Terminator: Dark Fate (2019) ฅนเหล็ก : วิกฤตชะตาโลก

Terminator: Dark Fate (2019)
ฅนเหล็ก : วิกฤตชะตาโลก
Director: Tim Miller
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
Grade: B

รู้สึกดีที่เห็นทิศทางของหนังที่ควรเป็น หรือเป็นอีกด้านหนึ่งให้เห็นในแบบ What if ดีกว่าภาค Terminator Genisys (2015) ที่แหกกฎและทำลายความดั้งเดิมอย่างไม่มีเยื่อใย โดยเฉพาะ จอห์น คอนเนอร์ ที่เป็นถึงผู้นำต่อต้านต่อสู้ Skynet แต่กลายเป็นตัวร้ายจน Timeline แตกหน่อยากจะอธิบายยังไงเป็นยังไง จึงเป็นภาคที่ดูมั่วและแปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน


สำหรับ Terminator: Dark Fate (2019) จะมีเนื้อเรื่องต่อตรงจาก Terminator 2: Judgment Day (1991) เท่ากับว่าภาคที่สร้างต่อและหลังจากนั้นอย่าง Terminator 3: Rise of the Machines (2003), Terminator Salvation (2009) และ Terminator Genisys (2015) ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (ส่วนตัวมองเป็นอีก Timeline เสมือนอีกด้านหนึ่งถ้าสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนก็เป็นอีกอนาคต)

Timeline เดิมเล่าตรงตัวและย้อนเข้าหาตัวเองได้อย่างไม่มีข้อกังขา (ยกเว้น Terminator Genisys (2015) ทำเอาไว้แสบมาก ทุกอย่างปั่นป่วนไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นอยากยกวางไว้สักที่ที่ไม่เหมารวมกับ 4 ภาคแรก) แต่มีช่องว่างหลายอย่างชวนให้อยากรู้ ซึ่งคำตอบคงออกมาในรูปแบบเดิมๆคือ จอห์น คอนเนอร์ รอดชีวิตจากการตามล่าของหุ่นยนต์สังหารที่ Skynet ส่งมาจากอนาคต กระทั่งเติบโตกลายเป็นผู้นำและชนะในที่สุด


แต่ที่นี่หาก จอห์น คอนเนอร์ ที่เป็นดังผู้นำอยู่ไม่รอดให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเขาเป็นใครล่ะ ระหว่างที่จบจากเหตุการณ์ใน Terminator 2: Judgment Day (1991) ยังมีหุ่นยนต์สังหารที่ Skynet ส่งมาเรื่อยๆไม่หยุดหย่อนจะรับมือยังไง แน่นอนว่ายากที่จะอยู่หรือหลบซ่อนจนถึงเวลาดังกล่าว ฉะนั้น Terminator: Dark Fate (2019) จึงเป็นภาคที่เล่าต่างจาก Timeline ปกติ นั้นคือจะเป็นยังไงหาก จอห์น คอนเนอร์ ถูกสังหารสำเร็จ

แม้ จอห์น คอนเนอร์ จะต้องจบชีวิตลง แต่ทุกอย่างที่ปูไปถึง Skynet ได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ดังนั้นการที่มนุษย์จะถูกทำลายโดย AI จึงไม่น่าเกิดขึ้น ทว่ายังคงเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม และเปลี่ยนชื่อเป็น Legion ซึ่งอนาคตมีกลุ่มต่อต้านต่อสู้เหมือนเดิมทุกอย่าง แค่เปลี่ยนผู้นำเป็น แดนี ราโมส (Natalia Reyes) เช่นเดียวกันพล็อตเรื่องการย้อนเวลาที่ไม่ต่างกันเลย


พล็อตเรื่องไม่ต่างจากเดิม มิหนำซ้ำยังเข้ารูปเดิมเกือบทุกอย่าง แค่เปลี่ยนตัวละครเปลี่ยนชื่อเท่านั้น ดังนั้นภาคนี้จึงดูธรรมดาในแง่เนื้อเรื่อง แต่จะคาดหวังให้เติมแต่งไปมากกว่านี้คงควบคุมได้ยาก ทำให้คำตอบที่ได้จึงมีเท่าที่เห็นและเข้าใจง่ายๆเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นอีกด้าน ซึ่งจะเป็นในทิศทางไหนนั้นก็มีให้เห็นอยู่แล้วในแต่ละภาคเสมือนกรณีตัวอย่าง ไม่ว่ายังไงก็ลงเอยด้วยการที่มนุษย์และ AI สู้กันอยู่ดี

น่าเสียดายที่ขึ้นต่อจากภาค Terminator 2: Judgment Day (1991) แต่ชวนให้นึกถึงภาคที่ตัวเองตัดหน้าหลายอย่าง ความสดใหม่จึงไม่มีเพราะวนอยู่เรื่องเดิมๆ จึงเป็นภาคที่ผิดหวังเพราะมาช้าเกินไป นอกจากฉากแอ็คชั่นและความรู้สึกเก่าๆที่เหลือคือเฉยและเชย (ผิดถนัดกับ Terminator Genisys (2015) ที่สร้างความนอกคอกจนเป็นความเกลียดที่ลึกๆก็ชอบนะ)


