Street Fighter (1994) ยอดคนประจัญบาน

 
Street Fighter (1994)
ยอดคนประจัญบาน
Director: Steven E. de Souza
Genres: Action | Adventure | Comedy | Thriller
Grade: D
  
ถ้าพูดถึงเกมต่อสู้ใครๆต้องพูดถึงชื่อสตีทไฟเตอร์ที่กลายเป็นเกมฮิตตลอดกาลจนมีให้เห็นอย่างมากในเกมตู้หยอดเหรียญ ซึ่งเอกลักษณะความโด่งดังมาจากโดดเด่นของตัวละคร การต่อสู้ และเนื้อเรื่องที่สนุกชวนน่าติดตาม แต่จะให้เป็นที่รู้จักและดังจริงๆเริ่มต้นที่ Street Fighter II: The World Warrior ที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นจนได้หน้าตัวละครตามหนังเรื่องนี้ที่ถอดแบบมาอีกที ซึ่งโปรเจ็คนี้ก็ได้ผู้กำกับ Steven E. de Souza เป็นมือใหม่แต่เก๋าเรื่องเขียนบทมาก่อนอย่าง Die Hard 2 ภาคแรกและอีกหลายเรื่องในทางสายแอ็คชั่นเป็นหลัก เนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อนประเดิมด้วยตัวร้ายของเรื่องด้วยนายพลเอ็ม ไบสัน (Raul Julia) ผู้ครองครองอาณาจักรชาดาลูที่ตอนนี้ได้ยึดตัวประกันเอาไว้หลายคนและจะจัดการฆ่าให้หมดหากอเมริกาไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องส่งเงินหลายล้านสหรัฐมาให้ ซึ่งตอนเปิดเรื่องก็ทำให้ดูเหมือนเป็นสงครามกลางเมืองจนกระทั่งระหว่างออกสื่อผู้การไกล์ (Jean-Claude Van Damme) ก็ขอท้านายพลเอ็ม ไบสันเอาซะดื้อๆจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้าจนได้ แต่ที่ทำแบบนั้นเป็นแผนของผู้การไกล์จะได้รู้ที่ตั้งของนายพลเอ็ม ไบสันแอบซ่อนอยู่ที่ไหน ที่เห็นคือเนื้อเรื่องสเกลใหญ่สุดที่ว่าพล็อตพระเอกไปจัดการเหล่าร้ายเพื่อช่วยตัวประกัน ประเด็นคือเนื้อเรื่องย่อยลงแหละที่ทำเอาปวดหัวเสียนี่กระไร


ก็เหมือนจะสนุกถ้ามองจากภายนอกแต่เอาเข้าจริงๆแทนที่จะเป็นหนังแอ็คชั่นที่อย่างน้อยขอฆ่าเวลาก็ดีดันกลายเป็นหนังตลกเสียมากกว่าเนื่องจากการใส่มุขตลกนั้นเอง จะว่าการใส่มุขอาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ถ้าหนังต้องการเพิ่มสีสันขึ้นมาหน่อยเพราะอย่างน้อยก็เป็นถึงเกมต่อสู้สุดฮิตที่เด็กเล่นได้ผู้ใหญ่เล่นดีไม่จำเป็นต้องซีเรียสจริงจังแถมเด็กๆอาจชอบก็ได้ที่เห็นตัวละครสุดโปรดมาโผล่ในหนังเพียงแค่อาจมีผิดวิสัยไปบ้างนิดหน่อย ส่วนจะขำมากน้อยแค่ไหนอันนี้ดูจะแป้กเป็นส่วนใหญ่แต่พอมีมุขตลกให้อมยิ้มอยู่ไม่น้อย บางทีตัวละครก็ทำเป็นเล่นตลกเกินไปหน่อยอย่างผู้การไกล์ที่เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวจริงจนบางทีขาดความจริงจังของเรื่อง ตอนเล่นมุขก็ช่วยให้ดูสนุกขึ้นมาบ้างก็จริงแต่บางทีมันออกจากต๊องไปหน่อยจนคิดอยู่ว่าถ้ามากกว่านี้คงไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่เน้นต่อสู้แต่จะกลายเป็นหนังตลกล้อเลียนเกมสตีทไฟเตอร์ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันคงแปลกๆ การใส่มุขตลกยังพอไปไวแต่การเล่าเรื่องนี้สิที่รับไม่ได้โดยเฉพาะการเดินเรื่องที่โยกไปโน้นทีทางนี้จนไม่รู้มารวมตัวกันได้ยังไงในตอนท้ายเรื่อง ก็อย่างที่เริ่มต้นเอาไว้เป็นพล็อตเรื่องของนายพลบ้าอำนาจกับผู้การที่ต่อต้านที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากนอกจากตัวละครสองตัวที่กล่าวมาแต่พอเดินเรื่องไปได้หน่อยจะเพิ่มเข้ามาอีก 4 คนได้แก่ ริว (Byron Mann) กับเคน (Damian Chapa) และวิคเตอร์ สกัด (Wes Studi) กับเวก้า (Jay Tavare) ที่ต่างอยู่คนละพวก ตรงนี้จะมีเรื่องอยู่ว่าเคนกับริวมาทำธุรกิจกับวิคเตอร์แต่ถูกจับได้ทีหลังว่าหักหลัง ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องสู้กันก่อนจะถูกขัดจังหวะโดยผู้การไกล์และจับทุกคนไปขัง ต่อมาผู้การไกล์เห็นแววริวกับเคนจึงยื่นข้อเสนอให้ตีสนิทกับวิคเตอร์เพื่อตัวเองจะได้พ้นข้อกล่าวหาและพาไปยังรังของนายพลเอ็ม ไบสัน

