The Black Phone (2021) สายหลอน ซ่อนวิญญาณ

The Black Phone (2021) | สายหลอน ซ่อนวิญญาณ | A
Director: Scott Derrickson
Genres: Horror | Thriller

แค่พล็อตก็ซื้อความอยากดูอย่างมาก เมื่อ ฟินนีย์ (Mason Thames) ถูกชายปริศนาจับตัวขังไว้สถานที่แห่งหนึ่งพร้อมกับโทรศัพท์บ้านสีดำที่พังแล้ว ทว่ามีเสียงโทรเข้าและคุยกับเขา ก่อนจะรู้ว่าคือเหล่าวิญญาณที่ถูกจับมาก่อนหน้านี้ ซึ่งกำลังสอนให้หาวิธีเอาตัวรอดและสู้กับคนที่เคยฆ่าพวกเขา


อาจจะหาความสมเหตุสมผลไม่เจอจากการมีผี แต่สิ่งที่เล่าคือบนโลกนี้อาจมีพลังเหนือธรรมชาติซ่อนอยู่ รวมไปถึงความศรัทธาในพระเจ้าที่อาจมอบพลังบางอย่างเพื่อช่วยแก้ปัญหาและเป็นที่พึ่งทางใจ เช่น เกว็น (Madeleine McGraw) น้องสาวของฟินนีย์ที่อยู่เคียงข้างพี่ชายเสมอ มีความเชื่อในฝันของตัวเองที่มักเกิดขึ้นจริง ทำให้ภาวนาขอพระเจ้าให้ฝันถึงพี่ชาย

ก่อนจะเกิดเรื่องลักพาตัวจะเกริ่นถึงชีวิตของเด็กที่ต้องก้าวไปเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตามลำดับ สำหรับฟินนีย์คือลูกคนโตที่เผชิญปัญหา Coming of Age จากความกลัวที่ไม่กล้าสู้และขาดความมั่นใจ ทำให้ถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ แต่โชคยังเข้าข้างที่มีเพื่อนใจสู้คอยสกัด รวมไปถึงน้องสาวที่กล้าตัดสินใจสู้กับคนที่แกล้งพี่ชายอย่างไม่สนใจความเป็นเด็กสาวตัวน้อย

การให้คนอื่นคอยช่วยเหลืออาจไม่ใช่ทุกครั้งที่โชคเข้าข้าง เมื่อเริ่มมีข่าวเด็กถูกลักพาตัวเพิ่มขึ้น จนกระทั่งในวันที่ฟินนีย์ถูกจับอย่างไม่อาจหนีรอด วันนั้นเองที่ต้องพึ่งตัวเองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้


“เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ”

หลังจากฟินนีย์ถูกจับคือช่วงเวลาที่หนังเล่าลุ้นระทึกเพิ่มขึ้น แต่ระหว่างนั้นได้สร้างความประหลาดจากเสียงโทรศัพท์ ซึ่งแต่ละคนที่โทรเข้ามาคือเด็กที่หายตัวและจำชื่อตัวเองไม่ได้ สิ่งที่พูดคุยคือช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะความพยายามที่จะเอาตัวรอดของแต่ละคน

คล้ายหนังผีเพราะบรรยากาศน่ากลัว ทว่าสิ่งที่เห็นไม่ต่างจากพลังงานแฝงหรือสำนึกสุดท้ายที่ถูกขังไว้ในห้อง ทุกคนที่ตายมีความแค้นและอยากให้คนที่มีชีวิตสามารถรอดกลับไปได้ ทำให้เลือกโทรหาฟินนีย์ให้สานต่อสิ่งที่ตัวเองทำค้างไว้ ตั้งแต่ขุดรูเพื่อทะลุไปอีกฝั่ง ปีนกำแพงด้วยสายไฟเพื่อออกทางหน้าต่าง ทุบผนังที่เปราะบางเพื่อออกทางตู้เย็น เตือนภัยอันตรายจากกลอุบายที่หลอกล่อไปทำร้าย และฝึกทักษะต่อสู้ให้เข้มแข็งทั้งกายและใจ


