Under Siege 2: Dark Territory (1995) ยุทธการยึดด่วนนรก 2

Under Siege 2: Dark Territory (1995)
ยุทธการยึดด่วนนรก 2
Director: Geoff Murphy
Genres: Action | Adventure | Thriller
Grade: C+
  
กลับมาอีกครั้งกับเคซี่ย์ ไรแบ๊ค (Steven Seagal) หลังจากภาคแรกเป็นพ่อครัวกู้เรือรบจากผู้ร้ายได้สำเร็จก็ถึงคราวดวงซวยอีกครั้งเมื่อครั้งนี้ผู้ร้ายที่ยำขบวนโดยทราวิส เดน (Eric Bogosian) และมาร์คัส เพนน์ (Everett McGill) บุกยึดรถไฟเพื่อใช้เป็นแผนการขโมยดาวเที่ยมโจมตีจากฟากฟ้าแบบไม่ให้มีใครจับได้ ทำให้เคซี่ย์ต้องกลับมากู้สถานการณ์อีกครั้งโดยมีบ็อบบี เซค (Morris Chestnut) เด็กขนของที่จะมาเป็นผู้ช่วยจัดการกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มใหม่และยังมีซาร่าห์ (Katherine Heigl) หลานสาวคนสวยของเขาเป็นตัวประกัน พล็อตเรื่องแทบไม่แตกต่างจากภาคแรกแม้แต่นิดเดียวแค่เปลี่ยนตัวละครกับสถานที่ยึดแค่นั้น ซึ่งเมื่อลองเทียบกับภาคแรกสักหน่อยจะค้นพบว่ารายละเอียดเล็กๆยังเหมือนภาคแรกอย่างเรื่องวันเกิด ในเรื่องกล่าวถึงวันเกิดของซาร่าห์แต่ตัวหนังไม่ได้ลงการจัดงานปาร์ตี้อะไรจนกระทั่งเคซี่ย์โชว์ความสามารถของพ่อครัวให้กลุ่มพ่อครัวในขบวนรถไฟได้ดูและแอบทำเค้กอย่างสบายใจราวกับแขกวีไอพีเพื่อเซอร์ไพรส์หลานสาวของตัวเอง แน่นอนว่าทำนองจัดงานวันเกิดก็เกิดขึ้นในตอนต้นของหนังและสถานการณ์ต่อมาไม่ต่างกันคือโดนยึดอีกครั้ง แต่ความแตกต่างการยึดเรือกับรถไฟออกจากแตกต่างอยู่บ้างเรื่องกลุ่มตัวร้ายที่เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ารถไฟที่มีงานวันเกิดรอเซอร์ไพรส์ขบวนนี้โดนยึดแน่ๆเพราะไม่ทันก็เปิดเรื่องกลุ่มผู้ก่อการร้ายจำนวนมากจัดการคนคุมเส้นทางรถไฟอย่างไม่รีรอและพายกขบวนไปขึ้นรถไฟอย่างรวดเร็ว ผิดกับภาคแรกที่กว่าจะยึดได้ต้องวางแผนตีสนิทอย่างดีจึงรู้สึกได้ทันทีถึงข้อแตกต่างของสองกลุ่มผู้ก่อการร้าย ถ้าถามว่าชอบแบบไหนระหว่างช้ากับเร็วจะตอบว่าแบบช้าเพราะรู้สึกมีการปูเรื่องราวกับตัวละคร จะไม่เหมือนแบบเร็วที่มายึดก็ยึดเลย อันที่จริงน่าจะแฝงตัวมาแบบภาคแรกแล้วหาจุดเซอร์ไพรส์ในการยึดรถไฟน่าจะเข้าท่ากว่า


