Crimson Peak (2015) ปราสาทสีเลือด

Crimson Peak (2015)
ปราสาทสีเลือด
Director: Guillermo del Toro
Genres: Drama / Fantasy / Horror / Mystery / Romance / Thriller
Grade: B

จะเห็นได้ชัดว่าผู้กำกับ Guillermo del Toro มีความสามารถในการนำเสนอสไตล์โกธิคอย่างช่ำชอง สังเกตได้จากผลงานก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะ Hellboy (2004),Pan’s Labyrinth (2006),Hellboy II: The Golden Army (2008) หรือแม้แต่ Pacific Rim (2013) ที่ว่าขายแอ็คชั่นก็ต่างมีเอกลักษณ์ในเรื่องขององค์ประกอบศิลป์ด้วยอารมณ์ไม่น่าไว้ใจ หม่นหมอง และแฟนตาซีผสมผสานรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งความโดดเด่นนี่เองจึงกลายเป็นลายเซ็นต์อย่างหนึ่งของผู้กำกับที่สร้างความน่าสนใจไม่น้อยเลย พอมาเรื่อง Crimson Peak ด้วยความที่หนังสอดคล้องกับยุควิคตอเรียจึงทำให้องค์ประกอบศิลป์ค่อนข้างจัดเต็ม ทั้งการแต่งกาย บรรยากาศ ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งที่น่าดึงดูดมากที่สุดคือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูทรุดโทรมชื่อว่า"อัลเลอร์เดล  ฮอลล์" ด้วยเอกลักษณ์ที่ดึงจุดเด่นของยุคสมัยทำให้แปลกตาไม่ใช่น้อย ซึ่งก็รวมถึงความแปลกของเนื้อเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะเป็นหนังผีรูปแบบไหนหรือเป็นสิ่งที่ตัวละครจินตนาการขึ้นมาเองเพราะไม่ทันไรทันทีที่เปิดเรื่องก็ชวนให้ผู้ชมเกิดตระหงิดใจในคำถามที่เอยขึ้นของตัวละครนางเอกที่อยู่สภาพเหนื่อยล้าทั้งกายและใจท่ามกลางหิมะขาวโพลนว่า"ผีมีจริง จบลงแค่นี้"


แต่ประเด็นไม่ได้จบลงแค่นั้นเพราะได้เล่าประวัติตัวเองต่อในสมัยเด็ก 10 ขวบที่ได้เห็นผีครั้งแรก ซึ่งผีตนนั้นคือแม่ของตัวเองที่มาเตือนภัยระวังบางอย่างจากภูสีเลือด หลังจากนั้นไม่ได้เห็นผีอีกเลยจนกระทั่งคำเตือนดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและพึ่งสำนึกได้ว่าสายเกินไปเสียแล้ว การเล่าเรื่องในช่วงแรกแม้จะไม่ได้ชวนให้ตื่นเต้นอะไรนักแต่กลายเป็นปริศนาอย่างหนึ่งที่ทิ้งเอาไว้ให้ร่วมกันคลายปมนี้ราวกับได้อ่านนิยายสืบสวนเรื่องหนึ่งที่โยนปมปริศนามาตั้งแต่ต้นเรื่องโดยไม่รีรอก่อนว่าจะสะสมความไม่ชอบมาพอกลทีละนิดเพื่อนำไปสรุปในท้ายเรื่อง แม้จะไม่ได้ถึงกับแปลกใหม่ที่โยนความสนใจแต่ต้นเรื่องที่ไม่รู้ว่าเนื้อแท้คืออะไร ทว่าอย่างหนึ่งที่สนใจไม่น้อยคือผีในเรื่องนี้หมายถึงพลังงานบางอย่างที่เกิดขึ้นจากคนตายหรือผีที่หมายถึงการหลอกลวงกันแน่ เนื่องจากการบอกว่าผีมีจริงแล้วเล่าการปรากฎของผีที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวดูจะเป็นคำเฉลยที่ง่ายเกินไปและหักล้างกันเองอย่างไม่มีข้อสงสัย ฉะนั้นคำว่าผีควรมีอะไรที่มากกว่านั้นและภูสีเลือดมีส่วนกับเรื่องอันตรายได้อย่างไร


