Escape from the Planet of the Apes (1971) หนีนรกพิภพวานร

Escape from the Planet of the Apes (1971)
หนีนรกพิภพวานร
Director: Don Taylor
Genres: Action | Sci-Fi
Grade: B+

สปอยล์กันสักนิดว่าทำไมถึงมีภาคต่อทั้งที่ในตอนจบภาคสองหรือ Beneath the Planet of the Apes (1970) ได้ระเบิดโลกทั้งใบไม่มีเหลืออีกแล้ว คำตอบอยู่ที่นักวิทยาศาสตร์วานรทั้งสอง ซึ่งไม่ใช่ใครหากจำกันได้ดีใน Planet of the Apes (1968) เพราะเป็นตัวละครสำคัญอย่างยิ่งยวด นั้นคือ คอร์นีเลียส (Roddy McDowall) และ ซีร่า (Kim Hunter)  โดยกู้ยานอวกาศของมนุษย์แล้วนำมาซ่อมแซม จากนั้นทดลองใช้แต่โดนลูกหลงจากกรระเบิดของโลกทำให้เดินทางข้ามกาลเวลาย้อนอดีตตอนที่มนุษย์ยังครองโลก


ตอนแรกคิดว่าถ้าภาคก่อนเลือกจบแบบมีความสุขทั้งสองเผ่าพันธุ์อาจไม่มีโอกาสเห็นภาคต่อแบบนี้(มีตอนจบ 2 แบบ) นี่จึงเป็นเรื่องที่ดีแทนจากที่คิดว่าจบได้ปาหมอนระเบิดล้างโลกแล้วจะยังไงต่อได้ แน่นอนว่าเรื่องราวสามารถสานต่อได้และประติดประต่อได้ค่อนข้างดีมากด้วยเพราะมีการอธิบายที่มาที่ไปการล้มสลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมไปถึงการครองโลกของวานรที่ไม่น่าเป็นไปได้แต่เกิดขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ฉะนั้นแล้วภาคนี้จึงเสมือนเหตุการณ์ลำดับแรกก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้นในภาคแรก

ตัวหนังเปิดเรื่องยานอวกาศตกใกล้ริมฝั่งทะเล(เบื้องหลังฉากนี้ใช้สถานที่เดียวกับตอนจบภาคแรก)  จากนั้นมีทหารไปรับนักบินอวกาศอย่างสมเกียรติ ทว่าเมื่อถอดหมวกนักบินออกก็พบว่าคือวานรหาใช่มนุษย์ที่ได้ส่งออกไปไม่ แน่นอนว่าทุกคนแตกตื่นกับความแปลกตาครั้งนี้ แต่จนแล้วจนรอดทั้งคอร์นีเลียสและซีร่าได้พบกับ ดร.เลวิส ดิกสัน (Bradford Dillman) และ ดร.สเตฟฟานี่ เบรนตัน (Natalie Trundy) มนุษย์ที่เป็นมิตรพร้อมเปิดเผยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเชื่อใจ


แค่ฉากเปิดเรื่องก็รู้สึกเหมือนถูกล้อเลียนหรือเสียดสีเข้าซะแล้วเพราะตอนถอดหน้ากากแทนที่จะเป็นหน้าคนกลับกลายเป็นหน้าลิงเสียแทน ทางกลับกันเหมือนกัดตัวเองด้วยเช่นกันเพราะวานรไม่เชื่อเรื่องบินได้ แต่พอเห็นกระดาษพับจรวดลอยกลางอากาศในภาคแรกก็อึ้งไปตามๆกัน แม้จะไม่รู้ว่าวานรสมัยครองโลกมีวิทยาการก้าวล้ำแค่ไหนเพราะตัวหนังไม่เน้นเรื่องเทคโนโลยีแต่เป็นเรื่องสังคมระหว่างมนุษย์กับวานร

