Oculus (2013) โอคูลัส ส่องให้เห็นผี

Oculus (2013)
โอคูลัส ส่องให้เห็นผี
Director: Mike Flanagan
Genres: Horror | Mystery
Grade: B+

ก็ว่าเป็นหนังผีที่ประหยัดงบทุนอีกเรื่องจากสภาพที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากการมุ่งเน้นหนักไปทางเนื้อเรื่องในขณะที่องค์ประกอบต่างๆก็ล้วนเป็นตัวเสริมเท่านั้น ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของผีที่ออกมาน้อยแสนน้อยนอกจากความเฮี้ยนผ่านทางกระจกบานเก่าแก่ที่ปล่อยให้ตัวละครเผชิญหน้าแบบสลับหน้าหลังระหว่างอดีตที่แสนโหดร้ายกับปัจจุบันที่เครียดแค้น โดยเรื่องก็มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยที่ทำท่าเหมือนกับว่ากระจกบานนี้กำลังถูกใครบางคนจับจ้องอยู่ แน่นอนว่าคนนั้นคือเคลีย์ รัสเซล (Karen Gillan) หญิงสาวที่มีเรื่องต้องสะสางกับกระจกบานนั้นโดยพยายามตามสืบสาวเพื่อให้ได้ครอบครองกระจกนั้นมาในงานประมูลในฐานะคนดูแลสินค้า นอกจากเธอแล้วยังอีกคนคือทิม รัสเซล (Brenton Thwaites) น้องชายที่พึ่งออกจากโรงพยาบาลบำบัดจิตเพราะความโหดร้ายที่วัยเด็กที่ถูกมองว่าอาจเป็นตัวอันตรายได้ในอนาคตหากไม่รีบแก้ไขความสับสนในใจ แน่นอนว่าเคลีย์คือคนที่เตรียมพร้อมในทุกๆอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ากระจกบานนี้ที่สมควรจะเป็นกระจกธรรมดาที่แสดงถึงเงาสะท้อนนั้นไม่ได้สะท้อนมาเพียงแค่เงา แต่กลับสะท้อนบางอย่างที่มีพลังเหนือธรรมชาติออกมา แน่นอนว่าทิมที่อยากลบล้างความทรงจำในอดีตต้องทำใจอีกครั้งเพราะพี่สาวที่อยากพิสูจน์ในความผิดปกติว่ามันคือเรื่องจริงที่ไม่ใช่ด้วยเหตุบังเอิญหรืออย่างที่หลายคนกล่าวหา มันต้องมีอะไรบางอย่างเก็บเอาไว้และสิ่งนั้นพี่น้องรัสเซลต้องหันหน้าไปเผชิญความโหดร้ายอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะไม่ใครตัวช่วยเหมือนเมื่อก่อนและมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ต้องพึ่งตัวเอง


หลังจากดูจบก็รู้สึกได้ทันทีอย่างแรกคือเจ้าความตกใจจังหวะตุ้งแช่อยู่ไหน ทำไมไม่มีเลยสักฉากหรือจะมีแต่ไม่ได้กระตุ้นสารอะดรีนาลีนให้หลั่งแบบฉับพลันตามด้วยการเต้นของหัวใจอย่างกระทันหันเช่น The Conjuring (2013) ที่สร้างความตกใจด้วยบรรยากาศที่แสนจะแม่นยำหรือจะคลาสิคก็คือ The Exorcist (1973) ที่เล่าเรื่องได้เย็นเยือกชวนหวั่นวิตกกับการมีถูกผีสิงหรือการไล่ผีที่แสนจะทุรนทุรายเหนื่อยตาย ทว่า Oculus คือการเผชิญแบบรู้อยู่ก่อนว่าจะเจอกับอะไรบ้างแม้จะไม่รู้เลยก็ตาม แต่ด้วยความพร้อมที่ตระเตรียมอย่างเข้มงวดของเคลีย์ที่มาทั้งกล้องอัดบันทึกภาพเหตุการณ์ตลอดเวลาเพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นคือของจริงหรือถูกให้คิดไปเองว่าทำจริงๆ ประเด็นการเตรียมพร้อมรับมือเป็นอะไรที่เข้าท่าอย่างมากและมักมาตอนท้ายเรื่องเพื่อจำกัดผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติหลังจากรับไม่ได้หรือกลัวจนผวา ซึ่งมักเป็นอะไรที่แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่หมอผีหรือการสืบหาความจริงเพื่อนำมาสู้ก็ย่อมไม่พ้นท้ายที่สุดแล้วก็สู้กับผีแบบตรงๆไปเลย กระนั้นทักษะอย่างหนึ่งการเล่าเรื่องคือการเดินเรื่องแบบสลับที่มีทั้งอดีตสมัยเคลีย์ (Annalise Basso) และทิม (Garrett Ryan) ยังเด็ก ที่ๆเวลานั้นยังมีแต่ความสนุกเห็นพี่น้องวิ่งไล่กวดทั่วบ้านก่อนจะมีความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเพราะกระจกใบนั้นที่ตั้งวางไว้ในห้องทำงานของอลัน รัสเซล (Rory Cochrane) หรือพ่อที่นั่งทำงานอยู่ประจำ จะว่าแล้วนี่แหละเป็นข้อดีที่เล่าเรื่องสลับไปมา อย่างน้อยก็เข้าใจแรงจูงใจได้ทันทีว่าทำไมสองพี่น้องนี้ถึงอยากพิสูจน์ความจริงว่ากระจกคือตัวการของเรื่อง


