The Fugitive (1993) เดอะ ฟูจิทีฟ ขึ้นทำเนียบจับตาย

The Fugitive (1993) | เดอะ ฟูจิทีฟ ขึ้นทำเนียบจับตาย
Director: Andrew Davis
Genres: Action | Crime | Drama | Mystery | Thriller
Grade: A+

 อาจกล่าวได้ว่าความมันส์จริงๆไม่ได้เกิดจากยิงหรือต่อสู้เสมอไปเพราะเรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่าความมันส์อยู่ที่ความเข้มข้นการเล่าเรื่องที่ฉับไว ยิ่งหาอะไรที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายลุยโลดด้วยแล้วยิ่งมันส์กระแทกใจทะลุนรกเลยทีเดียว(อันนี้ก็เว่อร์ไป) ว่าก็เข้าเนื้อเรื่องเล่าถึง ดร.ริชาร์ด คิมเบิ้ล (Harrison Ford) คุณหมอผู้ถูกหาว่าฆาตกรรมภรรยาตัวเองเพราะไม่อาจหาความจริงมาแก้ต่างได้ว่าแท้จริงคืออีกคนที่ตัวเองได้สู้กับคนร้ายในวันเกิดเหตุ สิ่งที่เป็นเบาะแสคือเสียงสุดท้ายในวันที่ภรรยาโทรหาตำรวจแล้วบอกชื่อริชาร์ดก่อนจะสิ้นใจจนเป็นข้อกล่าวหาเพียงหนึ่งเดียวว่าริชาร์ดอาจเป็นคนลงมือทั้งที่ความจริงเจ้าตัวยังคงปฏิเสธเนื่องจากเจอคนร้ายตัวจริงกับตัว ทั้งต่อสู้ทั้งเห็นหน้าโดยเฉพาะจุดเด่นเรื่องการใช้แขนเทียมหนึ่งข้างที่จดจำไม่มีลืม ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีหลักฐานใดๆเหลืออยู่เลยอีกทั้งพยานก็ไม่มีน้ำหนักพอจะบอกว่าไม่ใช่ สุดท้ายริชาร์ดกลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกที่แห่งหนึ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง กระนั้นระหว่างกำลังส่งตัวไปยังสถานกักขังระหว่างเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเพราะนักโทษในรถเกิดต่อสู้เป็นเหตุสุดวิสัยทำให้ริชาร์ดต้องตัดสินใจหลบหนีออกมาไม่ใช่เพราะเขาอยากหนีไปที่ไกลๆแต่เป็นการไล่หาความจริงที่่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทำไมภรรยาของเขาจึงถูกฆ่าและใครคนนั้นต้องรับผิดชอบ คนที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องหมดลงไปในค่ำคืนเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องหนีเพื่อหาข้อพิสูจน์ในสิ่งที่ค้างคาใจและเพื่อแก้แค้น แต่เหมือนจะไม่ง่ายเมื่อริชาร์ดต้องโดนตามล่าจากแซมมวล เจอราร์ด (Tommy Lee Jones) ผู้ตรวจการสหรัฐที่ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดพร้อมกับอุดมการณ์ไม่ปล่อยให้ลอยนวลแม้แต่ก้าวเดียวถึงจะต้องจับตายก็ปล่อยไว้ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องราวจะระทึกและเข้มข้นแค่ไหนขอชมก่อนว่าหามาดูก่อนเลยน่าจะเข้าท่ากว่า




