The Monster Squad (1987) แก๊งสู้ผี

The Monster Squad (1987)
แก๊งสู้ผี
Director: Fred Dekker
Genres: Action | Comedy | Fantasy | Horror
Grade: B-

แดร็กคูล่าผีดูดเลือดจาก  Dracula (1931) , แฟรงเกนสไตน์ศพเดินได้จาก  Frankenstein (1931) , มัมมี่ผู้เป็นอมตะจาก  The Mummy (1932) , มนุษย์หมาป่าจ้าวราตรีจาก  The Wolf Man (1941) และกิลล์แมนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจาก Creature from the Black Lagoon (1954) ที่กล่าวมาล้วนเป็นสุดยอดมอนสเตอร์ระดับแรกรุ่นในฐานะหนังขาวดำเรื่องยาวที่ต่างเป็นที่น่าจดจำในทุกยุคทุกสมัย ด้วยความคลาสสิคอันเป็นเอกลักษณ์จนถูกหยิบยืมไปใช้ประกอบหลายต่อหลายเรื่องทำให้ตัวละครเหล่านี้ผ่านสายตามานักต่อนักและเป็นที่รู้จักกันอย่างดี และด้วยความคลาสสิคที่เกิดมาในยุคเดียวกันนี่เองทำให้เกิดเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งถ้าจับมอนสเตอร์ระดับขึ้นหิ้งเหล่านี้มารวมกันในเรื่องเดียวจะเป็นยังไง แน่นอนว่าอาจจะพอมีบ้างแต่ก็ไม่ได้มีมากมายอะไรนอกจากแดร็กคูล่าที่เป็นหัวนำขบวนหลักกับมนุษย์หมาป่าที่เป็นทาสรับใช้ตอนกลายร่างและแฟรงเกนสไตน์ที่โดนบีบบังคับให้ทำแต่เรื่องผิดใจ ถึงอย่างงั้นฝ่ายปีศาจจะร้ายกาจแค่ไหนก็ยังต้องยอมให้กับมือปราบเวนเฮลซิ่งที่ตามล้างผลาญบรรดาปีศาจทั่วสารทิศ พล็อตระดับตำนานหนังสยองขวัญยุคแรกๆจะเป็นยังไงถ้าถูกมารวมตัวกันในเรื่องเดียวทั้งหมดพร้อมปรับเปลี่ยนยุคสมัยที่เชื่อหลักการของวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์ ที่สำคัญยังให้ตัวละครหลักเป็นเด็กสื่อๆที่เชื่อเรื่องภูติผีปีศาจมากกว่าวิทยาศาสตร์ในห้องเรียน เรื่องราวของเด็กที่ได้แค่จินตนาการที่ตอนนี้ต้องเจอของจริงก็อุบัติขึ้นเป็นมือปราบผี


ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหยิบตัวละครเก่าแก่ระดับขึ้นหิ้งกลับมาอีกครั้งในฉบับครบชุดที่เป็นกำไรกอบโกยของ Universal ที่เริ่มทยอยหนังสยองขวัญแก่สายตาผู้ชมและไม่ง่ายเลยที่หยิบตัวละครเหล่านั้นมารวมตัวกันในแบบไม่ขัดสายตาเพราะล้วนแล้วต่างมาจากคนละถิ่นกำเนิด ซึ่งนั้นอาจจะเป็นการรวมตัวที่เละเทะจนกลายเป็นการรวมตัวแบบลวกๆเพียงแค่เอาตำนานมายำ ทว่าในแง่การเล่าเรื่องก็เกิดนึกได้ว่าจะเล่าตั้งแต่ต้นเรื่องของแต่ละตัวละครคงเป็นเรื่องที่จำเจแสนน่าเบื่อเพราะใครๆก็รู้จักกันหมดแล้ว ยิ่งกับแดร็กคูล่าแทบไม่ทันเอยปากก็นึกถึงผีดูดเลือดยามราตรีที่ฝากรอยเขี้ยวบนคอของสาวเนื้ออ่อนที่ไม่ทันระวังตัวและกลายเป็นทาสรับใช้หรือมนุษย์หมาป่าที่กลายร่างในเวลาพระจันทร์เต็มดวงล่าเหยื่อในตอนกลางคืน และแฟรงเกนสไตน์ที่ถูกสร้างจากชิ้นส่วนของศพมาประกอบเป็นร่างเดียวกันที่ฟื้นคืนชีพด้วยพลังงานไฟฟ้าจากสายฟ้าที่มืดมน จากตัวอย่างตัวละครหรือมอนสเตอร์ที่กล่าวถึงต่างมีการเอยถึงในลักษณะนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนกับบางเรื่องแทบไม่ต้องอธิบายอะไรมากนอกจากการทำให้รับรู้ถึงชื่อก็เป็นอันเข้าใจไม่ต่ำกว่าครึ่งแล้วเกี่ยวกับตัวละครตัวนั้น(เว้นจะดัดแปลงต่างไปจากเดิมซึ่งไม่เป็นอันที่นิยมหรือคุ้นเคยกันอยู่ดี ที่สำคัญแบบดั้งเดิมเป็นอะไรที่มีระดับไม่เหมือนใครอยู่แล้ว) สำหรับ The Monster Squad แม้จะไม่มีการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับมอนสเตอร์ปีศาจน่ากลัวทั้งหลายว่ามายังไง ทว่าผู้ชมเองก็รับรู้กันอยู่แล้วส่วนการรวมตัวนั้นก็เริ่มจากการตามหาลิมโบ้หรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถกำจัดความชั่วร้ายทุกชนิดบนโลกโดยจะแสดงศักยภาพให้เห็นทุกร้อยปี ดังนั้นจึงต้องรีบตามหาลิมโบ้ก่อนที่ตกอยู่ฝ่ายมนุษย์ซึ่งนำขบวนโดยแดร็กคูล่า (Duncan Regehr) จ้าวแห่งความชั่วร้าย


สไตล์การเล่าเรื่องไม่ต่างจากหนังแนวครอบครัวที่ยังคงเกริ่นเรื่องราวของเด็กวัยจินตนาการตั้งกลุ่มชมรมหลังเลิกเรียนเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติสิ่งลี้ลับที่ไม่มีผู้ใหญ่เชื่อ มีสมาชิกได้แก่ ฌอน (Andre Gower) หัวหน้ากลุ่มที่จริงจังกับเรื่องภูติผีปีศาจจนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้มาตามธรรมชาติแต่ต้องมีสาเหตุที่เหลือเชื่อ , แพทริค (Robby Kiger) ผู้ร่วมอุดมการณ์กับฌอน , ฮอร์เรซ (Brent Chalem) เด็กอ้วนขี้กลัว , ยูจีน (Michael Faustino) เด็กที่ท่าทางอ่อนสุดในกลุ่ม , รูดี้ (Ryan Lambert) เด็กใหม่ที่หาอะไรใหม่ๆในชีวิตจึงลองเข้าชมรมเรื่องเหนือธรรมชาติ และฟีบี้ (Ashley Bank) น้องสาวฌอนที่พยายามเกาะติดยุ่งเรื่องของพี่เพราะอยากเข้าชมรมด้วย ถ้ากล่าวในส่วนของเด็กนี่อาจเป็นแค่เรื่องสนุกๆหลังเลิกเรียนแต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้นก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าเรื่องครอบครัวที่ขาดความอบอุ่นแบบพร้อมหน้าพร้อมตาที่เห็นได้จากครอบครัวฌอนที่แม้จะครบสมบูรณ์แค่ไหนก็ขาดช่วงเวลาดีๆที่อยู่ด้วยกันเนื่องจากงานที่เข้ามาขัดจังหวะแบบเดียวกับเดล (Stephen Macht) พ่อของฌอนที่ไม่อาจพาฌอนไปดูหนังฉายกลางแปลงได้จนต้องมานั่งริมนอกหน้าต่างใช้กล้องส่องทางไกลดูหนัง(ก็แปลกดีนะคล้ายกับลักดูยังไงอย่างงั้น)หรือจะการได้อยู่กับเอมิลี่ (Mary Ellen Trainor) ภรรยาที่นัดมื้อเย็นสุดพิเศษแต่กลายเป็นชวดกลางคันเพราะงาน ถึงจะมีการนำเสนอประเด็นปัญหาครอบครัวที่โดดเด่นแค่ไหนสุดท้ายก็ถูกลืมเลือนโดยไม่มีการแก้ไข หนำซ้ำเรื่องจินตนาการของเด็กก็กลายเป็นจุดทำให้เด็กหมกหมุ่นถึงจะเป็นแค่เด็กที่เราบอกเหตุผลง่ายๆว่าเป็นแค่ช่วงวัยก็ตามแต่จะเป็นยังไงถ้าเด็กเหล่านั้นสนใจเรื่องเหนือความจริงแทนที่จะให้ความสนใจกับการหาเหตุผลมาอธิบายในหลักวิทยาศาสตร์ นี่จึงเป็นประเด็นที่เห็นได้ในช่วงแรกของหนังในฉากที่อาจารย์พูดคุยกับฌอนให้สนใจวิชาในห้องเรียนที่เป็นจริงอย่างวิทยาศาสตร์มากกว่าสนใจเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ อีกประเด็นที่หนังที่สยองขวัญชอบใช้คือความบริสุทธิ์ของผู้หญิงที่่ยังสอดแทรกเข้ามาให้เห็นความของรักนวลสงวนตัวว่าบางทีมันสำคัญมากแค่ไหน