ปกติหนังแนวผีมักมีความลึกลับในตัวและมักจะเกริ่นอยู่เสมอเพื่อเรียกความสนใจ แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องนี้ดันเล่นตรงๆมาที่กระจกโดยที่ผู้ชมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมแถมยังเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือรับมือแบบครบชุดจากความรู้ที่สั่งสมมาจากการสืบประวัติการไปมาของกระจกบานนี้ว่ามีคนตายไปแล้วกี่ศพตั้งแต่มีการบันทึกสมัยไหนต่อสมัยไหน ในจุดนั้นเองที่เรียกความหลอนมาได้จากประวัติเก่าแก่ที่ยิ่งฟังยิ่งดูขลังมากขึ้นกับการลงรายละเอียดตั้งแต่ชื่อของคนที่มีกระจกตลอดจนจุดจบของชีวิตที่ไม่มีความปกติเลยสักราย แน่นอนว่าเคลีย์เตรียมรับมือเป็นอย่างดีด้วยการนำกล้องอัดเทปมาอัดตั้งแต่เริ่มแรกที่ทำการทดลองเพื่อคอยดูว่ากฎที่ตายตัวจะเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งในที่นี่หมายถึงพืชหรือต้นไม้ที่ปลูกไว้ในบ้านจะเหี่ยวเฉา สัตว์เลี้ยงหายไปอย่างลึกลับ เริ่มมีอะไรแปลกๆกับตัวเองเหมือนถูกบ่งการอย่างไม่รู้ตัวจนกว่าจะผลลัพธ์จะออกมา โดยส่วนตัวแล้วในจุดนี้ช่วยทำให้เราไม่ต้องไปคอยหาจับจุดให้เสียเวลาเพราะประเภทหนังผีมักวนเวียนอบู่ไม่กี่อย่างและ Oculus แหกกฎนั้นได้ในการลำดับเนื้อเรื่องที่เป็นมากกว่าแค่สลับอดีตปัจจุบัน เนื่องจากรวมแม้กระทั่งมิติปมตัวละครที่ตระหนักในกระจกบานนี้อยู่ก่อนแล้ว ปกติหนังผีถ้าไม่ใช่ภาคต่อหรือตัวละครซ้ำจะหนีไม่พ้นความไม่เชื่อในช่วงแรกๆและกลายเป็นความอึดอัดของผู้ชมว่าเมื่อไรจะรู้ตัวเสียทีว่าที่เจออยู่เนี่ยคือผีจริงๆ แน่นอนว่ากับตัวละครที่เจอมาก่อนแล้วในช่วงปัจจุบันต้องเป็นแบบนั้น แล้วกับในอดีตล่ะมันเป็นยังไงบ้าง คำถามนี้คล้ายจะบอกว่าก็อีหรอบเดิม กระนั้นจริงแท้ตัวละครในเรื่องหัวไวกว่าที่คิดจนจับจุดได้ว่าไม่มีคนในบ้านที่เป็นบ้าเสียสติขึ้นมาแต่เป็นเพราะกระจกใบนั้นที่บ่งการชีวิตอยู่เบื้องหลัง