อย่างแรกที่ชอบเรื่องนี้อย่างมากหลายส่วนคือการลำดับภาพที่ทำให้น่าตื่นเต้นแม้จะไม่มีการกระตุ้นอารมณ์ใดๆจากฉากนั้น ค่อนข้างแน่นอนมากว่าการตัดต่อแต่ละฉากออกมาได้ฉับไวเหมาะกับแนวทริลเลอร์ที่จับเข้าตัวละครจนรับรู้จิตใจได้โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งบอกกับฝีมือการแสดงของเรื่องนี้ยิ่งนับว่ากินขาดลอยโดยเฉพาะ Harrison Ford กับ Tommy Lee Jones ที่กินกันไม่ลงตัดกันไม่ขาดเพราะดุดันกันทั้งคู่ คนแรกดูฉลาดมีไหวพริบตัดสินด้วยความใจเย็นอย่างมีแบบแผนสมกับที่เป็นหมอ การเล่นเป็นริชาร์ดนั้น Harrison Ford สามารถแสดงความฉลาดของตัวละครได้อย่างดี ที่น่าสนใจคือการใส่อารมณ์ระแวงเข้ามาเพิ่มมิติตัวละครด้วยความกลัว แน่นอนว่าไม่ใช่กลัวที่จะโดนจับได้ก่อนแต่กลัวสิ่งที่คาใจยังไม่ถูกคลี่คลาย ไม่ว่าจะเรื่องภรรยาอันที่รักที่มาตายอย่างปริศนาทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้ทำไมและบางทีก็อาจมีเหตุผลที่มากกว่านั้นแอบแฝงอยู่ นับเป็นตัวละครที่มุ่งมั่นอย่างมากที่ไม่ยอมแพ้แต่ที่น่าจะเรียกว่าไม่ยอมกันสุดๆเห็นจะเป็นแซมมวลที่ตามติดทุกฝีก้าวราวกับเครื่องติดตามที่รู้ทันไปเกือบเสียทุกเรื่องจนหลายครั้งที่ริชาร์ดเกือบถูกจับได้ทั้งที่หนีอย่างเนียบเนียนมาโดยตลอด ที่น่าสนใจคือคนรับบทตัวละครสุดเย็นชานี่คือ Tommy Lee Jones ที่เล่นดีไม่ดีก็ได้ไปเข้าชิงรางวัลออสการ์จนได้รางวัลสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาครอบครองซึ่งในเรื่องเล่นได้โหดเอามากจากนิสัยตัวละครที่กัดไม่ปล่อยจ้องจะจับตายท่าเดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจที่เป็นตัวละครที่น่าจับตามองจากความใจหินไม่ยอมต่อผู้กระทำผิดสักนิดเดียว(แม้แต่พระเอกก็เกือบไม่รอดแม้จะไม่ใช่ผู้ทำผิดแต่ก็ถือว่าผิดที่หลบหนีการจับกุม) ทำให้ตัวละครนี้ดังพอจนไปต่อในเรื่อง U.S. Marshals (1998) ที่ไม่ได้มันส์เท่าเรื่องนี้ก็ถือว่าน่าสนใจพอตัว

อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมครั้งที่ 66 สิ่งนั้นคือความหลงตัวในแทบทุกด้านไม่ว่าจะมุมกล้อง เนื้อเรื่อง แม้กระทั่งฉากแอ็คชั่นที่ถึงน้อยแต่อารมณ์ได้มากกว่าที่มีหลายเท่า และอีกมุมคือแนวทริลเอร์ที่เข้มข้นหลักแน่นพอจะใส่รายละเอียดต่างๆจนน่าเชื่อถือด้วยการแบ่งเป็นสองช่วงที่เห็นได้จากความแตกต่างคือช่วงครึ่งแรกเป็นการเดินเรื่องด้วยการเปิดประเด็นต่างๆโดยให้มีเงื่อนงำบางอย่างที่น่าสงสัยก่อนจะให้ริชาร์ดที่เป็นตัวละครเอกของเราหลบหนีที่โดนไล่ล่าจากแซมมวลซึ่งเต็มไปด้วยความมันส์จากการไล่ล่าของสองฝ่ายด้วยไหวพริบการหลบหลีกเกินกว่าปุถุชนธรรมดาจะทำได้ พอมาคิดๆในเรื่องมีแค่หมอกับผู้ตรวจการรัฐแค่นั้นเองแต่ไล่ล่าซะมันส์หยด



