6 Underground (2019) 6 ลับ ดับ โหด

6 Underground (2019)
6 ลับ ดับ โหด
Director: Michael Bay
Genres: Action | Thriller
Grade: C+

ลายเซ็นความเป็นหนังของผู้กำกับ Michael Bay มีความชัดเจนและใช่แน่นอน แทบไม่มีจุดเปลี่ยนหรือพัฒนาไปทางอื่นเลย ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง แสงสีเสียง และที่สำคัญคือระเบิดที่กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว หากเรื่องไหนไม่มีระเบิดนั้นไม่ใช่หนังของเขา หรือหากใช่แปลว่าเป็นหนังพักเบรกทำยามว่างเพื่อรอทำหนังทุนสูงที่อลังการงานระเบิดระเบ้อ


สำหรับ 6 Underground จัดว่าเป็นหนังที่มีทั้งสองอย่างระหว่างตั้งใจทำกับทำแก้เบื่อ นับตั้งแต่ทำ Transformers มา 5 ภาคจะเห็นถึงความอลังการในฉากแอ็คชั่นจนเหมือนเสพติดการทำลาย ต้องพังพินาศ ต้องระบิดให้กระจุย ต้องมีฉากที่ตระการตา ทำให้เริ่มขาดหัวใจของเนื้อเรื่องไปทีละนิดจนหนังไม่มีความสนุกจากฉากแอ็คชั่นเพราะจับต้องความจริงใจไม่ได้ เช่นเดียวกันที่หนังเรื่องนี้ยังมีอาการนั้นอยู่ แม้จะแก้ไขตัวเองแล้วก็ตาม

$150 ล้านคืองบที่จัดว่าสูง เมื่อเทียบกับเนื้อเรื่องของกลุ่ม 6 คนที่จับตัวรวมทีมกำจัดผู้นำเผด็จการ ซึ่งคล้ายจะเป็นแนวสายลับวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีเหตุจำเป็นต้องใช้ทุนที่สูงเพราะไม่ใช่เรื่องที่ ใช้ฉากอลังการงานสร้าง จนเปิดเรื่องเท่านั้นแหละที่ทำให้รู้สาเหตุของทุนที่สูง แม้เนื้อเรื่องจะดูใช้สมองเกินกว่าจะยิงปะทะ แต่พอถึงเวลาจริงลุยกันเละเป็นว่าเล่นอย่างไม่เกรงอกเกรงใจจุดประสงค์ของตัวตนทั้งหกว่าสถานะของตัวเองคือความลับ


เปิดเรื่องด้วยแอ็คชั่นยาวต่อเนื่องเกือบ 20 นาที ด้วยการขับรถซิ่งทั่วอิตาลีในแบบชนได้ชน หลบได้หลบ ผสมผสานอารมณ์ขันและความมันส์ อีกทั้งยังมีความโหดเลือดกระฉูดสาแก่ใจ ซึ่งไม่ได้หยุดแค่เลือดเยอะหรือยิงโดนเข้าอย่างจัง แต่มีหัวระเบิดกระจายตลอดจนคนปลิวเป็นใบไม้ร่วงอย่างไม่แคร์ว่าศพจะสวยหรือไม่ ไม่รู้ว่าไปอัดอั้นมาจากไหน แต่ที่แน่ๆคือเน้นสมจริงขนาดนี้อาจทำคนดูออกอาการเหวอได้ไม่น้อย (ลองนึกสภาพหากมีความรุนแรงแบบนี้ให้เห็น Transformers เปลี่ยนจากหุ่นยนต์ที่เป็นเศษเหล็กเป็นคนที่เป็นเศษเลือดเนื้อจะเป็นยังไง)