นี่ขนาดเริ่มต้นก็เห็นตัวละครจากเกมมาอย่างคลับคลั่งแต่แค่นี้ยังไม่หมดเพราะยังมีเพิ่มทีเดียวอีก 3 ละคร นั้นคือซุนลี (Ming-Na Wen),บัลร็อก (Grand L. Bush) และอี ฮอนดะ (Peter Navy Tuiasosopo) ที่ปลอมตัวมาเป็นแก๊งนักข่าวเพื่อตามสืบเรื่องของนายพลเอ็ม ไบสันโดยที่ซุนลีมีความแค้นฝังรากลึกพ่อถูกฆ่าตาย นอกจากนั้นยังไม่หมดเมื่อนายพลเอ็ม ไบสันทำการทดลองกับมนุษย์ให้เป็นสัตว์ดุร้ายเอาไว้ใช้ทำสงครามเป็นทหารที่ไร้ความกลัวมีแต่การทำลายอย่างบลังก้า (Robert Mammone) และยังมีคนที่ถูกจ้างมาทำงานข้างกายคือแซนกีฟ (Andrew Bryniarski) มาเป็นหน่วยอารักษ์ขาป้องกันผู้รุกราน ก็เนี้ยอย่างที่เห็นว่าตัวละครมันมากมายกายกองแค่ไหนโดยเฉพาะยิ่งกับคนที่คุ้นเคยเกมนี้อย่างดีคงได้ร้องเฮตัวนี้ก็มาตัวนั้นก็มา แต่ประทานโทษที่แต่ละตัวละครดันมีบทบาทเฉลี่ยให้เกือบเท่าๆกันซึ่งหมายความว่าตลอดการรับชมจะได้เห็นตัวละครนั้นทีนี้ทีสลับไปมาจนชักจะสับสนความจำเป็นของการกระจายที่บางทีไม่มีความจำเป็นอะไรเลยแต่ขอโผล่ทีให้มีบทน้อยจะได้ไม่ถูกลืม อารมณ์ประมาณว่าเป็นหนังที่ต้องการทำมาเพื่อกอบโกยแฟนๆสตีทไฟเตอร์ด้วยตัวละครอย่างล้นหลามเอาให้ครบเกือบทุกตัวเท่าที่บทหนังจะใส่ไปได้มากที่สุดไม่สนใจสาระหรือมิติตัวละครกันอีกแล้ว ดูไปก็แอบเหนื่อยไปที่ตัวหนังหลวมมากเพราะขาดการปูเรื่องใดๆทั้งสิ้น มาถึงตัวร้ายจับตัวประกันแล้วคนที่น่าจะเป็นพระเอกก็โผล่ออกมาพร้อมแผนที่ไม่สมบูรณ์แต่โชคช่วยได้คนมีฝีมือมาเป็นสายสืบระหว่างนั้นมีกลุ่มคนที่ความแค้นส่วนตัวมาขัดแผนการบางส่วนแต่ด้วยอุดมการณ์เดียวกันจึงร่วมมือเข้ากำจัดตัวร้าย สรุปเนื้อเรื่องมีแค่นี้ส่วนที่เหลือคือมุขไงล่ะ