แม้มีผีชี้แนะวิธีหนีในรูปแบบต่างๆก็ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ทำให้สิ่งที่เห็นในไคล์แม็กซ์คือการประยุกต์ทุกอย่างมาใช้ร่วมกัน ซึ่งขอบอกว่าฉากนี้ทำได้ถึงอารมณ์และสุดขีดอย่างมาก จากเด็กขี้กลัวค่อยๆมีความกล้ามากขึ้น ก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองเพื่อเผชิญหน้าสิ่งที่ตัวเองหลีกเลี่ยง ช่วงเวลานั้นคือได้กำลังใจพร้อมสู้มาก

แม้บทบาทของ Ethan Hawke จะแสดงไม่มากนัก แต่ทุกครั้งที่ปรากฏกายจะมาพร้อมลีลาความโรคจิตที่ดูดี แต่หน้ากากที่ใส่สวนทางเหมือนแอบบอกเป็นนัยที่ร้ายกาจ น่าเสียดายที่มิติตัวละครไม่ลึกเท่าไรนัก กระนั้นเป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งเกี่ยวกับครอบครัวของฟินนีย์และเกว็นที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรุนแรงจากการแสดงความรักผิดๆ


ฟินนีย์และเกว็นคือสองพี่น้องที่อยู่กับพ่อ (Jeremy Davies) ซึ่งมีระเบียบค่อนข้างสูง แม้จะปล่อยให้เล่นตามประสาเด็ก ทว่าเมื่อทำผิดหรือแปลกไปจากเดิมจะคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ฉากที่แสดงถึงการสั่งสอนด้วยความรุนแรงคือการใช้เข็มขัดฟาดไปที่หลังของเกว็น สาเหตุจากการเล่ารายละเอียดการหายตัวไปของเด็กคนอื่นเพราะมีอยู่ในความฝัน ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ตำรวจมี เมื่อพ่อรู้เรื่องจึงห้ามพูดถึงความฝันเพราะไม่ใช่เรื่องจริง ฝันคือฝันเท่านั้น ห้ามเพราะกลัวเหมือนภรรยาที่ทำตามความฝันจนฆ่าตัวตาย

การแสดงถึงความรักด้วยความรุนแรงผ่านการฟาดเข็มขัด ไม่ต่างกับการดักรอฟินนีย์ที่หนีเมื่อไรจะโดนจับฟาดเมื่อนั้น ถ้าอยู่ในกรอบถึงจะรอด แต่ใครจะอยู่ในกรอบที่น่าอึดอัดได้ ดังนั้นเกว็นจึงเหมือนอีกด้านของฟินนีย์ที่พร้อมกล้าลุยกล้าเสี่ยง แม้จะเจ็บก็พร้อมรับแต่โดยดี


การดักรอให้ฟินนีย์หนีคือความต้องการหาความสนุกและหาข้ออ้างใช้ความรุนแรง ซึ่งจับมาทรมานทันทีคงกระทำอย่างไร้อารมณ์ แต่ถ้าจัดการตอนที่เหยื่อดิ้นรนจะถึงใจที่ได้ลงมือมากกว่า กระนั้นมองย้อนกลับไปแล้วยังไม่มีฉากไหนรุนแรงเท่าพ่อตีลูกด้วยเข็มขัด มีทั้งความเจ็บปวดและสับสน รุนแรงที่สุดของเรื่องทั้งที่ไม่ใช่ผู้ร้ายให้ตำรวจไล่จับ

สำหรับ The Black Phone (2021) ใช้บรรยากาศยุค 70’s ที่ไม่ได้เห็นบ่อยเท่าไรนัก พอเป็นยุคที่ไม่คุ้นเคยจึงรู้สึกแปลกบรรยากาศ ชอบการทำภาพให้ดูเก่าชวนหลอนในบางจังหวะ ความไม่คุ้นเคยทำให้ทุกอย่างน่าติดตาม คงไม่แนะนำอะไรไปมากกว่าต้องดูให้ได้นะ

ปล. คนร้ายในหนังได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Ted Bundy, John Wayne Gacy และ Jeffrey Dahmer ซึ่งทั้งหมดเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สร้างชื่อเสียงสะเทือนขวัญไปทั้งประเทศ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)