มารี รัสเซล (Katee Sackhoff) คือตัวละครที่สำคัญจนมากพอจะทำให้ผู้ชมสับสนได้ในช่วงแรกก่อนที่กระจกผีในเรื่องจะแผลงฤทธิ์ออกมาชัดเจนด้วยความรู้สึกหัวอกของเพศหญิงที่มีหน้าที่ทั้งแม่และภรรยา อะไรคือสิ่งที่เนื้อหาเรื่องนี้กำลังบอกในแง่ความจริงก็คงไม่พ้นเรื่องครอบครัวเป็นหลักด้วยการหาความจริงด้วยการตัดช่วงเวลาในปัจจุบันที่ทิมชิงชังพ่อเพราะฆ่าแม่เนื่องจากโรคประสาท ในขณะที่เคลีย์มั่นใจว่าพ่อตัวเองปกติเนื่องจากมีบางอย่างที่กระจกคือตัวการแต่หาข้อเท็จจริงไม่ได้ ถ้ากลับไปเราจะเห็นว่าทิมพึ่งจะออกจากโรงพยาบาลเพราะสุขภาพจิตของทิมที่พร้อมต่อการใช้ชีวิตภายนอก ความแตกต่างระหว่างทิมกับเคลีย์หลังจากพบกันคือเคลีย์ยังมั่นใจในเรื่องที่เกิดขึ้นว่าไม่ใช่เพราะอย่างที่หลายคนลงบทสรุปโทษพ่อของตัวเองส่วนทิมได้มีความคิดต่างออกไปและแย้งด้วยว่าสาเหตุการตายของแม่มาจากพ่อที่คลุมคลั่งเนื่องจากแม่เสียใจที่รู้ว่าพ่อมีชู้เพราะทำตัวลับๆล่อๆประจำจนเกิดทะเลาะกันในท้ายที่สุด สำหรับทิมคือความเลวร้ายที่ขัดแย้งในใจอย่างสูงเพราะไม่เข้าใจว่าเคลีย์จะขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่ากระจกคือตัวการทำไม มันคือความซับซ้อนที่ไม่ใช่เป็นกับตัวละครแต่กำลังเล่นกับผู้ชมด้วยความเข้มแข็งด้านจิตใจ ทิมไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดมาจากกระจกเพราะถูกปลุกฝังในสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงส่วนเคลีย์เชื่อว่าเป็นกระจกเพราะไม่เคยลืมอดีต สิ่งที่น่าสนใจคือตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับครอบครัวนี้และความจริงควรไปทางไหน


อะไรก็ไม่เท่าความสนุกที่รู้จักผสมผสานหลักวิทยาศาสตร์เข้าไปจนน่าเชื่อถือเพราะมีเหตุผลรองรับจนเริ่มตะหงิดแล้วเป็นเพราะผีจริงๆหรือ? ในขณะที่ด้านครอบครัวก็มาจากปัญหาภายในที่เกาะกินสุขภาพจิตใช่หรือไม่ ความสับสนที่สร้างขึ้นจากการเถียงกันระหว่างทิมและเคลีย์เริ่มค่อยๆกระจ่างขึ้นเมื่อการเล่าเรื่องนั้นมาจากการสลับอดีตกับปัจจุบันเพื่อเชื่อมโยงเข้าหากัน ก็นับว่าในจุดที่น่างงและสงสัยสามารถคลี่คลายได้กระจ่างดีไม่ตกบกพร่อง ส่วนหนึ่งคงมาจากที่ตัวละครน้อยและเจาะจงเฉพาะไม่ต่างกับธรรมเนียมหนังสยองขวัญที่เลือกสถานที่ปิด อย่างน้อยเรื่องสถานที่ปิดแทนที่จะหนีจากบ้านพ้นกระจกผีดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะคิดหนีก็กลายเป็นว่าต้องวนมาที่บ้านตัวเองซะงั้น กับสมองที่สั่งว่าทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการแต่รู้สึกตัวอีกทีกลับตรงกันข้ามเพราะมัวแต่หลงระเริงหรือหวาดกลัวอยู่ เช่นเดียวกับฉากเปลี่ยนหลอดไฟที่แม้จะไม่น่ากลัวอะไรแต่ด้วยสำนึกลึกๆเราก็หวาดระแวงอยู่ไม่ใช่น้อยจนเผลอตัวได้ แม้จังหวะตุ้งแช่หลอกคนดูจะหาไม่ได้แต่ความหลอนคือสิ่งที่เน้นหนักเข้มข้นมากขึ้นราวกับหนังสืบสวนที่ไล่หาความจริงระหว่างสองช่วงเวลาที่บางครั้งก็เข้าเป็นเนื้อเดียวจากสถานที่เดียวกัน การลำดับเรื่องอาจมีงงบ้างสำหรับคนที่ตามไม่ทันเพราะไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนแต่ก็ดูรู้เรื่องได้ไม่ยากจากมิติตัวละครที่หาจุดเชื่อมโยงของสองตัวละครทั้งเคลีย์และทิมในปัจจุบันกับอดีต