The Monster Squad มีประเด็นหลายอย่างแต่ขาดการใส่ใจทำให้อารมณ์ไปให้ความสนใจกับเหล่าปีศาจไปเสียหมดและเกิดเป็นว่ากลายเป็นหนังเสียดสีที่พยายามกัดจิกปีศาจในเรื่อง เช่น มนุษย์หมาป่าที่กลายเป็นข้อถกเถียงกันในกลุ่มว่าอะไรสามารถฆ่ามันได้ในฉากถามรูดี้เพื่อทดสอบการเป็นสมาชิกใหม่ซึ่งฌอนบอกว่ามี 2 วิธีที่ฆ่ามนุษย์หมาป่าได้ วิธีแรกคือใช้กระสุนเงิน ในขณะที่วิธีที่สองกลายเป็นเพียงทฤษฎีให้เดาอย่างการใช้ระเบิด ขับรถ ใช้ของศักดิ์สิทธิ์ และอีกสารพัดที่ไม่รู้ว่าใช้ได้จริงไหม แน่นอนว่าคำถามนี้ไม่ต่างกับการทดสอบผู้ชมไปในตัวว่าเป็นแฟนพันธุ์หนังสยองขัญใช่หรือไม่และถ้าเรารู้คำตอบนั้นหมายถึงผู้ชมได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งปราบปีศาจ

ความสนุกที่แท้จริงคือการได้เห็นมุมมองในฉบับดั้งเดิมและการให้เด็กได้สู้กับปีศาจที่ไม่น่าสู้ได้ แน่นอนว่าสไตล์ของหนังจะไม่ใช่สยองขวัญมีฉากน่าเกลียดน่ากลัวเว้นกับบางฉากที่ยังคงความต้นตำรับเอาไว้กับการปรากฎตัวของแดร็กคูล่าที่กลายสภาพเป็นค้างคาวที่น่ากลัว การแปลงกายของมนุษย์หมาป่า (Carl Thibault) ที่ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละเล็กน้อยจนชวนให้นึกถึง An American Werewolf in London (1981) แต่ก็ไม่ได้เก็บรายละเอียดมากเท่าเรื่องนั้น ขนาดที่ว่าแฟรงเกนสไตน์ (Tom Noonan) ยังมีช่วงที่น่ากลัวไม่แพ้กันที่คืนชีพจากโลงศพและได้รับคำสั่งโดยตรงจากแดร็กคูล่าให้จัดการกับเด็กๆหากไม่ยินยอม