Crimson Peak ไม่ใช่แค่เรื่องของยุคสมัยที่มีจุดเด่นแค่ค่านิยมการแต่งกายหรือการจัดองค์ประกอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิถีชีวิตของคนที่เกิดมากับความดั้งเดิมกับคนที่ต้องการสิ่งใหม่ โดยในเรื่องโธมัส ชาร์ป (Tom Hiddleston) คือผู้ชายที่มีความคิดใหม่ๆเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์และพยายามหาทุนเพื่อนำไปพัฒนาสร้างเครื่องจักรที่เชื่อว่ามีกำลังมากกว่าคนถึง 12 เท่ามาใช้ประโยชน์ในการแยกดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ทว่าต้องถูกต่อต้านการหาทุนจากคาร์เตอร์ คุชชิ่ง (Jim Beaver) ที่มีอุดมการณ์หัวคิดแบบโบราณเชื่อว่างานต้องทำด้วยกำลังของตนเองเพื่อจะได้เข้าใจคำว่าลำบากก่อนจะไปความสุขสบายโดยมือยังไม่ด้าน การสอดแทรกความคิดที่แตกต่างระหว่างคนทำงานด้วยกำลังของตัวเองกับใช้เครื่องจักรเพื่อความสะดวกเป็นประเด็นที่แสดงถึงการยังไม่ยอมรับความสมัยใหม่ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงาน เนื่องจากกว่าจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จต้องตรากตรำอย่างยากลำบากแต่สิ่งที่เหนื่อยมากลับกลายเป็นคนสมัยใหม่เลือกหาหาทางที่ง่ายและสบายจนไม่ต่างกับดูถูกคนรุ่นก่อน ในเรื่องของเครื่องจักรยังไม่ใช่สิ่งที่สังคมยอมรับเท่ากับฐานะของคน ด้วยความที่โธมัสไม่มีฐานะบรรดาศักดิ์เรื่องเงินทองจึงถูกมองเป็นคนธรรมดาเท่านั้น การใส่ประเด็นชนชั้นคนทำงานในช่วงแรกอาจจะยังไม่ถึงกับหนักแน่นมากนักแต่พอเป็นนัยยะสำคัญระหว่างคนที่เดินตามเส้นทางจนใหญ่โตกับคนมีความฝันที่หาทางสำเร็จด้วยเส้นทางต่างกว่า ทว่าสาระในจุดนนี้จะไม่หนักแน่นพอเมื่อรู้ว่าโธมัสกำลังตกหลุมรักอีดิธ คุชชิ่ง (Mia Wasikowska) จนกลายเป็นความไม่ชอบของคาร์เตอร์ผู้เป็นพ่อที่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับโธมัสจากประวัติที่พยายามขอทุนจากหลายประเทศเพื่อมาทำเครื่องจักรแยกดินแต่ประสบความล้มเหลวทุกที่ ดังนั้นจึงทำการสืบประวัติของโธมัสอย่างลับๆก่อนจะรู้ความจริงบางอย่างและให้เลิกกับอีดิธด้วยการหักอกแลกกับให้เงินและความจริงที่ไม่ถูกเปิดเผย ทว่าพ่อของอีดิธเกิดเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่โธมัสกับอีดิธก็กลับมาคืนรักแก่กันด้วยแรงเสน่หาและตกลงจะไปอยู่ด้วยกันโดยอีดิธจะเป็นฝ่ายตามโธมัสไปที่อังกฤษโดยยอมสละทรัพย์สินที่มีแลกกับการซื้ออุปกรณ์ทำเครื่องจักรแยกดินให้โธมัส หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้นแต่มีหมออลัน แม็คไมเคิล (Charlie Hunnam) ที่เริ่มไม่มั่นใจว่าจะดีอย่างที่ตาเห็น ที่สำคัญคือตั้งแต่อีดิธมาอยู่คฤหาสน์ของโธมัสก็ชักมีแต่ความผวาเกิดขึ้นตลอดเวลาจนเหมือนไม่เป็นที่ต้อนรับ และยังมีลูเซียส ชาร์ป (Jessica Chastain) พี่ของโธมัสที่ทำตัวลับๆล่อๆทำตัวเหมือนเป็นมิตรไม่กึ่งเป็นมิตรเดาใจได้ยาก แต่ไม่มีอะไรน่าตกใจเท่ากับการได้ยินชื่อ"คริมสันพีค" เป็นชื่อเดียวกับที่ผีแม่เคยบอกตอนยัง 10 ขวบ