ภาคแรกมาแนวแอ็คชั่นผสมทริลเลอร์หน่อยๆแต่ภาคนี้แอ็คชั่นเต็มตัวยิงกันตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวนเลยทีเดียว กระนั้นความสนุกจริงๆต้องยกให้ภาคแรกที่เข้มข้นกว่าและจังหวะดีกว่า อันที่จริงต้องรวมถึงนักแสดงที่ภาคแรกคัดมาน่าสนใจทำให้หลายอย่างดูลงตัว ซึ่งภาคนี้นักแสดงอาจไม่ค่อยคุ้นเท่าไรและไม่น่าดึงดูดเท่าภาคแรกแต่มองในแง่ตัวร้ายก็สมกับตัวร้าย เช่น Eric Bogosian เป็นตัวนำแผนการร้ายมาสู่ขบวนรถไฟเพื่อยึดดาวเทียมจากรัฐบาลมาใช้ยิงทุกสิ่งที่อยู่บนโลก จากการแสดงไม่มีปัญหาอะไรและคิดว่าเหมาะสมดีโดยเฉพาะแววตาที่ส่อเค้าโกงมาแต่ไกลแต่บทบาทดูเหมือนไม่ได้เก่งกาจอะไรอย่างคิดนอกจากถนัดด้านคอมพิวเตอร์ทำให้ช่วงท้ายของเรื่องถูกจัดการง่ายไม่ค่อยเป็นที่น่าจดจำ แต่ให้พูดถึงความร้ายกาจคงไม่พ้นช่วงยึดดาวเทียมเพราะทำลายโน้นทำลายนี้ยับเยินไปหมด ส่วนเหตุผลที่ทำไมต้องยึดรถไฟก็เพื่อไม่ให้ถูกจับสัญญาได้เพราะรถไฟไม่ได้วิ่งอยู่กับที่แถมยังสร้างดาวเทียมหลอกเอาไว้หลายตัวเพื่อหลอกรัฐบาลไม่ให้จับได้โดยง่าย ยอมรับเลยว่าเรื่องด้านไอทีร้ายพอตัว ทว่านอกขบวนรถไฟจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่เท่าบทบาทของ Everett McGill เป็นหัวหน้าคุมลูกน้องที่ยึดขบวนรถไฟที่ไม่ว่าจะมาดหรือหน้าตาก็นิ่งตลอดทั้งเรื่องและคุยโอ้อวดทำเป็นเก่งเสมอ แน่นอนว่าถ้าเทียบกับตัวละครอื่นก็เก่งพอตัวทีเดียวแต่ถ้าจะให้เทียบระดับความเก่งกับพระเอกในเรื่องนี้คงไม่อาจบอกได้ว่าใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าตลกอย่างมากกับไคลแม็กซ์สู้กันในขบวนรถไฟไม่ใช่ออกมาตลกแต่ค่อนข้างไร้สร้างสรรค์ ที่ไร้สร้างารรค์ไม่ใช่ว่าแย่หรือออกแบบการต่อสู้ไม่ได้คุณภาพแต่ประเด็นอยู่ที่เมื่อโยงไปหาภาคแรกจะรู้สึกเหมือนถูกลอกเลียนแบบเนื่องจากมีการต่อสู้ด้วยมีด อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกจนน่าตกใจว่าต่อสู้ด้วยมีดในตอนท้ายจะเหมือนภาคแรกแต่อารมณ์บางอย่างทำให้ห้วนคิดถึงภาคแรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และประเด็นคือภาคแรกสู้กันมันส์กว่าแม้จะสั้นกว่าก็ตาม


ฉากแอ็คชั่นในเรื่องสนุกใช้ได้ตามประสาหนังแอ็คชั่นมุ่งเอาเพลินเอามันส์ แต่ยังขาดความเข้มข้นอยู่บ้างเพราะตัวหนังไม่ได้เล่าเรื่องอะไรไปมากกว่าการให้ผู้ร้ายยึดรถไฟแล้วติดตั้งคอมพิวเตอร์เพื่อยึดดาวเทียมก่อนจะลงเอยด้วยการที่พระเอกไปรู้จุดประสงค์การมายึดรถไฟแล้วก็สู้กันต่อเนื่องจนหนังจบ กระนั้นอารมณ์ขันของเรื่องก็มีให้เห็นเป็นประปลายกับบ็อบบีเด็กขนของที่มาเป็นตัวตลกของเรื่องและพยายามจะจีบซาร่าห์อีกด้วย