Fido (2006) ซอมบี้เพื่อนรัก

Fido (2006)
ซอมบี้เพื่อนรัก
Director: Andrew Currie
Genres: Comedy | Drama | Horror | Sci-Fi
Grade: B+

ไอเดียเก๋ๆประมาณว่าในยุค 1950 เกิดมีรังสีประหลาดจากอวกาศที่แผ่มายังโลกจนทำให้คนตายลุกคืนชีพออกมาไล่กินคนเป็นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จนกระทั่งปัญหานี้ได้รุกรามระบาดไปทั่วจนเกิดสงครามระหว่างคนเป็นที่ยังมีลมหายใจกับคนตายที่เรียกกันว่าซอมบี้เพราะมีความกระหายแต่เขลาปัญญา ทว่าสงครามยิ่งเยื้อยื้อมากเท่าไหร่ก็ยิ่งลดโอกาสมีชีวิตรอดมากขึ้นจนในที่สุดฝ่ายคนเป็นที่กำลังลดลงกับซอมบี้ที่เพิ่มมากขึ้นก็มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อมีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่ไม่ธรรมดา


สิ่งนั้นคือปลอกคอควบคุมซอมบี้(ถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต่างอะไรกับปลอกคอหมา)ที่มีไว้เผื่อลดความหิวกระหายเนื้อคนออกไป จะคงเหลือเพียงสำนึกลางๆที่เคยเป็นคนแต่ก็ไม่มีความฉลาดหลงเหลืออยู่ ผลก็คือเริ่มมีการกักบริเวณได้หนาแน่นมากขึ้นจนสามารถสร้างเป็นรั้วกำแพงแบ่งเขตอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีซอมบี้หลุดเข้ามา ในขณะเดียวกันถึงจะมีซอมบี้ก็ยังมีนวัตกรรมชิ้นพิเศษนี้อยู่ ทว่าการควบคุมซอมบี้ให้ปราศจากความหิวอาจเป็นวิธีที่ดีหลังจากพยายามฆ่ามาอยู่นานจนค้นพบว่าควรจัดการที่สมอง กระนั้นมันยังไม่คุ้มประโยชน์เมื่อนำซอมบี้ที่ไร้พิษสงมาทำงานแทนคนเป็นที่อยู่ในช่วงขาดแคลน เช่น ซอมบี้ส่งหนังสือพิมพ์ ซอมบี้ส่งนม ซอมบี้ทำงานสวน ซอมบี้แม่บ้าน และอีกสารพัดซอมบี้ที่ซื่อสัตย์ต่องานที่ตัวเองทำโดยไม่ปริปากถามว่า"ซอมบี้ก็เหนื่อยนะเจ้านาย"

