![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiirMG-lbIL5yJtZf4gG3H1jgXsjJv5o6HuyjDumJcoxaXJs_SMFQYDHgle2uANJ3glUrJ5wg1rpQcC3Ju-ek8yrjq0DLtvM5SSb6xO_T-i6cKMlMv2iRSV7fTRv9OvuOPv2e0fUsbDT6g/w426-h640/OUATIH-24X36-V2-1500x2250.jpg)
Once Upon a Time... in Hollywood (2019) | กาลครั้งหนึ่งใน...ฮอลลีวู้ด | A
Director: Quentin Tarantino
Genres: Comedy | Drama
ความรู้สึกตอนดูหนังที่อิงจากเรื่องจริงหรือประวัติศาสตร์สักอย่างจะอบอวลด้วยเรื่องนั้นๆอย่างตั้งใจ ประหนึ่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่ถูกตั้งค่าเน้นใจความสำคัญเป็นหลัก เรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ไม่สำคัญจะกลืนหายไป ยิ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งไม่เข้าพวกยิ่งต้องปรุงแต่งให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ผู้กำกับ Quentin Tarantino เขาก็คือเขา ถ้าให้ทำตามความจริงที่เกิดขึ้นแค่นั้นคงไม่ต่างกับนั่งเรียนกวดวิชาที่น่าเบื่อหน่าย
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRSBuwv471fGwfOUQLJaz54ShqMJ774JT2v8rjocgzt2iIJ_x941Kcxi-ib13J4vQ5HhS6H_KiBrUwF48p3usZDpZca1Yk9oDNwCbU2ahhyphenhyphen1A1kVpw8vfR9CtdacO7XsRF39XDO7I1P8o/w640-h272/AAAtNb8s_o.gif)
เรื่องจริงมีอยู่ว่าในปี 1969 มีโศกนาฏกรรมการตายของนักแสดงหญิงของฮอลลีวูด หรือ Sharon Tate ซึ่งการเสียชีวิตของเธอนั้นเกิดจากกลุ่มฮิปปี้คลั่งลัทธิของ Charles Manson จากเหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนใจถึงความโหดร้ายทารุณ เนื่องจากช่วงเวลานั้นมีการตั้งท้องอยู่ แม้จะไม่เป็นที่พูดถึงกันบ่อยนัก แต่เป็นเรื่องสะเทือนขวัญที่ใครจะนึกฝันว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านเพื่อเธอ ทั้งที่กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอดอยู่แล้ว
นึกภาพไม่ออกเกี่ยวกับหนังที่จะเริ่มต้นตรงไหนและจบยังไง เพราะหนังมาพร้อมกับความยาว 2 ชั่วโมง 40 นาทีเศษ ยาวขนาดที่พล็อตเรื่องที่อิงจากเหตุการณ์ไม่น่าจะร่ายยาวได้ขนาดนี้ แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้กำกับ Quentin Tarantino ที่ทำหน้าที่ปรุงแต่งเขียนบทเองด้วยตัวเองนั้นการันตีในสิ่งที่เกิดขึ้นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4j_ysd9_MYgofA-i4ghS3X2LE5LN6E1c3pKq9yik7mIdyZ6Zc3887o9rKn5aqIbOJ_j5WDNTKjIXJ3ML0tOuYjP-B3bVw_AX7zw6ArIQDDnwvboLVrqmFsBoaz7JcR6G_74Oh0Y1ieoM/w640-h266/bruce-lee-.jpg)
สไตล์การเล่าเรื่องจะไม่เข้าใครออกใคร โดยเฉพาะกลุ่มคนดูทั่วไปที่เห็นบทสนาต่างคนต่างคุยกันอย่างเดียว แทบจะไม่มีฉากแอ็คชั่นให้ตราตึงตื่นจากภวังค์ได้เลย กระนั้นการนั่งดูคนคุยกันกลายเป็นนิสัยของหนัง Quentin Tarantino ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ ถ้าตั้งใจฟังในสิ่งที่ตัวละครปริปากพูดจะรู้สึกสนุกเพราะบทสนทนามีความคมคาย บางประโยคแทบจะหาจากหนังเรื่องอื่นไม่ได้ ทำให้ดูแปลกแม้เป็นฉากธรรมดา บางฉากคุยกันเฉยๆยังกลายเป็นฉากแอ็คชั่นที่กินกันไม่ลง มันส์ยิ่งกว่าหยิบปืนยิงกันอีกด้วยซ้ำ