ตอนเปิดเรื่องเล่าได้น่าสนใจเกี่ยวกับผีแม้จะเป็นช่วงสั้นๆแต่สร้างความโกธิคหม่นมัวได้อย่างดีแถมยังเป็นการเกริ่นตัวละครอีดิธที่มีพื้นฐานครอบครัวที่มีพ่อเป็นเสาหลักครอบครัว แน่นอนว่าช่วงแรกเราจะได้เห็นอีดิธทำตามความฝันและเจตนารมย์ของตัวเอง นั้นคือการเขียนนิยายที่มีแก่นสาระของผีที่มากกว่าสิ่งเหนือธรรมชาติแต่เป็นการอุปมาอุปไมย ทว่าการเขียนนิยายที่หวังให้ออกมาเป็นผลงานเด่นนั้นกลับไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าไรเพราะขาดเรื่องราวของความรักและอารมณ์ความใคร่จนสร้างความไม่พอใจแก่อีดิธเนื่องจากถูกมองเป็นผู้หญิงที่ขาดความรักของจริงจากผู้ชาย ในส่วนนี้เองที่ใส่มาแม้ไม่ได้อะไรมากแต่พอจะบอกลักษณะของผู้คนในสมัยนี้เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ยังไงเพศชายย่อมมีศักดิ์ที่เหนือกว่าเพศหญิงอยู่ดี กระนั้นประเด็นเรื่องต่างเพศดูจะไม่ใช่ประเด็นที่หนังใส่มาจึงไม่ถึงกับต้องมุ่งเน้นแต่ก็พอมีให้เห็นเป็นประปรายจนกระทั้งไคล์แม็กซ์ของเรื่องที่เป็นบทสรุปได้แสดงถึงการกล่าวเรื่องเพศได้อย่างน่าตื่นใจ ต่อให้เป็นฉากแค่ไม่กี่วินาทีแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลายเป็นว่าจะเพศชายหรือเพศหญิงก็ยังเป็นของคู่กัน ทว่าความต่างเพศและต้องคู่กันนี่เองจะถูกนำไปเปรียบเทียบเรื่องจรรยาบรรณความรักที่เป็นไม่ต่างกับคนสนิทหรือญาติเพราะได้ก้าวล้ำเส้นไปแล้ว แต่อะไรทำให้จรรยาบรรณความรักเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่ผิดก็ล้วนมาจากความยินดียินยอมของทั้งสอง ถ้าทั้งสองยอมรับสมัครใจด้วยความรักที่มีให้กันต่อให้หลายคนมองเป็นเรื่องน่าประหลาดก็ยังคิดว่าตัวเองถูกอยู่ดีเนื่องจากความรักก็คือความรักอยู่วันยังค่ำ การใส่ส่วนเรื่องเพศอาจเป็นประเด็นที่น่าสนใจและเป็นจุดเฉลยของเรื่องแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกลับไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องที่เหนือเกินคาดหมายเพราะบางจุดบางช่วงของตัวละครได้แสดงพฤติกรรมหึงหวงค่อนข้างชัดเจนและเป็นการตรอกย้ำความคิดของผู้ชมที่เริ่มตระหงิดใจให้กลายเป็นจริงได้ด้วยการเฝ้าสังเกต น่าเสียดายที่เรื่องเพศที่เป็นปมประเด็นถูกคลี่คลายไม่กระช่างจัดเท่าไร ถึงแบบนั้นกลับช่วยส่งเสริมเรื่องตัวละครให้ออกมาดูน่าเชื่อถือถึงอาการต่างๆได้อย่างดีและเป็นจุดเพิ่มความหนักแน่นในท้ายเรื่องให้ดูมีเหตุผลพอเกี่ยวกับความรักแสนพิสดารอีกด้วย