สำหรับในครึ่งแรกคือความมันส์เป็นการประชันระหว่างตัวละครริชาร์ดกับแซมมวลในแบบแอ็คชั่นไม่คิดมากแต่โดนหลายฉากอย่างฉากเขื่อนที่แสดงถึงความฉลาดในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วตลอดจนที่สุดของการไล่ล่ามาเป็นประลองความคิดด้วยการเข้าโหมดแนวสอบสวนเพื่อหาความจริงเกี่ยวกับการตายของภรรยาริชาร์ดในขณะที่แซมมวลไม่ใช่แค่ไล่สืบหาตัวริชาร์ดแต่ยังสืบประวัติด้วยว่าหนีไปอยู่ไหน ทำไมถึงหนี รวมถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล หลายอย่างในเรื่องค่อนข้างทำได้ดีและถึงพริกถึงขิงด้วยซ้ำในการตัดต่อเรื่องราวที่ไม่ชวนงงหรือซับซ้อนเกินไปเว้นแต่อารมณ์แอ็คชั่นจะน้อยลงไปเรื่อยๆจนเป็นแนวทริลเลอร์เต็มตัวในช่วงครึ่งหลังทำให้อารมณ์ผู้ชมที่มองว่าสนุกดูมันส์นั้นอาจผิดหวังนิดหน่อย ถ้าเปิดใจยอมรับดูเอาเนื้อเรื่องอาจสนุกกว่าที่คิดหรือดูการประชันตัวละครทั้งสองว่าใครเหนือกว่าใครอันนี้ถ้าจับจุดดีๆจะเป็นอะไรที่มันส์ไม่ต่างกับแอ็คชั่นที่ยิงห่ากระสุนแค่เปลี่ยนเป็นยิงความคิดเสียแทนรับประกันว่ามันส์แน่นอน

แต่เดิมทีนั้นคนที่จะเล่นบทริชาร์ดคือ Alec Baldwin แต่สุดท้ายเปลี่ยนตัวได้ Harrison Ford มาในที่สุด โดยเส่วนตัวว่าเหมาะสมและเข้ากันดีในแง่คาแรกเตอร์ที่เข้ากันจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ยิ่งตอนมาฉะกับ Tommy Lee Jones สปิริตนักแสดงถึงกับพุ่งพรวดออกมาเห็นได้ชัด ที่โดดเด่นอีกคนคือ Jeroen Krabbe เล่นเป็น ดร.ชาร์ลส นิโคล เพื่อนสนิทสมัยเรียนของริชาร์ดที่พยายามช่วยหนุนหลังให้หลังจากพบริชาร์ดที่กำลังหลบหนีการจับกุม ในการของการแสดงจัดว่าค่อนข้างดีไม่มีอะไรแต่กับในเรื่องนี้สิที่เหมือนจะเป็นคนดีอยากช่วยเพื่อนซึ่งแท้จริงมีอะไรที่มากกว่านั้นเยอะมากแล้วก็เข้ากับคาแรกเตอร์อีกด้วยจนเรียกว่าเก็บตัวตนที่แท้จริงได้เนียนเลยทีเดียว จะว่าทั้งเรื่องจะไล่ล่ากันอย่างเดียวคงไม่ใช่เพราะมีสอดแทรกอะไรอย่างให้คิดเป็นสาระอยู่ไม่น้อยจนเรียกว่าไม่ใช่ดูแค่เอามันส์แล้วแหละเพราะมีประเด็นให้ฉุดคิดอยู่เรื่อยๆ เช่น ตอนเปิดเรื่องหลังจากริชาร์ดถูกข้อหาฆ่าภรรยาเพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเธอและมีเบาะแสที่อาจไม่ใช่ว่าคือริชาร์ดจริงๆแต่ก็ต้องยอมรับในข้อหานี้อย่างปฏิเสธไม่ได้ก็ยังทำใจยอมรับจนถึงที่สุดแม้ไม่เต็มใจก็ตามที จึงคิดได้ว่าถ้าไม่ใช่ริชาร์ดคงโวยวายลุกขึ้นมาเถียงไม่หยุดแล้วแน่ๆเพราะไม่ได้ทำจริงๆและคงไม่ยอมรับแน่ว่าฆ่าคนตายผิดกับริชาร์ดที่พยายามเก็บอารมณ์ถึงที่สุดต่อให้เสียใจจนอยากแก้แค้น ทว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยต่อหลักฐานที่มี ซ้ำจะดีกว่าถ้าใจเย็นคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจถ้าโวยวายต่อศาลอาจถูกเพิ่มโทษไปอีก ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถูกศาลตัดสินยังแสดงความใจเย็นอยู่ได้ไม่ใช่มาจากความเย็นชาแต่เป็นความอดทนเสียมากกว่า คิดๆดูแล้วก็มีเรื่องของจรรยาบรรณเข้ามามิใช่น้อยเกี่ยวกับอาชีพของตัวเอง ในที่นี้ตัวอย่างริชาร์ดอาชีพหมอที่ต้องช่วยเหลือคนไข้เสมอแม้แต่ตอนรถคว่ำที่ส่งตัวนักโทษยังไม่ลืมที่จะช่วยตำรวจที่อาการหนักในรถออกมาผิดกับตำรวจอีกคนที่ชิงหนีไปก่อนเพราะกลัวถูกรถไฟชน หรือจะตอนท้ายเรื่องเกี่ยวความจริงการใช้ยาที่คำนึงถึงตัวผู้ใช้หรือรายได้กว่ากัน ทั้งนี้ไม่ใช่แค่กับริชาร์ดในอาชีพหมอแต่รวมถึงแซมมวลที่ยึดหลักต่อกฎหมายอย่างซื่อตรงและไม่ออ่นข้อให้กับคนร้าย สังเกตได้จากการสั่งงานที่ละเอียดรอบคอบเสมอเป็นการเตือนตัวเองว่าห้ามพลาดเด็ดขาดเนื่องจากคนร้ายที่หลุดไปอาจไม่ใช่แค่หนึ่งคนเฉยๆแต่รวมถึงคนอื่นที่ต้องพบกับปัญหาได้