แต่เหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะซาร่าห์ที่แม้เป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยแต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องน้อยฝีมืออย่างคนธรรมดาทั่วไปเพราะมีทักษะของเคซี่ย์ติดมาอยู่บ้าง ดังนั้นการเห็นบ็อบบีเข้าตัวซาร่าห์จึงไม่ใช่แปลกที่ผู้ชมจะเห็นความเซอร์ไพรส์จับล็อคทุ่มกันอย่างงงๆ แต่นั้นแหละที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของหนังที่เลือกให้ซาร่าห์เป็นตัวละครมากทักษะจนเมื่อผู้ร้ายยึดขบวนรถไฟเรียบร้อยก็ไม่ต่างกับตัวประกันธรรมดาๆคนหนึ่งที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากรอให้ลุงตัวเองมาช่วย นับว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้โชว์อะไรมากนอกจากความน่ารักที่หนังพยายามสื่อออกมาในเชิงสาวแกร่ง จึงไม่แปลกเลยที่ตัวละครจะค่อนข้างราบเรียบไปซะหน่อย ผิดกับบ็อบบีที่เป็นตัวประกอบเล็กๆในช่วงแรกที่ตามจุ้นเรื่องชาวบ้านกลับมาโดดเด่นด้วยลีลามุขตลกช่วยเพิ่มความสนุกกับหนังได้พอสมควรทีเดียว แต่ก็พอมีข้อเสียอยู่บ้างเพราะเป็นตัวละครพูดมากไปหน่อยและบางทีการพูดมากไม่ได้ช่วยให้หนังออกมาสนุกเลยด้วยซ้ำและออกจะน่าเบื่อเสียแทน แต่ที่จะเอาฮาอย่างที่ภาคแรกเคยทำกับมุขที่ทะเล้นซะหน่อยคือฉากนัดกันระหว่างสองเจ้าหน้าที่รัฐบาลบนรถไฟระหว่างเดวิล ทริลลิง (David Gianopoulos) กับลินดา กิลเดอร์ (Brenda Bakke) ฟังดูเป็นการเป็นงานแต่เนื้อแท้มาทอดรักกันนี่เอง ซึ่งก็แอบกัดเบาๆเกี่ยวกับองค์กรว่าห้ามเจ้าหน้าที่คบกันเพราะจะทำให้สูญเสียการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยมุขนี้มาได้ตอนที่ทราวิสเปิดประตูเจอทั้งคู่ทอดรักกันพอดีแล้วจิกกัดทั้งคู่กับฉากยึดรถไฟที่เกิดเสียงวุ่นวายแล้วเดวิลเกิดได้ยินแล้วสงสัยก่อนที่ลินดาจะบอกว่า"นี้แหละที่เขาเรียกจุดสุดยอด" คือที่ฮาเพราะฉากนี้มันเหมาะเจาะและนักแสดงก็เล่นตีหน้าเนียนไปกับอารมณ์ดีจริงๆ


Under Siege 2: Dark Territory น่าตลกตรงพล็อตไปซ้ำกับภาคแรกที่ว่าด้วยสถานการณ์ยึด(ก็ในเมื่อชื่อเรื่องก็บ่งบอกว่ายึด) แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไรเท่าที่ความสนุกของภาคนี้แม้จะแอ็คชั่นเยอะกว่าหลายเท่ากลับไม่ได้มันส์อย่างภาคแรกและรู้สึกปล่อยให้พระเอกเก่งกาจเกินไปจนรู้สึกผู้ร้ายพากันตายกันอย่างง่ายทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็มี บางทีการให้พระเอกไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับหนังแอ็คชั่นที่ผู้ร้ายต้องมากเพื่อจะได้รับกระสุนของพระเอกอย่างมันส์สะใจ แต่นั้นก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เป็นแบบนั้นแล้วจะช่วยให้หนังมันส์ตามไปด้วยเช่นเรื่องนี้ที่น่าจะเสริมความเข้มข้นในการกู้สถานการณ์แต่ละจุดให้ออกมายากแต่ดันง่าย อีกทั้งผิดคอนเซ็ปต์แบบภาคแรกที่มุ่งเน้นหลีกเลี่ยงปะทะตรงๆแล้วเลือกเก็บทีละน้อย ในขณะที่ภาคนี้ลุยเป็นลุยเสียมากกว่าแม้จะพยายามหลบและใช้แผนเข้าสู้แล้วก็ตาม ต่อให้หลายอย่างจะออกมาดูเว่อร์ไปค่อนข้างมากในความเก่งของพระเอกที่บทเขียนมาแทบจะไม่มีริ้วรอยเลยสักนิดแต่ยังดีที่มีความลุ้นอยู่บ้างในฉากที่ตกจากรถไฟ แน่นอนว่าการตกจากรถไฟเป็นอะไรที่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะถ้าไม่ได้อยู่ที่ขบวนรถไฟแล้วจะทำยังไงถึงกู้รถไฟคืนมาได้ ซึ่งนั้นก็เป็นอีกความโม้ที่บังเอิญอย่างเหลือล้นสามารถกลับมาขึ้นรถไฟได้ทั้งที่ยังวิ่งอยู่ ขึ้นรถไฟที่ถูกทิ้งห่างไปหลายช่วงตัวแต่ยังกลับมาขึ้นขบวนต่อได้นี่มันธรรมดาซะที่ไหน อีกอย่างคือผู้ร้ายในเรื่องนี้เหนื่อยแต่พระเอกที่ลุยคนเดียวไม่เหนื่อยเลยที่จะกู้รถไฟคืนทำให้รู้สึกว่าแทนที่จะลุ้นไปกับพระเอกที่ต้องลุยผู้ร้ายไปทีละโบกี้ต้องมานั่งลุ้นกับตัวร้ายที่พยายามใช้ดาวเทียมทำลายสิ่งต่างๆให้ทัน


ว่าก็ว่าในส่วนของแอ็คชั่นจัดว่าสนุกและมันส์พอเพลินไม่ได้ขนาดเข้มข้นเท่าไรนักแต่การเล่าเรื่องถือว่าประติดประต่อเรื่องราวได้ดีไม่น่าเบื่อ ฉากแอ็คชั่นไม่มีปัญหาเพราะออกมามันส์ระดับนึงอยู่แล้ว นักแสดงเล่นได้ดีไม่มีปัญหาอะไร ฉะนั้นสิ่งที่เสียดายก็มีแค่ไม่กี่อย่างและหนึ่งในนั้นคือการพยายามใช้ CGI มาทำดาวเทียมด้วยกราฟฟิคคอมพิวเตอร์ที่ออกจะไม่สมจริงเอาซะเลย ในอีกมุมมองหนึ่งทุกครั้งที่ตัดฉากไปที่ดาวเทียมจะรู้สึกกลายเป็นอีกอารมณ์ไปทันที ประมาณว่าดูหนังคนแสดงอยู่ดีๆมาเป็นการ์ตูนไปซะนี่ กระนั้นไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรมากเพราะถ้าใครชอบหนังแอ็คชั่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ไม่น่ามีปัญหากับเรื่องนี้เพราะว่ามันส์อยู่แล้วเพียงไม่ได้มันส์จนน่าประทับใจอะไรมาก ถ้าชอบภาคแรกแล้วดูภาคนี้อาจมีผิดหวังไปบ้างแต่คงไม่น่าผิดหวังเยอะถ้าไม่คาดหวังจากหนังว่าต้องอย่างนู้นอย่างนี้เนื่องจากเรื่องนี้ขายแอ็คชั่นกับลีลา Steven Seagal เป็นหลัก ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจที่จะเห็นหักกระดูกหักข้อเยอะหน่อย
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)