Battle for the Planet of the Apes (1973) สงครามพิภพวานร

Battle for the Planet of the Apes (1973)
สงครามพิภพวานร
Director: J. Lee Thompson
Genres: Action | Sci-Fi
Grade: C+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

สำหรับภาคนี้คือภาคที่เทียบกับภาคก่อนไม่ค่อยได้ ด้วยที่ว่าเรื่องราวไม่ค่อยมีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์สังคมเท่าไรแล้ว อีกทั้งเนื้อเรื่องมีเพียงนิดเดียวทำให้ดูจบเร็วไม่เหมือนภาคก่อนๆที่สั้นแต่หนักแน่น ส่วนภาคนี้จบแล้วยังรู้สึกโล่งๆไม่ค่อยมีอะไรให้ฉุกคิด อาจเพราะเป็นภาคจบบริบูรณ์เลยตั้งใจให้ดูซีเรียสน้อยลงทำให้ความสนุกลดลงไปด้วย ให้เรียงลำดับตามความชอบก็ว่าตามตรงยังชอบภาคแรกมากที่สุด ก็จะเป็น 1>3>4>2>5 ถ้าอยากจะดูต่อจะเป็นฉบับซีรีส์ปี 1974 ความยาว 14 ตอน


ในภาคที่แล้ว ซีซ่าร์ (Roddy McDowall) ทำการปฏิวัติปลดปล่อยวานรตัวอื่นได้สำเร็จหลังจากนั้นมนุษย์เกิดสงครามต่อสู้กันเองและล่มสลายด้วยระเบิดนิวเคลียร์ คงเหลือแค่วานรกับมนุษย์บางส่วนเท่านั้นที่รอดชีวิต เมื่อทุกอย่างล่มสลายจึงหาทำเลสร้างเมืองของตัวเองโดยอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่วานรยังมีสิทธิ์ที่เหนือกว่าเพราะซีซ่าร์ยังหวาดกลัวต่ออนาคตที่จะเป็นศัตรูกับมนุษย์ ขณะเดียวกัน อัลโด้ (Claude Akins) กอริลลาที่คิดต่างเชื่อว่าไม่อาจอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ จึงพยายามหาข้อกล่าวหาแก่มนุษย์และโค่นล้มซีซ่าร์เพื่อชิงความเป็นผู้นำ

มีเพียงนักแสดง 2 คนที่เล่นหนังชุดนี้มากที่สุดคนละสี่ภาค นั้นคือ Natalie Trundy ภาคนี้รับบทเป็นวานรชื่อ ลิซ่า ต่อจากภาคก่อนและเป็นคนรักของซีซ่าร์จนมีลูกชื่อ คอร์นีเลียส (Bobby Porter) ซึ่งภาคแรกไม่ได้แสดง ภาค 2 เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ และภาค 3 เป็น ดร. ช่วยคอร์นีเลียสและซีร่า และ Roddy McDowall ในบทคอร์นีเลียสตอนโตในภาค 1 กับ 3 และบทซีซ่าร์ในภาค 4 กับ 5


ทั้งมีนักแสดงจากภาคที่แล้วอย่าง Severn Darden ในบท โคล์ป เป็นผู้รอดชีวิตจากสงครามแล้วมาอยู่ใต้ดินเพื่อหนีกัมมันตรังสีก่อนจะเจอกับซีซ่าร์ที่หมายหัวแก้แค้นสิ่งที่ทำลงไปในภาคก่อน ซึ่งในเรื่องเป็นตัวเปรียบเทียบฝ่ายมนุษย์ที่ต่อต้านวานร ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามนุษย์ที่เหลือรอดในใต้ดินเพื่อหนีกัมมันตรังสีมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์กลายพันธุ์ในภาค Beneath the Planet of the Apes (1970) และจงเกลียดจงชังวานรเช่นเดียวกันด้วย ประเด็นนี้จึงนำไปอธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์มาจากไหน อีกทั้งบอกด้วยว่าทำไมจึงมองวานรเป็นศัตรู ที่สำคัญมีการพูดความขัดแย้งระหว่างสันติภาพกับความรุนแรงอีกด้วย

พูดถึงแล้วในแง่การสานต่อปมประเด็นอาจจะไม่เท่าไรเพราะภาคก่อนๆใส่จุดนี้เอาไว้เกือบหมด ฉะนั้นด้านเนื้อหาจึงไม่ใช่สิ่งที่ตัวหนังจะพูดถึงนอกจากการเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ภาคแรกมาเป็นบทสรุปในภาคนี้ และที่ช่วยเอาไว้มากคือการอุดช่องโหว่ของแต่ละภาคที่มีจุดขัดแย้งบางส่วนด้วยเหตุผลที่ว่าเป็น Timeline ใหม่จากการเดินทางข้ามเวลาของคอร์นีเลียสและซีร่าในภาค Escape from the Planet of the Apes (1971) ฉะนั้นมุมมองของวานรที่มีต่อมนุษย์จึงเปลี่ยนไปเพราะซีซ่าร์


