dcWhnIpLFhDQ8tsber09WX3yVvJzZ5PyqO3dFq-Hbc1i8CDGcuwyEmquJN3x87gRDee0UwA0Oe4FoUDtr0wf0ZmjOJvp8eVsW80VlslGf4IqGb-9Ikxbhr0b0_1WkXi3n3Cp0/w640-h272/MV5BZGY0ODIzMWMtZjMyZS00MjgxLWFhNWMtYTIxMDJhNDM1OTc2XkEyXkFqcGdeQXVyMjI3NzE4MTM@._V1_.jpg)
สำหรับพล็อตไม่ต่างจากทุกภาค เมื่อมีคนเปิดกล่องปริศนาได้สำเร็จจะเรียกเหล่าซีโนไบท์ออกมา ซึ่งคนนั้นคือไรลีย์ (Odessa A’zion) ที่ไปขโมยของ แต่พบกล่องมีลวดลายน่าสนใจจึงลองแก้ปริศนา ทว่าได้ไปเริ่มเรื่องสยองขวัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การกลับมาครั้งนี้คือการรีเมคกึ่งรีบูทที่ไม่เชื่อมถึงภาคก่อนๆ แต่ไม่ทิ้งสิ่งที่เคยทำเอาไว้ ทุกอย่างคล้ายเดิมจนเรียกความรู้สึกเก่าๆกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะบรรยากาศการปรากฏตัวของเหล่าซีโนไบท์ที่น่าสยดสยองและน่าเจ็บปวดตั้งแต่แรกเห็น
แม้จะมอบความรุนแรง แต่ไม่อาจเทียบเท่าสองภาคแรกที่แสดงถึงความซาดิสม์และมาโซคิสม์กันอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าเห็นเศษซากนองเลือดและกองเนื้อเป็นว่าเล่น ข้อเสียคือ Practical effect ที่ความสมจริงน้อยกว่าตามยุคสมัย ทว่าภาคนี้ในแง่ความบรรจงและสมจริงที่มากกว่าจึงรู้สึกโหดไม่น้อยไปกว่ากัน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpl0L9fGgkIQj7RAyaWID39j5V7MPVcTW9iO8AN6RFL743NlQTYxkLAWx4myLZ0PyPB3W6ovOlaaEY5zkf0XXVqYGvMjb0XGpLi_Yfdlv0hqOuE4jwIPWDelFyTQo0jYWPECVzykfi7WMUw8t9WgisCCPRxynH0mAuzub_sfL7U50hjMvPqXu-Qfl5378/w640-h344/310971298_121818934001343_7658977427000365265_n-1024x551.jpg)
นอกจากความรุนแรงทางกายแล้ว สิ่งที่ต้องการให้เห็นคือความรุนแรงทางจิตใจ ซึ่งเป็นประเด็นที่หยิบมาใช้น้อยหรือแทบไม่เห็นในภาคก่อนๆ เนื่องจากติดภาพลักษณ์ความรุนแรงที่สัมผัสได้ การได้เห็นความเจ็บปวดทางใจทำให้รู้ว่าสาหัสไม่ต่างกันหรือมากกว่า ทำให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องและมิติตัวละครที่พบชะตากรรมแสนเศร้า
การดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงและทำให้เข้าใจง่าย สิ่งที่เน้นย้ำคือความสัมพันธ์ตัวละครเพื่อนำไปสู่องค์สุดท้าย แม้จะรู้สึกหลวมๆและตามสูตรสำเร็จอยู่บ้าง แต่คำตอบที่ได้กลายเป็นปรัชญาชีวิต มีชีวิตด้วยความเสียใจเพราะเป็นชะตากรรมที่ต้องหัดยอมรับความจริง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5ViERhvCwRAi_SLhs4Gl5twhpv2Dfco7A1i4WaATgdPq7afU4D9GXEzHrUmUIFxuSJZWP8HQ55oKoYNndPGiVT_qsRz4WFvnG4Rt5vtfdTfgfP5jdXnjaWa-Y7yLYAXxE20XkjMvkEyZ24UgZR6wVmBOFZ0OL_39UbuX3siTcd25nUQwYWmMMIsGAg_U/w640-h272/tumblr_d69664c7f87d6e3fcaff9edcf9729d5e_1a3b5b27_540.gif)
ความพิเศษอย่างหนึ่งคือบทพินเฮดมักคุ้นเคยกันดีกับนักแสดง Doug Bradley และมีการเปลี่ยนนักแสดงเพื่อให้ตัวละครนี้คงอยู่ แต่ขาดเสน่ห์และความขลังจากการแสดงและหนังที่ไม่สู้ดีนัก ครั้งนี้ได้นักแสดง Jamie Clayton ที่นอกจากเป็นผู้หญิงแล้ว การแสดงยังน่ากลัวเพราะความนิ่งอีกด้วย ทำให้ซีโนไบท์ที่มีหัวตะปูปักหัวและใช้อาวุธเป็นโซ่มีตะขอกลับมาทรงพลังอีกครั้ง
การกลับมาครั้งนี้เป็นที่คาดหวังอย่างมากและไม่คาดหวังใดๆ โดยส่วนตัวมีอคติกับ Franchise นี้เพราะยิ่งสร้างยิ่งกร่อยลงเรื่อยๆ ทำให้คิดว่าการกู้คืนอีกครั้งเป็นเรื่องยาก มิหนำซ้ำบางอย่างดูเก่าไปซะแล้วกับยุคสมัยที่หนังสยองขวัญไปไกล กระทั่งได้สัมผัสถึงชื่นชมและดีใจที่ได้กลับมามีคุณภาพอีกครั้ง หากเทียบกับภาคก่อนๆอาจจะดีกว่าหรือเคียงข้างสองภาคแรกเลยทีเดียว
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5aLwa9dH5fRs5ZeVhmOvGYIUqjjAr2qUWC36nzJKWU0dP31N354x_NTLGni9iUvwUgTwMT2P163r6qCDvKwJPinaC21PKmQr565tZQHoh4Y2n3aGPQYc4hzPaRzCdx6rFFLhIr1-8zxaEUnmnb-jXyyuXGcKqnswDb6Lup9EOuxDI8rphnhuMiXmqxfo/w522-h640/7ggcn2gvsfs91.jpg)