ทำนองคล้ายล้อเลียนเช่นเดียวกับ Shaun of the Dead (2004) แต่กับ Fido หนักไปทางประเด็นเรื่องสังคมมากกว่าการกัดจิกหนังซอมบี้ด้วยกันเอง จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไม่รู้สึกถึงความโหดแบบฉีกเลือดเนื้อที่ต้องมาสายโหดเพื่อคอหนังสยองขวัญหรือจะกล่าวถึงซอมบี้ในแบบที่ควรจะเป็นในเชิงสิ่งเลวร้ายที่น่ารังเกียจ กระนั้นธรรมเนียมที่หาความแตกต่างกันไม่คือเรื่องการเป็นซอมบี้ต่อเป็นทอดๆที่ยังคงสเต็ปเดิมที่ใครโดนกัดก็เป็นอันติดเชื้อต่อไป ทว่าตามปกติแล้วเชื้อไวรัสที่แพร่จากคนสู่คนนี้ไม่ได้มีที่มาที่ไปแน่ชัดเพราะเดิมทีซอมบี้ถูกมองให้เป็นทาสรับใช้และไม่ได้มีความน่ากลัวเท่ากับแนวคิดปัจจุบันที่มองเป็นหายนะล้างโลกหรือจะบอกว่าเป็นวิฤกติการทำลายตัวเองเพราะหลายๆเหตุผล เช่น ธรรมชาติลงโทษอย่างการริเริ่มมาจากเชื้อของลิงที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นซอมบี้อยู่ระยะหนึ่งของวงการหนังซอมบี้ การทดลองเพื่อพัฒนาอาวุธเป็นใหญ่ในโลกจนท้ายที่สุดตัวทดลองกลายเป็นดาบสองคมกัดกินและลุกลามเป็นเชื้อโรคทั่วประเทศ ทว่ากับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกินคาดเดาเพราะมาจากรังสีนอกโลกที่ไม่รู้มาได้ยังไงแม้จะบอกเป็นเรื่องธรรมชาติก็ตาม แต่มันก็ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นพิษตลอดเวลาโดยเฉพาะกับคนตายที่ต่อให้ไม่ถูกกัดก็ฟื้นคืนชีพกลายเป็นซอมบี้เดินไล่กัดคนอย่างไม่รู้สาเหตุ ประเด็นของรังสีที่มาแบบไม่ทราบสาเหตุคงเป็นการสื่อถึงความไม่รู้ที่เรารู้ตัวดีกับในโลกแต่พอกับนอกโลกก็ไม่ต่างกับกบในกะลาที่เผชิญความกลัวจนต้องทำสงครามล้างบาง


Night of the Living Dead (1968) ของผู้กำกับ George A. Romero อาจเป็นต้นแบบสมัยยุคซอมบี้อันแสนจะรุ่งเรืองด้วยภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนจากความแข็งทื่อที่กล่าวกันว่าซอมบี้คือความเขลาเพราะคิดไม่เป็นนอกจากกำลังกลายเป็นซอมบี้ที่มาจากเชื้อโรคที่ควบคุมคนจนเกิดกัดกินกันเองและตายได้ต่อเมื่อสมองถูกทำร้าย ในแง่ประเด็นเสียดสีค่อนข้างชัดเจนอย่างมากใน Fido ที่รู้จักหยิบยืมสาระจากซอมบี้ก่อนหน้านี้มาปรับปรุงให้กัดถึงทรวง เดิมก็เริ่มจากสงครามระหว่างซอมบี้กับคนที่อิงจากยุคสมัยแล้วช่วงนั้นคงไม่พ้นการมีสงคราม ซึ่งในยุคนั้นสงครามที่เด่นที่สุดคือสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฆ่าประชากรไปอย่างไร้เหตุผลเพียงเพื่ออำนาจมาซึ่งการปกครองแค่นั้น ในแง่ของคนสู้คนก็ไม่ต่างกับคนตายสู้คนเป็นที่สุดท้ายก็ต่างแย่งชิงซึ่งกันและกัน แต่อะไรนั้นฝ่ายที่ครองความล้ำในแนวคิดก็เป็นฝ่ายชนะคนตายในท้ายที่สุดเพราะมีข้อแตกต่างตรงที่คิดเป็นและใช้วิธีที่ใหม่อยู่เสมอ ตั้งแต่ระเบิด สร้างกำแพง และปลอกคอควบคุมซอมบี้มาถึง การควบคุมซอมบี้ได้ไม่ได้แปลว่าอันตรายจะหมดไปเนื่องจากความเขลาของซอมบี้ยังมีอยู่ ซึ่งความเขลานี้ไม่ได้แตกต่างจากคนเป็นสักเท่าไหร่ในแง่การเลียนแบบหรือทำตามที่ยังไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ไตร่ตร่องให้ดี ดังนั้นถึงเอามาเป็นเครื่องทุนแรงประหยัดแรงงานคนเป็นแต่ก็มีสิทธิ์จะทำงานพังได้เสมอแบบเดียวที่ซอมบี้ส่งนมขว้างขวดใส่ประตูหน้าบ้านเพราะเห็นซอมบี้ส่งหนังสือพิมพ์ทำเช่นนั้น บางทีการเรียนรู้อาจเริ่มจากการทำตามแต่มันก็ควรจะมาจากความเข้าใจด้วยว่าเหมาะสมหรือไม่กับตัวกระทำเอง แบบเดียวกับการนำซอมบี้มาไว้ในบ้านเพียงเพื่ออวดรวยแทนที่จะหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำด้วยตัวเองจะดีกว่า


เฮเลน โรบินสัน (Carrie-Anne Moss) ตัดสินใจซื้อซอมบี้ตัวแรกเข้าบ้านเพราะเธอมองว่าการมีซอมบี้สักตัวอาจหมายถึงเรื่องของตำแหน่งทางบ้านที่ดูดีมีฐานะ เนื่องจากซอมบี้ที่ถูกควบคุมได้ด้วยปลอกคอนั้นก็กลับคืนสู่สภาพที่ปลอดภัยไร้พิษสงและมีความหลงเชื่อที่ง่ายต่อคำสั่งจนกลายเป็นแรงงานที่ถูกซื้อทำธุรกิจจนคนเป็นสามารถอยู่สุขสบายได้แม้จะต้องอยู่กับคนตายอย่างไม่ละอายใจเลยว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ร่วมโลกควรเป็นเช่นไร สิ่งแรกที่ซอมบี้ถูกมองคือมันถูกควบคุมได้จริงและปัญหาก็เริ่มถูกแก้ไขมากขึ้นจากวงขยายที่ค่อยๆกลับคืนสู่ปกติ สิ่งที่สองเป็นเรื่องซอมบี้ที่ถูกคุมได้แล้วจะยังไงต่อ จะกำจัดก็ยิงที่หัวก็หมดเรื่องทว่ามันดันมีผลประโยชน์มากจนกลายเป็นค้าคนตายอย่างถูกกฎหมาย กับบิล โรบินสัน (Dylan Baker) ที่เป็นสามีของเฮเลนไม่เห็นด้วยที่เห็นซอมบี้สวมปลอกคอมาอยู่ในบ้านโดยที่เขาเองไม่รู้เรื่องมาก่อน อีกทั้งยังรู้สึกมีปัญหากับซอมบี้อย่างสูงเพราะมันมีราคาที่ต้องจ่าย ทว่าปัญหาคือปมในใจที่เกลียดซอมบี้และรู้สึกละอายอยู่ในใจเพราะเรื่องอดีตที่ต้องเสียคนเป็นอันที่รักไป ดังนั้นบิลจึงมีธุรกิจง่ายๆสำหรับเขาที่สะดวกและดูเป็นความดั้งเดิม นั้นคืองานเรื่องหลุมศพที่สอดคล้องกับกฎที่ว่าหากมีคนตายต้องนำลงหลุมทันทีโดยแยกหัวและตัวออกจากกันเพื่อเป็นการรับประกันว่าหลังจากสิ้นลมหายใจจะไม่ฟื้นคืนมาเป็นซอมบี้ไล่กัดในเขตปลอดภัยได้ และทุกอย่างต้องมาถึงจุดเปลี่ยนเพราะลูกชายอย่างทิมมี่ โรบินสัน (Kesun Loder) ที่สร้างความสัมพันธ์กับซอมบี้