ในส่วนสยองขวัญสำหรับผู้ใหญ่ก็มีแล้วก็ถึงคราวเอาไว้หลอกเด็กกันบ้างกับมัมมี่ (Michael Reid MacKay) ไปหลอกเด็กแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้าของยูจีน ตัวละครที่น่าเสียดายคือกิลล์แมนหรือมนุษย์มัจฉาที่ไม่ค่อยจะมีบทในเรื่องเท่าไรแต่อย่างน้อยยังคงสร้างความเซอร์ไพร์สได้ทุกครั้งที่โผล่จากน้ำ ถ้าพูดถึงความสยองขวัญคงไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะเป็นหนังที่เล็งกับกลุ่มคนดูประเภทเด็กเป็นหลักแต่เรื่องบรรยากาศยังจัดว่าน่าขนลุกพอประมาณ

เดิมทีบทเขียนมาให้ Liam Neeson ต้องเล่นเป็นแดร็กคูล่าแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เล่น คนที่เล่นเป็น Duncan Regehr ที่เล่นได้ดีไม่ทิ้งของต้นฉบับทั้งหน้าตาทั้งลูกเล่นแสดงออกหมดเลยว่าเจ้าเล่ห์แค่ไหน ที่ฮาคือต่อให้เป็นผีดูดเลือดมีอำนาจมากแค่ไหนยังต้องใช้ระเบิดอยู่ดี โดยส่วนตัวมองว่าเป็นอะไรที่ตลกที่ได้เห็นแดร็กคูล่าที่แสนน่ากลัวยืนถือระเบิดไดนาไมต์ขว้างใส่บ้านแทนที่จะบุกเข้าไปตรงๆจัดการคนข้างใน ซึ่งก็เข้ากับคอนเซ็ปต์กฎของแดร็กคูล่าที่ไม่สามารถเข้าบ้านได้หากเจ้าของไม่อนุญาติและมีอยู่ฉากหนึ่งที่อธิบายการเปรียบเทียบระหว่างแดร็กคูล่ากับคนในกระจกว่าใครไม่มีเงาในกระจกแสดงว่าคนนั้นแหละที่เป็น ที่แน่นอนสุดคือวิธีจัดการแดร็กคูล่าโดยไม่เปลืองกำลังคือการใส่แสงแดดกระนั้นเหมือนกับการบทจะจงใจไม่ให้มีแสงแดดเลยเพราะส่วนใหญ่สถานการณ์มักมาตอนกลางคืน ตอนกลางวันเป็นช่วงเวลาของเด็กส่วนกลางคืนเป็นเวลาของปีศาจ ที่ชอบเห็นจะเป็นมนุษย์หมาป่าที่มีการแบ่งบทระหว่างตอนเป็นคนกับตอนพระจันทร์เต็มดวงและยังเสริมมิติด้วยการตอนเป็นคนไม่มีเจตนาจะทำเรื่องไม่ดีตอนกลายร่างจนถึงขั้นวิ่งเข้าหาโรงพักขอให้ตำรวจขังตัวเองเอาไว้ก่อนพระจันทร์จะเต็มดวงเพราะจะกลายเป็นมนุษย์ป่าทำเรื่องไม่ดีซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ สิ่งที่เห็นได้สองอย่างคือตอนเป็นคนอาจจะเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ได้แต่อย่างน้อยมีความตั้งใจหยุดความชั่วร้ายและเตือนทุกคนถึงภัยที่กำลังมา อย่างสองเมื่อกลายร่างจะไม่มีสติสัมปชัญญะเว้นแต่สัญชาตญาณที่ยกให้แดร็กคูล่าคือเจ้านายที่สั่งอะไรก็ทำตาม จะแดร็กคูล่าหรือมนุษย์หมาป่าก็ต่างล้วนมีความโดดเด่นของตัวเองไม่แพ้กันแต่ที่จะเด่นจริงๆคือแฟรงเกนสไตน์ที่ภายนอกดูไม่ฉลาดเท่าไรซ้ำยังเชื่องช้าผิดกับตัวที่ใหญ่และทรงพลังกับภายในนี่รักเด็กมากเลยทีเดียวโดยเฉพาะฟีบี้ผู้เจอกับแฟรงเกนสไตน์เป็นคนแรกก่อนจะชักชวนให้ฌอนกับเพื่อนๆทำความรู้จักและเปลี่ยนทัศนะคติเกี่ยวกับปีศาจที่ไม่ได้ร้ายกาจทุกตัวเสมอไป