The Fugitive คงเป็นอะไรไม่ได้หรอกความสนุกที่ครบเครื่องสไตล์ไล่ล่าทางปัญญาที่ไม่ใช่นึกจะจับก็ไล่กวดกันอย่างเดียวแต่ต้องวิเคราะห์ด้วยว่าหนีไปไหน ทำไมถึงหนี และแรงจูงใจคืออะไร นั้นเองที่ทำให้แซมมวลไม่เคยพลาดกับการตามตัวคนร้าย ในขณะเดียวกันริชาร์ดต้องคิดเสมอทำยังไงให้ตัวเองอยู่รอดไม่ถูกจับ ใครคือคนที่ไว้ใจได้ และทำอะไรต่อไปให้เร็วที่สุดและรอบคอบเท่าที่ทำได้ นี่แหละความสนุกจากตรงนี้ที่เชือดเฉือนกันตลอดทั้งเรื่อง แต่ใครหวังอยากมันส์ๆแบบฉากแอ็คชั่นก็ขอให้รอดูฉากรถไฟที่ไม่ได้มันส์อะไรนักหรอกเพียงแค่จังหวะหลายอย่างทำได้ลงตัวชวนดูเหมือนหนังแอ็คชั่นที่โชว์พลังระเบิดวินาสสันตโรยังไงอย่างนั้น ฉากต่อมาบอกไปแล้วคือฉากไล่ล่ากันที่เขื่อน และอีกหลายฉากที่เข้มข้นดูไม่มีเบื่อกันเลยทีเดียว จะว่าแล้วการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างแนวทริลเลอร์กับแอ็คชั่นทำได้ลงตัวในแบบฉบับของตัวเองที่มุ่งไปที่ตัวละครเผื่อให้ตัวละครมีมิติที่น่าสนใจผิดกับแนวทริลเลอร์ที่ค่อนข้างจับใจความที่เนื้อเรื่องเป็นหลักกับสถานการณ์เครียดเสียมาก ส่วนแอ็คชั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่เอามันส์เป็นหลักแต่พล็อตเรื่องมาแบบไหนก็รู้กันหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าเรื่องนี้พล็อตเรื่องที่ดูจะเดาได้บ้างไม่ได้บ้างกลับมีสไตล์ที่เฉียบคมอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะการไล่ล่าที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องก่อนจะโยงใยปมประเด็นต่างๆในตอนท้ายเป็นการพิสูจน์ความจริงแบบม้วนเดียวจบไม่มีอะไรค้างคาในใจให้ผู้ชมแปลกใจในตอนท้าย ถือว่าการจัดลำดับเนื้อเรื่องกับการเล่าเรื่องดูเป็นไปอย่างซื่อตรง เราจะไม่รู้สึกงงแม้บางอย่างจะมีส่วนทางด้านเฉพาะหมอเข้ามาอย่างตอนริชาร์ดหาประวัติคนพิการไร้แขนเพื่อหาตัวฆาตกร ในจุดนี้ได้บ่งบอกถึงความเก่งกาจของตัวละครที่นอกจากจะคิดเป็นและรอบคอบในการเอาตัวรอดแล้วยังรวมถึงเป็นช่างสังเกตด้วยการจดจำหาสิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างแขนปลอมข้างไหน ลักษณะเป็นแบบไหน เพื่อเอามาใส่ข้อมูลหาคนร้ายจากที่มีไม่รู้ต่อกี่คนจนเหลือไม่ถึงสิบคนราวกับตำรวจหาคนร้ายทั้งที่มันคนละอาชีพเห็นๆ