สิ่งที่พูดอยู่บ่อยๆแต่ไม่เคยแก้ไขเลยคือการกระทำของกอริลลาที่เป็นต้นเหตุในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการใช้อำนาจด้วยกำลังด้วยความรุนแรงในการแก้ปัญหา เมื่อซีซ่าร์ดูเทปย้อนหลังฟังพ่อแม่หรือคอร์นีเลียสและซีร่าถึงโลกที่จากมาก็พบว่าอะไรเป็นสาเหตุของการล้มสลาย ขณะเดียวกันช่วงเวลาที่ซีซ่าร์อยู่ก็เริ่มเห็นอคติของกอริลลาโดยมีอัลโด้เป็นฝ่ายนำความคิด นั้นทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงอนาคตที่อาจจะเลวร้ายลงและต้องเร่งแก้ไขก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์

ถ้าใครจำ  Conquest of the Planet of the Apes (1972) ได้จะรู้สึกเหมือนซีซ่าร์กำลังถูกปฏิวัติเพราะสาเหตุของการปฏิวัติคือการยึดอำนาจ การจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามหากไม่มีอำนาจก็สูญเปล่า ฉะนั้นอัลโด้จึงพยายามใช้จุดนี้เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำพร้อมกับเปลี่ยนทัศนะคติเกี่ยวกับมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าให้คงเป็นเพียงทาสรับใช้ เป็นการสะท้อนกลับไปครั้งที่มนุษย์บังคับวานรเป็นทาสเพื่ออำนวยความสะดวก ถูกใช้งานราวกับเครื่องจักร ไม่สนคุณค่าของชีวิตที่ล้วนต่างเท่าเทียมกัน


นอกจากนี้ตัวหนังยังพูดสิทธิความเท่าเทียมกันระหว่างวานรกับมนุษย์ ซีซ่าร์ให้สิทธิ์มนุษย์ทำอะไรก็ได้แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของวานรอย่างมีขอบเขต มีการใช้งานแต่ไม่มีการบังคับหรือขู่เข็ญ พยายามอยู่ร่วมกันโดยให้วานรอยู่สูงกว่าในฐานะผู้ให้อยู่อาศัย การที่ซีซ่าร์คิดเช่นนี้เพราะยังไม่ใจมนุษย์แม้จะเป็นคนดีมากแค่ไหนก็ตาม กลัวว่าจะเกิดการรบราฆ่าฟันเป็นสงครามในที่สุด ซึ่งนี้เป็นประเด็นเสียดสีสังคมก่อนที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับอนาคตจากพ่อแม่ของเขาว่ามาจากอะไรกันแน่ แต่น่าเสียดายที่ประเด็นนี้ไม่ค่อยพูดถึงมากนักและถูกลืมจนกระทั่งฉากสุดท้ายของเรื่อง

Battle for the Planet of the Apes เป็นภาคที่เล่าเรื่องเข้มข้นน้อยที่สุดแม้จะพยายามผสมผสานภาคก่อนๆ แต่สิ่งดีคือช่วยอธิบายแบบอ้อมๆว่าทำไมแต่ละภาครวมถึงภาคนี้มีรายละเอียดบางอย่างที่บิดเบือนไปจากเดิม ซึ่งช่วยให้แต่ละภาคมีน้ำหนักมากขึ้นและสมเหตุสมผลเมื่อนำมาดูเรียงตามภาค เสียดายที่ภาคนี้ก็ดูจะจืดจางขาดความหนักแน่นพอควร ความคาดหวังเห็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมแบบเข้มข้นแทบไม่มีเหลือต่อให้หันมาเล่นประเด็นในกลุ่มวานรด้วยกันเองก็ตาม ที่มากเป็นพิเศษคือแอ็คชั่นการสู้รบระหว่างวานรกับมนุษย์ที่ดูน่าตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้หนังสนุกขึ้นมาทันที


ถึงภาคนี้จะด้อยสุดแต่ยอมรับว่าค่อนข้างชอบการโยงเส้นเรื่องที่สามารถเป็นเนื้อหาเดียวกันได้ทั้งหมด ที่สำคัญตัวหนังไม่ลืมว่าเป็นหนังไซไฟที่ไม่ได้พูดถึงสังคมหรือการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียว หากพูดถึงการเล่นกับ Timeline อีกด้วย แน่นอนว่าเหตุการณ์มนุษย์เป็นทาสและวานรเป็นใหญ่ใน Planet of the Apes (1968) คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดและควรกลับมาที่ตรงนี้อีกครั้ง(เพราะเป็นจุดแรกที่เดินทางข้ามกาลเวลามาอนาคตก่อนจะย้อนอดีตใน Escape from the Planet of the Apes แสดงถึงการวนเวียนหรือลูป) แต่ตอนจบในภาคนี้แตกต่างออกไปทั้งมุมมองทั้งแง่คิดระหว่างวานรกับมนุษย์เพราะอยู่สามารถร่วมกันได้ในท้ายที่สุดตามคำสั่งสอนของซีซ่าร์ที่ผ่านมาหลายพันปี เท่ากับว่าซีซ่าร์แก้ไขอนาคตที่ตัวเองกลัวมาตลอดได้สำเร็จ(เป็นตอนจบเดิมของ Beneath the Planet of the Apes ที่ไม่ได้ใช้โดยที่มีเด็กฟังเรื่องราวของวานรกับมนุษย์ที่ควรสามัคคีอยู่ร่วมกัน แต่ดัดแปลงเล็กน้อยให้เป็นซีซ่าร์คือผู้นำสันติภาพมาสู่โลก)

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)