บางทีก็ทึ่งที่มีตัวละครมากขนาดๆนี้ในเรื่องแถมยังทำให้ทุกตัวมีบทของตัวเองมาโชว์ของได้อีกด้วย แต่นั้นแหละที่ทำให้ไม่มีเนื้อหาอะไรเลยแม้การปูตัวละครยังไม่มีให้เห็นสักนิดด้วยซ้ำการเข้าถึงตัวละครจึงเป็นไปแบบง่ายๆแค่เห็นว่าเป็นตัวอะไรในเกมแค่นั้นจบ เรื่องจะมาอธิบายเหตุอะไรนี้ไม่มีเลยนอกจากหาเรื่องเข้าสู้กันแล้วเผอิญในส่วนของฉากแอ็คชั่นก็ทำให้รู้ว่าเรื่องนี้ตกต่ำกว่า Mortal Kombat (1995) ที่สร้างจากเกมต่อสู้เหมือนกันอย่างมาก แม้เรื่องนี้ในส่วนของเนื้อเรื่องจะยังไม่ค่อยซับซ้อนอะไรมากแต่เรื่องของฉากแอ็คชั่นทำให้ออกมาสนุกน่าติดตาม ผิดกับ Street Fighter ที่ยังไงก็ไม่มีส่วนสสนุกสักฉาก เนื่องจากความหวังที่เห็นการต่อสู้แบบมันส์เป็นเพียงเด็กตัวน้อยที่ยังไม่รู้จักคำว่าชกมาสู้กันนอกจากใช้กำลังอัดๆกันไปและเป็นแบบนี้ทั้งเรื่องเหมือนอวดว่าตัวเองเก่ง จนกระทั่งท้ายเรื่องได้เห็นคู่ที่อยากจะเจอกันมานานระหว่างผู้การไกล์กับนายพลเอ็ม ไบสันที่สู้กันไม่ต่างกับเด็กน้อยไม่ชวนรู้สึกเป็นการต่อสู้กันอย่างจริงจังเหมือนหยอกล้อเล่นก็ไม่เชิง เดิมที่นายพลเอ็ม ไบสันตามฉบับเกมมีความสามารถพิเศษใช้พลังจิตได้และเน้นๆคือเหาะกับปล่อยพลังได้ ซึ่งตัวหนังมีอธิบายในจุดนี้จากเดิมเป็นคนปกติแต่พอสู้กับผู้การไกล์ไปสักระยะก็อัพเกรดตัวเองปล่อยพลังได้และเหาะได้ตามฉบับเกม ถ้าไม่ว่าอะไรในจุดนี้คือความยอดแย่อย่างมากที่พอรู้ว่าตัวเองมีพลังก็เหาะเป็นว่าเล่นโฉบเฉี่ยวไปมาอยู่แค่นี้ก่อนจะถูกเตะเข้าไปทีนึงถึงหยุดเหาะเสียที ที่ฮาจริงๆคือคู่อี ฮอนดะกับแซนกีฟที่ไม่ได้สู้อะไรเลยนอกจากต่างคนต่างผลักแถมมีแซวเป็นยักใหญ่ถล่มเมืองจำลองขนาดเล็กของนายพลเอ็ม ไบสันที่มากับเสียงประกอบก็อตซิลล่า?!