สำหรับใครที่ชอบสไตล์การไล่ล่าประกอบกับตัวละครที่ไม่ใช่แค่หนีอย่างเดียวรับประกันว่าตอบโจทย์ได้อย่างดีเพราะในเรื่องมีอะไรที่มากกว่านั้นค่อนข้างมาก การเดินเรื่องที่ฉับไวไม่น่าเบื่อจนเกินไปแม้ทั้งเรื่องจะหาฉากแอ็คชั่นไม่ได้แต่เข้าข่ายแอ็คชั่นได้จากการเล่าเรื่องที่มันส์ดุระหว่างผู้ล่ากับผู้ถูกไล่ล่าแถมยังแทรกเนื้อเรื่องย่อยเสริมเข้าไปให้ดูหลากมิติจากการทำงานของแซมมวลที่ไม่ได้มุ่งประเด็นไปที่ตัวริชาร์ดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็นการแสดงให้เห็นระบบการทำงานที่รอบคอบและไม่จมปลักแต่กับเรื่องเดิมๆมากเกินไปเพราะคนที่หนีไม่ใช่แค่ริชาร์ดคนเดียวเท่านั้น หมายความว่าแซมมวลต้องแบ่งงานรับผิดชอบช่วยกันสืบตามหานักโทษที่หนีกลับมาให้หมด แต่เหตุที่เป้าหมายสำคัญคือริชาร์ดเพราะอยู่ใกล้ตัวจนเกือบจับได้แต่ต้องพลาดเนื่องจากความกล้าบวกกับฉลาดจึงคิดว่าเป็นตัวอันตรายได้ในอนาคต กระนั้นอะไรคือตัดสินคนที่ภายนอกที่เหมือนผิดทว่าภายในกลับเป็นคนบริสุทธิ์ไร้มลทินตามที่ภายนอกรับรู้ ดังนั้นข้อคิดอีกอย่างที่กล่าวเอาไว้คืออย่าตัดสินคนที่ภายนอกเพียงอย่างเดียวเพราะภายในอาจเป็นอีกคนหนึ่งก็ได้เนื่องจากเรารับรู้ได้แค่จากสิ่งที่รับมาอีกทีเท่านั้น จึงไม่แปลกใจถ้าแซมมวลจะลองเข้าหาริชาร์ดด้วยการสืบค้นประวัติแล้วคิดซะหน่อยว่าจริงๆเขาอาจไม่ใช่คนแบบนั้นก็ได้ สำหรับใครที่ชื่นชอบแนวไล่ล่าสไตล์ยุค 90 จัดว่า The Fugitive ตอบโจทย์ได้ดีในการให้อารมณ์ที่เข้มข้นแม้พล็อตเรื่องจะเดาได้แต่ดูแล้วสนุกอย่างมาก

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)