นอกจากนี้วิธีเล่าเรื่องยังแตกหน่อต่างคนต่างมีเส้นเรื่องของตัวเอง จะบรรจบที่ตรงไหนเป็นสิ่งที่บอกยาก เหมือนต่างคนต่างทำหนังของตัวเองแล้วมาตัดต่อไว้ที่เดียวกัน แม้จะแปลกเรื่องความเกี่ยวพันแต่สุดท้ายคือเรื่องเดียวกันที่เกิดขึ้น ณ เวลาเดียวกัน จะเกี่ยวข้องบ้างหรือไม่เกี่ยวเลยก็เป็นการเล่าถึงตัวละครนั้นอย่างหมดเปลือก บางทีอดแปลกไม่ได้ว่านี้คือหนังของใครกันแน่ ประเด็นหลักคืออะไรและอยู่กับใคร เพราะอย่างที่รู้คืออิงจากเหตุฆาตกรรม แล้วไหนล่ะแรงจูงใจ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-LQYbDTrIIN2sH4PtWyg23OGzkm-EifBJy5JUE1qeBd5OWSWbD8AxyW1Whumd_s6QX88vtTahtoJLD6kXKODKTGGew1pFn3LVLDMBv2PrtMNRSxydKfWNLFnHphLmFhV1OrCKkrhBs6k/w640-h262/once-upon-a-time-in-hollywood-pussycat.jpg)
ตลอดทั้งเรื่องเป็นการพูดถึง ริก ดาลตัน (Leonardo DiCaprio) ที่ชีวิตผันแปรตกต่ำลงเรื่อยๆ ชีวิตนักแสดงเริ่มดับลงจากงานที่จ้างน้อยลง รวมถึงระดับงานที่เกรดรองลงมาเรื่อยๆ ความพยายามดิ้นรนหางานจึงเป็นภาพสะท้อนของคนเคยดัง กาลเวลาทำให้ชีวิตเริ่มเปลี่ยน เฉกเช่น คลิฟฟ์ บูธ (Brad Pitt) สตันท์แมนที่ตามติดชีวิตไปด้วยกัน ประหนึ่ง"มากกว่าพี่น้อง แต่เป็นรองแค่เมีย" สามารถทำให้หรือเป็นอะไรได้หมดสมกับตัวแทนยิ่งกว่าตัวจริงเสียอีก
ขณะที่เรื่องรอง(ทั้งที่ควรเป็นเรื่องหลัก) คือการเล่าถึง ชารอน เทต (Margot Robbie) ในแบบให้ความสำคัญน้อยมาก มีปรากฏไม่กี่ฉากเท่านั้น ราวกับต้องการเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวว่าในช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีการเปลี่ยนแปลงยังไง มีหลายสิ่งหลายอย่างผสมทีละนิดทีละหน่อย ซึ่งรู้สึกครบในแง่การอธิบายทั้งที่ไม่มีการเจาะรายละเอียดมากนัก เช่น หนังคาวบอยที่เริ่มโรยรา ทีวีซีรีส์ที่นิยมน้อยลง วงการนักแสดง ชีวิตจริงกับโลกมายา สงครามเวียดนาม ยาเสพติด กลุ่มฮิปปี้ และอีกมากมายที่รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfA6VPwkO5sn86ZlNGHtxHpNOY13smKLH1irNtShqnP-t3E1nwkDYASe8f3TDtBVXkRmZnLjk4jyzBWlEAtqHu0xTBYbSpPVg1m1pAbwoP73A4SodY__XOwHvG3mA_z45ZhYXVqZuiuD0/w640-h290/giphy.gif)
บรรยากาศยุค 60s-70s คือสิ่งที่หนังถ่ายทอดได้ครบอรรถรส เสมือนได้เข้าไปสัมผัสช่วงเวลานั้นอยู่จริง เป็นการเก็บรายละเอียดที่รอบคอบอย่างมาก อีกทั้งยังปรุงแต่งได้สนุกสนานลืมความซีเรียสของหนังไปทันที แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องไม่คาดฝันใน 30 นาทีสุดท้ายที่เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่ง 10 นาทีที่เหลือคือความดุเดือดเลือดพล่าน พลิกอารมณ์กลายเป็นหนังคนละม้วน ใครที่ตั้งตัวไม่ทันจะต้องเหวออย่างมาก เพราะไม่ใช่การหักมุมหรือหักหน้าผู้ชมแต่อย่างใด มันคือลายเซ็นของผู้กำกับ Quentin Tarantino ที่สื่อไปถึงพวกคลั่งลัทธิของ Charles Manson ที่สมควรโดนแบบนี้!
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSpp9OmaWTANYtetgg4vm6TjSAmhmoyPWSChLIrh0kHGleAFiy5GrUrEpD_mRUVXIaJG6hkMXRxi956yBpL4vTR80FBxua1JroXEfHQLEn-f2WegX-Sm9ljxsmcrU_VMpL8jo-9Ngrb34/w426-h640/once-upon-a-time-in-hollywood_poster_goldposter_com_17.jpg)