สิ่งที่ชอบคือบรรยากาศที่ดูจะหนักแน่นมากขึ้นจากผู้ที่ลองของตั้งหน้าตั้งตาเตรียมรับมือเป็นอย่างดีแต่พอได้เผชิญหน้าเข้าจริงๆกลับกลายเป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยากที่จะฝืนให้ตัวเองหลุดพ้นจากการถูกหลอกหลอนที่เดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จจนจับจุดอะไรไม่ได้เลย ก็คล้ายๆกับช่วงแแรกของทิมที่ออกจากโรงพยาบาลที่บอกถึงสาเหตุในอีกรูปแบบหนึ่งของเหตุการณ์อันเลวร้ายเมื่อครั้งอดีตแต่เมื่อยิ่งสัมผัสความหลอนมากขึ้นก็กลายเป็นว่าความจริงที่ถูกปิดกั้นก็เข้ามาในหัวอีกครั้งจนรู้ตัวอีกทีก็หนีไม่พ้นเสียแล้ว


ในขณะที่เคลีย์คือคนที่นำหน้าเสมอในฐานะพี่ที่ต้องดูแลน้อง จากเดิมนั้นท่าทางเป็นหญิงแกร่งแต่พอเอาเข้าจริงก็มีจุดบอบบางอ่อนแอได้ง่ายเมื่อถึงโอกาส ก็ไม่รู้ทำไมแม้จะดูไม่มีอะไรมากมายแต่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด ในที่นี่ยังรวมแม้กระทั่งผีที่โผล่มาน้อยทว่าไม่เป็นที่ตกใจแถมยังรู้สึกวังเวงอย่างสูงคล้ายใกล้ถูกทอดทิ้งเข้าไปทุกทีและปรากฎได้อย่างคุ้มทุนเน้นการหลอกผู้ชมแต่เอาแบบซึ่งๆหน้ากะให้หลอนขึ้นสมองแทนมากกว่า นับว่าเป็นหนังผีที่รวบรัดดีในการเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง

เดิมทีก็เป็นหนังสั้นของผู้กำกับ Mike Flanagan เรื่อง Oculus: Chapter 3 - The Man with the Plan (2006) จึงน่าจะพอจับจุดในเรื่องการหาลูกเล่นที่แตกต่างจากหนังผีทั่วๆไปได้ ถ้าจะแนะนำหนังผีที่กำลังหลอกผู้ชมด้วยสไตล์ผีหลอกคงไม่พ้นเรื่องนี้เรื่องหนึ่งเพราะไคล์แม็กซ์ตอนท้ายของเรื่องที่สร้างความเจ็บปวดได้อย่างยิ่งยวดและช็อกพอสมควรเลยทีเดียว บางครั้งหนังผีที่ต้องเน้นที่เนื้อเรื่องนี่แหละจึงจะหลอนและน่ากลัวไปอีกแบบ เพราะอย่างน้อยก็ช่วยทำให้ดูเป็นมิติและไม่ซ้ำซากกับมุขเดิมๆเสมอไป เช่นเดียวกับตัวละครเคลีย์กับทิมที่มีปูมหลังที่น่าสนใจไม่อ่อนหลวมให้เนื้อเรื่องออกมาดูง่ายแต่อย่างใด กระนั้นข้อเสียคงเป็นเรื่องที่ผิดแนวหนังผีชวนดูช้าๆจนน่าหลับได้และขาดการกระตุ้นแบบฉับพลัน แน่นอนว่าจะอะไรนั้นการลำดับเรื่องราวอีกทั้งบรรยากาศและความสมเหตุสมผลก็ใช่ได้ดีไม่น้อยเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)