ไม่ต่างอะไรกับการดู Van Helsing (2004) แค่เปลี่ยนโทนให้สดใสมากขึ้นและเปลี่ยนมือปราบให้กลายเป็นเด็ก น่าเสียดายที่ความสนุกยังมีขาดๆไปบ้างทั้งที่การเล่าเรื่องทำได้ลื่นไหลตั้งแต่เรื่องที่พยายามโยงความสำคัญของลิมโบ้ที่เป็นของต่อกรความชั่วร้ายอันเป็นเหตุให้เกิดทีมปีศาจระดับคลาสสิค แม้การรวมตัวจะดูง่ายไปหน่อยแต่ไม่ง่ายเท่ากลุ่มเด็กสามารถหนีรอดกันอย่างสบายโดยไม่แทบเจ็บตัวซึ่งบางทีตัวละครที่ดูน่ากลัวน่าจะมีทีเด็ดกลับกลายเป็นตัวละครที่ค่อนข้างไร้ประโยชน์ไปหน่อย ในที่นี้จะกล่าวเห็นเป็นไม่ได้คือมัมมี่กับมนุษย์มัจฉาที่ต่างมีความน่ากลัวที่หน้าตาแต่กลายเป็นตัวตลกที่บทน้อยไปไวจนแทบไม่อยากเชื่อว่าแก๊งเด็กที่พึ่งประกาศตัวเองเป็นมือปราบจะกำราบลงแบบผู้ชมยังเหวอได้ กระนั้นที่ยากสุดๆคือมนุษย์หมาป่าที่บทมากสุดจนน่าจะเป็นตัวร้ายหลักของเรื่องก็ยังได้เพราะเป็นฝ่ายที่ลุยเจ็บมาเยอะเนื่องจากเป็นหนูทดลองให้กับแก๊งปราบผีที่พยายามหาวิธีฆ่าที่ไม่ใช่กระสุนเงิน แน่นอนว่าวิธีที่สองคืออะไรคงต้องไปหาคำตอบกันเอาเองแต่พึ่งรู้ว่ามนุษย์หมาป่าโดนระเบิดมันเป็นแบบนี้นะเนี้ย เอาจริงๆ The Monster Squad เป็นหนังที่สนุกดูเอาเพลินได้กำลังดีแต่ให้คาดหวังให้สนุกจนพีคคงไม่ถึงระดับนั้นเพราะยังมีบางช่วงดูขาดๆไปบ้างและก็ง่ายอีกด้วย จึงไม่แปลกใจที่หนังสั้นเพราะดูยังไม่เต็มที่เท่าที่ควรทั้งยังใส่อะไรได้อีกเยอะ ส่วนเรื่องราวยังคงตามสูตรไม่ได้แหวกธรรมเนียมแปลกใหม่อะไรมาก ที่ประทับใจคือการได้เห็นแฟรงเกนสไตน์เดินจูงมือกับเด็กๆเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มีมิตรภาพต่อกัน เป็นฉากที่มีรอยยิ้มและเพลิดเพลินได้ดี น่าเสียดายถ้าให้ความสำคัญเรื่องมิติตัวละครตรงนี้อีกหน่อยตัวละครที่น่ากลัวอย่างแฟรงเกนสไตน์จะกลายเป็นตัวละครที่น่ารักและน่าสงสารขึ้นมาทันที ถือว่าดูเอาสนุกพอเพลินแต่กับคอสยองขวัญจะยิ่งชอบเป็นพิเศษเลยทีเดียว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)