จะประเด็นเรื่องยุคสมัยเกี่ยวกับค่านิยมในสังคมหรือความรักก็ต่างเป็นข้อดีของ Crimson Peak ที่มีนัยยะสำคัญต่างๆมากมายแม้จะไม่ใช่ประเด็นให้นำมาขยายในท้ายเรื่องแต่ก็มากพอให้นำไปทบทวนคิดดูกันเล่นๆให้เนื้อหามีน้ำหนัก แต่ด้วยความที่ต้องการสอดแทรกสาระทางสังคมทำให้ช่วงแรกของการเกริ่นเล่าตัวละครออกน่าเบื่อไปบ้าง ทั้งมีการดำเนินเนื้อเรื่องที่ช้าไม่ต่างกับอ่านนิยายเรื่องนึงที่เก็บรายละเอียดเพื่อไม่ให้ผู้ชมงงต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไป ซึ่งในช่วงแรกปริศนาเดียวที่สร้างขึ้นคือความลับของโธมัสที่มีเพียงคาร์เตอร์หรือพ่อของอีดิธเท่านั้นที่รู้ ทว่าความลับนี่กลายเป็นชนวนให้พ่อของอีดิธต้องตายอย่างปริศนาโดยไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ในส่วนเนื้อเรื่องจุดนี้ถ้าใครพอเดาได้ก็ถือว่าถูกครึ่งผิดครึ่งเนื่องจากมีทิศทางที่เกือบชัดเจน เรื่องราวหลักไม่ได้อยู่ที่ช่วงแรกแต่ต้องหลังจากที่อิดิธมาอาศัยในคฤหาสน์คริมสันพีคสถานที่มีที่มาของชื่อจากฤดูหนาวจากหิมะถูกดินแดงจนกลายพื้นกลายเป็นสีแดงราวกับเลือด อีดิธเริ่มเจอเรื่องราวชวนให้ผวาอยู่บ่อยครั้งจากผีหลายรูปแบบที่แม้จะคล้ายกันแต่เมื่อมองดีๆจะเห็นว่าบางตัวมีร่องรอยการตายที่ต่างกันออกไปเสมือนมีที่มาที่ไป เช่น ผีที่มีมีดปักอยู่ที่หัว ผีอุ้มเด็ก ทั้งนี้การปรากฎของผีกลายเป็นความฉงนใจอย่างหนึ่งคือมีเพียงอีดิธที่เห็นเพียงคนเดียว ในขณะที่โธมัสกับลูเซียสกลับไม่เคยเห็นแต่อย่างใด แล้วอะไรทำให้โธมัสกับลูเซียสไม่เคยเห็นผีมาก่อนนั้นในจุดนี้จะแสดงออกมาให้เห็นเป็นเบื้องหลังอีดิธที่บ่งบอกว่าทั้งคู่มีบางอย่างซ่อนอยู่และคิดว่าอีดิธเริ่มประสาท การใส่ผีเข้ามาทำให้รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวไปอีกขั้นจากที่ไม่มีความน่ากลัวใดๆยกเว้นการตายของพ่ออีดิธที่กลายเป็นปริศนา การผสมเรื่องราวของผีที่น่ากลัวกับปริศนาที่น่าสืบค้นที่ไม่น่าลงตัวแต่ใส่ลงมาได้กำลังเหมาะ ฉากที่มีผีไม่ใส่มาให้แค่หวังตกใจแต่หมายถึงการสื่อสารอย่างหนึ่งอีกด้วย ฉะนั้นแล้วหากต้องการความน่ากลัวจากผีก็มีให้ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีให้ตลอดทั้งเรื่องเพราะมีอยู่ไม่กี่ฉาก(ทุกครั้งที่ผีโผล่มายอมรับว่าน่าเกลียดน่าชังพอสมควร) สำหรับความน่ากลัวของผีในที่นี่ก็คือคนที่สามารถหลอกลวงได้อย่างไม่เกรงกลัว คนที่มีความต้องการของตัวเองจนยอมทำทุกอย่างเพื่อแหกกฎมากมายเพื่อสนองตัวเอง แต่ใครคือผีที่น่ากลัวตนนั้นต้องดูบทสรุปที่แท้จริงจากอีดิธที่สืบเรื่องราวด้วยตัวเองจากความสงสัยที่ค้นพบว่าคฤหาสน์แห่งนี้มีความหลังที่น่ากลัวซึ่งไม่แตกต่างกับสภาพของเธอที่กำลังกลายเป็นเหยื่อ