ไฟโด้ (Billy Connolly) คือชื่อที่ทิมมี่ตั้งขึ้นมากับซอมบี้ที่แม่ของเขาซื้อมาโดยที่เจ้าตัวก็ตั้งไปเพื่อความคิดที่ว่ามันควรจะมีชื่อมากกว่าการเรียกซ้ำไปซ้ำมาว่าซอมบี้ทั้งที่มันควรจะเป็นเพียงการบ่งบอกถึงคนที่ตายไปแล้ว สำหรับทิมมี่เป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความฉงนใจเกี่ยวกับซอมบี้โดยเฉพาะทำไมเราถึงไม่สามารถผูกมิตรกับพวกมันได้ อีกทั้งซอมบี้ก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไรในใต้ดินที่ถูกฝังดินโดยยังไม่มีเรื่องการแยกหัวกับตัวออก จะแน่ใจได้อย่างไรว่าซอมบี้จะไม่ขึ้นมาข้างบนพื้นดิน ที่สำคัญในแนวคิดของทิมมี่ก็ดูท่าจะกัดแรงพอสมควรเมื่อมาคิดว่าซอมบี้กับคนเป็นจะแตกต่างอะไรกันมากถ้ายังคงเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน มันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้เพราะซอมบี้ไร้ความรู้สึกและการหยั่งคิด และเมื่อทิมมี่ได้เจอกับไพโด้ก็มีความผูกพันขึ้นมาจนหลายคนยังต้องประหลาดใจที่เขาจะเลือกจากทาสเป็นเพื่อน ในทีแรกทิมมี่ก็ไม่ชอบไฟโด้เท่าไรเพราะท่าทางเชื่องช้าจนไม่สามารถเล่นสนุกอะไรได้อย่างที่ต้องการแบบวัยเด็กเล่นกันอย่างปาลูกเบสบอล อันที่จริงมีต้นเหตุปลายเหตุมาจากคนในครอบครัว คนนั้นคือบิลที่ทำหน้าที่ของพ่อได้น้อยเกินไปจนทิมมี่รู้สึกถูกทอดทิ้งขาดความสำคัญไปอย่างปริยาย ดังนั้นเมื่อไฟโด้เข้ามาในชีวิตจึงเสมือนการอุดช่องว่างนี้ที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนคลายความกังวลที่ดี แม้จะเป็นพล็อตง่ายๆกับประเด็นเด็กขาดความอบอุ่นจากคนในครอบครัวและโดนเพื่อนกลั่นแกล้งเพียงเพราะมองเรื่องซอมบี้ที่ต่างออกไป แต่การเอาซอมบี้มาผูกมิตรก็จัดว่าแปลกพอควรกับสไตล์หนังที่น่าจะสยองแต่ดันกลายเป็นแนวครอบครัวไปซะนี่


แต่เชื่อว่าเนื้อเรื่องก็มีหลายอย่างที่จัดระเบียบได้ดีโดยเฉพาะเรื่องตัวละครที่ไม่ฟุ่งเฟ้อมากเกินไปแถมยังทำได้ไม่เกินหน้าตาของโทนหนังที่ออกมาแนวครอบครัวที่ยังคงปนความตลกร้ายทั้งเรื่องและสยองนิดๆแบบไม่แหวะเกินหน้าตาที่ออกจะมีสีสัน การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างสนุกสนานที่ค่อยเล่าเรื่องเกี่ยวกับซอมบี้กับสภาพผู้คนที่เหลือรอดอยู่ในแบบต่างมุมมอง ส่วนเนื้อเรื่องก็เกิดข้อผิดพลาดมาจากตัวไฟโด้เองเพราะทิมมี่ออกพาเดินออกนอกบ้านจนปล่อยละเลยใช้ให้ไปเก็บลูกบอลก่อนจะเจอข้อผิดพลาดอันร้ายแรง