Street Fighter คือหนังที่สร้างจากเกมได้ยอดแย่อย่างมากเรื่องหนึ่งทั้งที่มีโอกาสไปต่อได้อีกมากถ้าไม่รีบยัดตัวละครมาโผล่กันคนละนิดคนละหน่อย อันที่จริงตัวละครเยอะขนาดนี้เหมาะกับแนวทางของซีรี่ย์มากกว่าหรือทำเป็นภาคต่อไปเก็บตัวละครกับเนื้อเรื่องให้ครบโดยไม่ต้องรีบน่าจะดูไปได้ไกลกว่า อีกอย่างที่รู้สึกสะดุดมากคือตัวหนังพยายามอิงความเป็นจริงให้มากที่สุดทำให้ไม่เห็นความเว่อร์ๆแบบในเกมที่ปล่อยพลังได้อย่างที่รู้จักและคุ้นๆกันดีกับท่าฮาโดเคนเป็นปล่อยพลังคลื่นหมัดหรือท่าโชริวเคนเป็นท่าเชยหมัดขึ้น ซึ่งก็คุ้นๆจากริวที่เป็นตัวละครเอกของท้องเรื่องสตีทไฟเตอร์ฉบับเกม ส่วนฉบับหนังคือตัวประกอบไม่ใช่พระเอกที่เหมือนจะบังเอิญหลงทางมามากกว่า บางทีช่วงแรกไม่คุ้นกับตัวละครเท่ากับเห็นหน้าตาตัวละครแต่พอช่วงหลังใครเป็นใครจะเห็นได้ทันทีจากการแต่งกายที่เหมือนพยายามอย่างมากในการวางเนียนให้ตัวละครแต่งกายเหมือนเกมทั้งที่เป็นชุดอื่นก็ยังได้ ทำให้ชุดบางตัวละครดูแปลกและเด่นกว่าชาวบ้านชาวช่องเช่นซุนลีแต่งเป็นอาหมวยหลังถูกนายพลเอ็ม ไบสันจับตัว ริวกับเคนเปลี่ยนมาใส่ชุดคาราเต้(หรือยูโดไม่ทราบ)เมื่อเข้าฐานนายพลเอ็ม ไบสันได้สำเร็จ ที่ประหลาดใจสุดคือบัลร็อกไปหาชุดนักมวยมาจากไหนและมาเปลี่ยนชุดตอนท้ายเรื่องที่จู่ๆก็โผล่มาในสภาพนักมวยชวมนวมหมัด ด้วยความตั้งใจที่จะถอดมาจากเกมต้องทำขนาดเอาการแต่งกายให้เหมือนอีกด้วย ยังไม่หมดเท่านั้นเพราะจริงๆยังมีตัวละคจากเกมเป็นผู้ช่วยไกล์คือแคมมี่ (Kylie Minogue) และที.ฮอว์ค (Gregg Rainwater) จากตัวละครที่ไม่ถึงกับโดดเด่นมาเด่นช่วงไคล์แม็กซ์เมื่อไปถล่มฐานทัพนายพลเอ็ม ไบสันจากชุดทหารทั่วไปมาเปลี่ยนชุดเอาซะดื้อๆทั้งที่ในเรื่องไม่มีโอกาสได้ประมือกับใครนอกจากถือปืนยิงอย่างเดียว บางทีสงสัยจะทำไปเพื่ออะไรแค่เปลี่ยนชุดในสถานการณ์จวนเจียนแบบนั้น


เห็นข้อเสียมาตั้งหลายอย่างก็ใช่จะไม่มีข้อดีเสมอไปโดยเฉพาะเรื่องของนักแสดงที่คัดกันมาค่อนข้างดีดูสมจริงกับตัวละครในเกมแม้บางทีจะไม่ค่อยเหมือนบางตัว ที่ใกล้เคียงสุดคือแซนกีฟทั้งลักษณะตัวหน้าตาเหมือนในเกมที่สุด ที่จะไม่ค่อยถูกใจคือริวกับเคนที่ดูไม่มีเสน่ห์ราศีของพระเอกเท่าไรตามฉบับเกมพอเป็นฉบับหนังจึงไม่น่าสนใจ จะมี Jean-Claude Van Damme เล่นเป็นผู้การไกล์พระเอกของเรื่องแต่บางครั้งยังสงสัยว่าเหมือนพระเอกตรงไหนถ้าไม่ใช่ตอนต้นเรื่องกับท้ายเรื่องที่บทบาทเยอะหน่อย ข้อดีต่อมาคือความต่อเนื่องที่อย่างน้อยไม่อืดไม่ยาวนานจนน่าเบื่อมีอะไรใส่ตลอดทั้งเรื่อง(ใส่จนล้นด้วยซ้ำ) ถ้ามองในแง่ดีที่ไม่มีฉากยืดยาดก็คืออย่างน้อยมันก็จบเร็วโดยที่เราไม่ต้องทนดูเรื่องนี้เพราะยังไงจบแล้วจบกัน เอาจริงๆข้อดีก็มีแค่การเดินเรื่องกับเรื่องนักแสดง นอกนั้นคือไม่มีอะไรเลย มิติตัวละครว่างเปล่า เนื้อเรื่องแค่กลุ่มพระเอกสู้กับผู้ร้าย ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ความเป็นสตีทไฟเตอร์ที่น่าจะมันส์กว่านี้ดุเดือดกว่านี้กลายเป็นหนังตลกมุขแป้กบ้างฮาบ้าง คงได้แต่ให้ Street Fighter เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมได้แย่ที่สุดเรื่องนึงมีดีที่เปลือกนอก ให้เลือกระหว่างรับชมเรื่องนี้กับเล่นเกมคงไม่พ้นขอเล่นเกมสัก 2 ชั่วโมงดีกว่าดูเรื่องนี้โดยไม่ได้ลุ้นมันส์อะไรยังคุ้มค่ากว่ามาก

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)