จับต้นชนปลายได้น่าเชื่อถือน้อยมาก แทบไม่อยากเชื่อว่าการรวมทีมจะเกิดจากความอยากกำจัดผู้นำเผด็จการเพียงอย่างเดียว หลายอย่างดูลึกลับไม่บอกรายละเอียดครบทุกตัวละครว่ามาจากไหนแล้วแรงจูงใจที่มาแบบนี้ได้อะไร ทำให้บทดูลอยๆไม่น่าเชื่อถือแม้จะย้อนอดีตหรือเล่าที่มาที่ไปของตัวละครแล้วก็ตาม ซึ่งนั้นดูเป็นไปตามสูตรสำเร็จให้รู้เกี่ยวกับมีปมเรื่องนั้นแค่เท่านั้น ส่วนจะลึกซึ้งหรือผูกพันกับคนดูแค่ไหนก็อีกเรื่อง


บทอ่อนแม้จะเล่าครบก็ยังขาดอยู่หลายอย่าง ไร้มิติไร้สัมพันธ์ มีให้เห็นเพียงเปลือกซะส่วนใหญ่ การจะบอกถึงปมหรือประเด็นเกี่ยวกับแต่ละคนเป็นเรื่องที่มาถึงขั้นท้ายแล้วซะส่วนใหญ่ ฉะนั้นตอนขยี้ปมจึงดูไม่จริงสักเท่าไร แต่ดีอย่างหนึ่งที่ผู้กำกับ Michael Bay เป็นคนเร้าอารมณ์เก่ง ในหนังแต่ละเรื่องต้องมีบทพูดกินใจพร้อมอารมณ์ส่งเสริมให้กำลังใจหรือความในใจอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่คนดูมักจะชอบเพราะย่อยง่ายและได้ความบันเทิง

จุดเด่นของหนังคืออารมณ์ขันที่มีตั้งแต่ฮามากจนถึงแป้ก และยังได้ Ryan Reynolds มาเสริมความตลก แต่ในหนังดันไม่เล่นมุกสักเท่าไร แถมยังไม่ค่อยได้บู๊ลุยอีก จึงไม่รู้ว่าสมควรผิดหวังดีหรือไม่เพราะเป็นบทนำหรือพระเอกกลับปล่อยให้คนอื่นมีฉากแอ็คชั่นมากกว่าตัวเอง แต่หนังก็บอกเหตุผลเน้นสมองมากกว่ากำลัง ดังนั้นจึงเป็นคนวางแผนและทำทุกอย่างให้กับทีม รวมไปถึงประดิษฐ์ของที่พอใช้เวลานึกว่ากำลังดู Transformers เพราะโม้สุดๆ


เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บทจะสนุกก็สนุก บทจะน่าเบื่อก็น่านอน เหมือนจับยัดให้รู้ว่าตัวเองมี แต่ที่มีมันใช้ไม่ได้และล้นอย่างมากจนน่าทำเป็นซีรีส์น่าจะเข้าท่ากว่า อย่างการบอกว่าต้องแกล้งตายเพื่อจะได้เป็นทีมผีไร้ประวัติไร้ตัวตน แต่ที่เห็นแค่คนสองคนเท่านั้น ความลำเอียงอีกอย่างคือความสำคัญของแต่ละคนไม่เท่ากันอย่างมาก เห็นชัดเจนว่าใครมีประโยชน์และไร้ประโยชน์ทั้งที่เปิดมาน่าสนใจ

เดิมคิดว่าตัวละครมีไม่มาก หนังน่าจะเล่ากระจายบทได้ดีตามสัดส่วนแนะนำตัวเองในต้นเรื่อง แต่กลายเป็นบางคนถูกลืมหรือใช้ได้ไม่คุ้มค่า เนื่องจากแต่ละคนมีทักษะที่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่คาดหวังอย่างมากคือการใช้ความแตกต่างมาเป็นจุดเด่นการทำแผน ในที่นี้เสียดายคนที่เป็นหมอเพราะไม่ได้โชว์ทักษะการแพทย์ (ยกเว้นต้นเรื่องที่ห้ามเลือดปิดปากแผล) แม้จะเสียดายของที่หนังมีอยู่ในตัวก็อดปฏิเสธภูเขาระบิดเผากระท่อมคือความบันเทิงไม่เปลี่ยนแปลง

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)