ผลคือไฟโด้กลับมาเป็นซอมบี้ที่มีความดุร้ายกระหายจนเผื่อไปฆ่าใครบางคนก่อนอุปกรณ์ปลอกคอจะกลับมาทำงานปกติอีกครั้ง ในขณะที่ทิมมี่ก็รู้ถึงเหตุการณ์นี้ภายหลังก่อนจะจัดการศพดังกล่าวและทำความสะอาดไฟโด้เพื่อลบคาบเลือดซึ่งควรจะไม่มี ในทีแรกคิดว่าคนที่ถูกไฟโด้กัดจะต้องเป็นตัวการเกิดแพร่เชื้อซอมบี้แน่นอนซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตัวหนังก็ฉลาดพอจะไม่หมกหมุ่นกับการจัดการเรื่องซอมบี้มากเกินไปแต่เป็นการแก้ปัญหาเสียมากกว่า อย่างเช่นฉากทิมมี่สู้กับซอมบี้ตัวต่อตัวกลางดึกที่แสดงศักยภาพถึงความเกินเด็กธรรมดาที่สู้อย่างไม่กลัวแม้จะทำให้ให้ซอมบี้หัวหลุดก็ตาม จะว่าเป็นตลกร้ายก็ไม่เชิงเพราะดูๆแล้วความน่ารำคาญในหนังหาแทบไม่มีเลยแถมยังจุดเซอร์ไพรส์แปลกๆหลายจุดอีกด้วยอย่างเรื่องไฟโด้ที่ค่อยๆมีสำนึกแบบมนุษย์มากขึ้นจนอยู่เหนือการควบคุมของปลอกคอที่ไม่จำเป็นต้องใช้ควบคุมอีกต่อไป ทว่าฉากที่ดูจะไม่ธรรมดาคือท่าทางมองเฮเลนแบบประหนึ่งต้องความงามจนแม้แต่ซอมบี้ที่เฉยชายังมองแบบตาค้างได้ นับว่าเป็นหนังซอมบี้ที่แปลกและสนุกในการเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่องไม่น่าเบื่อ กระนั้นอาจผิดใจคอสยองขวัญที่ไม่ได้ดูโหดหรือมีฉากแหวะๆตามประสาหนังซอมบี้ที่ต้องกัดกระชากอะไรทำนอง นึกซะว่าหันมาดูเอาบรรเทิงครอบครัวก็ไม่เลวนะเพราะมันไม่ซีเรียสไงล่ะ


Fido มีปมประเด็นหลายอย่างเก็บซ่อนไว้ในตัวหนังค่อนข้างเยอะและมีการเปรียบเทียบตามฉากต่างๆได้ถึงอารมณ์แบบกัดจิกและเสียดสีอย่างเข้าเป้าจนแม้แต่นิตยสาร Life ยังเปลี่ยนคำหน้าปกเป็น Death แทนไปซะนี่ แต่อะไรนั้นการคือการทำให้ภาพลักษณ์ของซอมบี้ที่น่าจะโหดน่ากลัวดูจะกลายเป็นอารมณ์ที่แผ่วลงไปจนแทบไม่มีความเกรงกลัวเท่าไหร่นัก กระนั้นข้อเสียเห็นจะไม่พ้นความสมเหตุสมผลที่ยังแปลกใจในเรื่องปลอกคอควบคุมซอมบี้ที่เอาเข้าจริงมันใช้ได้จริงๆรึ ประเด็นนั้นอาจดูเลื่อนลอยแต่ก็พอจะล้างเหตุผลเรื่องการเกิดซอมบี้ได้เช่นกันเพราะถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องสมมติ แต่ข้อเสียของหนังจริงๆคงเป็นเรื่องของกรอบที่วางไว้เล็กไปน้อยเนื่องจากเป็นหนังทุนต่ำไม่ได้มีอะไรมากแบบหนังซอมบี้ดังๆที่ต้องยกพวกมาเป็นฝูงหรือจะอาวุธที่นำมายิงกระหน่ำอย่างเมามันส์ ทว่ากับเรื่องนี้มีแนวคิดที่ต่างออกไปและดูจริงจังมีระเบียบที่สุดในหมู่หนังซอมบี้ที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตมากกว่าการเอาตัวรอดท่ามกลางซอมบี้ นับว่าเป็นหนังซอมบี้ที่ดีและสนุกเรื่องหนึ่งที่เล่าเรื่องได้กลมกล่อม มีการผสมผสานตลกร้ายอย่างลงตัวและเป็นกันเองกับผู้ชมโดยไม่ต้องกลัวว่าคนที่ทนดูฉากสยองๆจะรับไม่ไหวเพราะเรื่องนี้แทบจะหาอะไรที่แหวะๆไม่มีเลยนอกจากความรู้สึกอมยิ้มระหว่างทิมมี่กับไฟโด้

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)