การเล่าเรื่อง Crimson Peak มีพล็อตเรื่องที่สั้นแต่กลับมีรายละเอียดที่มากเกินไปในช่วงแรกจนสิ่งที่เปิดตัวในต้นเรื่องกลายเป็นสิ่งที่เกือบถูกลืม แต่อย่างไรความน่าสนใจก็พึ่งจะมาเมื่อได้เข้าคฤหาสน์คริมสันพีคและทวีความสนุกมากขึ้นเรื่อยๆจากหลายสิ่งที่เป็นความลับ แน่นอนว่าตัวหนังพยายามปล่อยให้หลายอย่างดูน่าสงสัยทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจจนบางทีต้องเรียกว่ามากไปด้วยซ้ำสำหรับบางอย่าง แต่ก็ถือว่าแลกกับการเล่าเรื่องในช่วงแรกที่เนิบนาบและกำลังหมดพลัง สิ่งที่ทำให้น่าดึงดูดนอกจากความอาร์ตของฉากในเรื่องแล้วยังรวมถึงนักแสดงที่เหมือนจะไม่เข้ากับบทบาทแต่สักพักกลับรู้สึกเข้าถึงอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะ Jessica Chastain ที่เล่นเป็นลูเซียสหรือพี่สาวของโธมัสที่มีอารมณ์อธิบายได้ยากเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายและมีความลับอยู่ตลอดเวลาทำให้เป็นตัวละครเดาทางได้ยาก แต่สิ่งที่ทำให้กลายเป็นตัวละครเด่นคือไคล์แม็กซ์ของเรื่องที่ปล่อยอารมณ์กันอย่างสุดเหวี่ยงแสดงถึงความโหดและการเอาจริง ในขณะที่ Tom Hiddleston หรือโธมัสน้องชายของลูเซียสที่สลัดคราบเทพโลกิจาก Thor นั้นสามารถแสดงแววตากับสีหน้าจนเข้ากับบุคลิกได้อย่างดี แต่ที่แสดงได้เด่นไม่แพ้กันคือ Mia Wasikowska เจ้าของเรื่องราวความน่ากลัวที่พยายามสะท้อนคำว่าผีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและมีเรื่องราวซ่อนอยู่ในตัว ที่สำคัญคือเป็นหญิงแกร่งทำให้ตัวละครนี้น่าสนใจกว่าที่เป็น แม้ว่าตัวละครในเรื่องจะใช้กันอยู่ไม่กี่ตัวตามเนื้อเรื่องที่มีแค่ในคฤหาสน์ ทว่าสิ่งที่ใหญ่เกินหนังคงไม่พ้นเรื่ององค์ประกอบที่ใหญ่จนล้ำเส้นไปบ้าง จะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียก็ไม่เชิง ฉะนั้นถ้าคาดหวังเรื่ององค์ประกอบตามฉบับผู้กำกับ Guillermo del Toro เรื่องนี้ได้แน่นอน แต่ถ้าอยากได้ความสนุกอาจต้องทำใจอยู่บ้างเพราะเมื่อถึงบทสรุปของเรื่องรางทั้งหมดจะเห็นว่าไม่ได้ถึงกับแปลกหรือซับซ้อนจนอึ้งหรือหักมุมระดับเกินความคาดหมาย ทั้งนี้เชื่อว่าในจุดที่หักมุมน่าจะเป็นส่วนของความรักที่เฉลยความจริงแล้วเป็นในรูปแบบไหน แน่นอนว่าอาจมีความเกี่ยวพันถึงจารีตและปมเด่นปมด้อยในอดีต ส่วนจะเรื่องอะไรมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญยังไงนั้นต้องให้พิสูจน์กันด้วยตัวเองดีที่สุด สรุปว่าถ้าชอบหนังที่มีกลิ่นอายความอาร์ตผสมโกธิคต้องชอบไม่มากก็น้อย แต่ที่โดนใจจริงๆคือคฤหาสน์คริมสันพีคที่ออกแบบได้วิจิตรลึกลับและน่าระแวง ที่สำคัญยังเสริมความผวาด้วยดินแดงเหลวรอบบ้านที่ประหนึ่งเลือดที่ไหลตามบ้านยังไงอย่างงั้น ต้องยกความดีความชอบให้กับฉากกับบบรยากาศของเรื่องที่ออกแบบได้ถึงพลังจริงๆ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)