การดึงนักแสดง Linda Hamilton ที่เคยรับบท ซาราห์ คอนเนอร์ ใน The Terminator (1984) และ Terminator 2: Judgment Day (1991) กลับมาอีกครั้งช่วยให้การประติดประต่อการเป็นภาคต่อชัดเจน และดูขลังกว่า Terminator Genisys (2015) ที่นำ Emilia Clarke มารับบทนี้เช่นเดียวกัน (อีกนัยหนึ่งเป็นการบอกด้วยแหละว่านี้คือของจริง ต้นฉบับต้องมาเองถึงจะดูเจ๋งและกันเองกว่า)

เช่นเดียวกันกับนักแสดง Arnold Schwarzenegger ที่กลับมารับบทเป็นหุ่นยนต์สังหาร T-800 อีกครั้ง ซึ่งการปรากฏตัวไม่ได้รู้สึกน่าตื่นเต้นแบบใน Terminator Genisys (2015) ที่เอามายำกลายเป็นหุ่นยนต์ขายมุกตลก ให้ความรู้สึกหุ่นยนต์พี่เลี้ยงมากกว่าหุ่นยนต์ฆ่าคน แน่นอนว่าการที่ จอห์น คอนเนอร์ ถูกสังหารสำเร็จเป็นฝีมือของหุ่นยนต์สังหาร T-800 ตัวนี้ ทว่ามีจุดที่น่าสนใจคือการเรียนรู้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์


ความบาดหมางระหว่าง ซาราห์ คอนเนอร์ กับ T-800 ที่ฆ่า จอห์น คอนเนอร์ ได้สำเร็จค่อนข้างจืดชืดและเชื่อถือได้ยาก อาจด้วยบทที่ไม่มากจึงสัมผัสความสัมพันธ์ของตัวละครได้ไม่ติดแน่น สิ่งที่เห็นคือการช่วยกันต่อสู้ที่ให้อารมณ์เกลียดฝ่ายหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายทำใจยอมรับผิด ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายที่เกลียดจะใจอ่อนลงไปบ้างและเกิดช่วงเวลาซื้อใจ เนื่องจากสิ่งที่ทำลงไปตอนนั้นเป็นไปตามคำสั่ง ตอนนี้เริ่มเข้าใจและคิดอะไรหลายอย่างได้แล้วถึงคุณค่าชีวิต

สิ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีคือ T-800 ทำภารกิจสำเร็จแล้วจะทำอะไรต่อไป เพราะระบบ Skynet ได้ถูกทำลายไปแล้วใน Terminator 2: Judgment Day (1991) เท่ากับในอนาคตจะไม่มีสงครามเกิดขึ้น แต่การยังมีหุ่นสังหารโผล่มาเรื่อยๆอาจเป็นการตกค้างระหว่างเวลา (น่าเสียดายที่ประเด็นนี้ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนมากนัก รวมไปถึงอนาคตที่สุดท้ายยังเหมือนเดิมทั้งที่ต้นตอถูกทำลาย) ซึ่งทำอะไรนั้นก็ให้คำตอบสั้นๆว่าเฝ้ามองดูมนุษย์ ไม่ใช่การดูเฉยๆ แต่เป็นการเรียนรู้ชีวิตความเป็นไป ด้วยเหตุนี้เองจึงมีความใกล้เคียงมนุษย์เพราะเข้าใจความหมายชีวิตมากขึ้นจากการเป็นอิสระ


Mackenzie Davis รับบทเป็น เกรซ ผู้หญิงที่เดินทางมาจากอนาคตเพื่อทำภารกิจปกป้อง แดนี ราโมส ซึ่งตามเนื้อเรื่องไม่ได้รู้สึกแปลกเพราะเหมือนพล็อตเดิม ที่น่าสนใจเห็นจะเป็นสรีระร่างกายของตัวนักแสดงเองที่สูงและสมส่วนด้วยกล้ามเนื้อชัดเจน ทำให้โดดเด่นยิ่งกว่า Natalia Reyes ทั้งที่บทคือคนสำคัญต่ออนาคต แต่ดูธรรมดามากไปหน่อย

ส่วนตัวร้าย REV-9 มีความน่าสนใจด้านความสามารถที่แบ่งร่างได้ ระหว่างตัวที่เป็นโครงเหล็กกับตัวที่เป็นโมเลกุลเหลว ทำให้แกร่งด้วยทักษะที่เหลือล้นเอามากๆ แต่ตัวนักแสดง Gabriel Luna สวมบทบาทนี้ได้ไม่ดีเท่าไรนัก แม้จะเป็นหุ่นสังหารทำหน้านิ่งหน้าแข็ง แต่เทียบเคียงกับนักแสดง Robert Patrick ที่เป็น T-1000 ใน Terminator 2: Judgment Day (1991) ไม่ได้เลย


ถึงทิศทางของหนังชุดนี้จะวนเวียนอยู่ที่เดิม แค่จับเปลี่ยนตัวละครใหม่มาใส่แทนที่ตัวละครเก่า แต่ไม่สามารถสร้างความประทับใจและสนุกเท่าสองภาคแรกได้เลย ยังมีอะไรหลายอย่างที่ห่างไกลอยู่มากในแง่ของอารมณ์ความรู้สึก สิ่งที่ Terminator: Dark Fate (2019) ทำได้คือฉากแอ็คชั่นที่สร้างความบันเทิงกับการต่อสู้ การยิงการระเบิด และฉากวินาศสันตะโร การสร้างความผูกพันให้ตราตรึงใจคนดูนั้นเห็นจะไปไม่สุด แต่ยังไงเสียมีความชอบอย่างหนึ่งคือไม่จำเจกับตัวละครเดิมๆที่ควรเปลี่ยนแปลงให้เห็นเป็นอย่างอื่นบ้างได้แล้ว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)