หลังจากเห็นว่าไม่ใช่คนก็พากันแตกตื่นกับเรื่องที่เกิดขึ้น และนั้นทำให้นึกถึงภาคแรกแบบที่วานรตกใจเจอมนุษย์พูดได้แล้วพาขึ้นศาลเพื่อหาข้อสรุปว่าจะเอายังไงกับการค้นพบครั้งนี้ ในภาคแรกโต้วาทีกันค่อนข้างซีเรียสและสมจริง  สำหรับภาคนี้จะเบาลงพอสมควรอาจเป็นเพราะยุควานรมองมนุษย์เป็นศัตรู ขณะที่มนุษย์นั้นไม่ได้ล่าวานรเพราะชิงชังแต่เพื่อทดลองเป็นหลัก ฉะนั้นการขึ้นศาลก็เพื่อซักถามที่มาที่ไปและความจริงว่าคือวานรที่มีการคิดด้วยตัวเองเหมือนมนุษย์จริงๆ ซึ่งนั้นนำไปสู่การโต้วาทีที่กัดจิกอย่างสนุกสนาน ไม่ดูเคร่งเครียดจนเกินไป อีกทั้งกลายเป็นที่ชื่นชอบต่อประชาชนอีกด้วย

หลังจากขึ้นศาลและลงสื่อต่างๆทำให้คอร์นีเลียสและซีร่ากลายเป็นขวัญใจประชาชน ไม่ใช่ด้วยความแปลกเพียงอย่างเดียวแต่เป็นความตรงไปตรงมาของซีร่าที่พูดถึงเรื่องสิทธิหลายอย่าง อย่างเรื่องเพศชายที่ควรมาทำงานบ้านของเพศหญิงบ้าง กระนั้นบางครั้งเพราะความแปลกและไม่มีพิษมีภัยจึงกลายเป็นตัวตลกที่พูดอะไรก็ตลกขบขันไปหมดด้วยทัศนะที่แตกต่าง อย่างการนั่งดูชกมวยข้างเวที ในความคิดทั่วไปคือกีฬาชนิดหนึ่ง แต่เมื่อคอร์นีเลียสนั่งดูต้องอุทานว่าป่าเถื่อน แต่แล้วใครจะสนเพราะนึกว่าเป็นมุขล้อเลียน สิ่งนี้บอกมีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างเรื่องการใช้ชีวิตระหว่างมนุษย์ที่เสรีกับวานรที่สันติ


"บางครั้งก็มองกันที่ปลายเหตุเกินกว่าจะสนใจที่ต้นตอ"

ดร.อ็อตโต้ แฮสเลน (Eric Braeden) ไม่เห็นด้วยกับการปรากฏการณ์ครั้งนี้ที่จู่ๆจะมีวานรข้ามกาลเวลาจากอนาคตแล้วบอกว่าโลกแตกสลาย อีกทั้งวานรเป็นผู้ปกครองแทนที่มนุษย์ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้แล้วมนุษย์อยู่กันยังไงคือคำถามที่น่าฉงนใจ แน่นอนว่าคำตอบมีให้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเกิดขึ้นได้ยังไง คำตอบนั้นมาจากไวรัสชนิดหนึ่งฆ่าสัตว์หมาแมวตายหมด มนุษย์จึงหาสัตว์เลี้ยงมาแทนที่ นั้นคือวานร ด้วยความที่วานรฉลาดจึงถูกใช้ทำหน้าที่แทนหลายอย่าง กระทั่งความฉลาดนี้ได้ปลุกความเสรีภาพในตัวเองขึ้นมา ทำให้เป็นเกิดสงครามและวานรคือฝ่ายชนะ

ประธานาธิบดี (William Windom) แม้จะรู้ว่ามนุษย์จะต้องกลับสถานะตกต่ำกว่าวานรในอนาคตแต่ไม่ได้สนใจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นยังอีกยาวนาน ฉะนั้นจึงไม่สนใจว่าคอร์นีเลียสและซีร่าจะทำอันตรายในยุคสมัยนี้ได้ แต่ดร.อ็อตโต้มองว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยก็เหมือนปล่อยให้เกิดขึ้นไปแล้ว จะมีอยู่ฉากที่พูดถึงปัญหาสารพัดเกี่ยวกับโลกทั้งขยะ ทั้งมลพิษ สิ่งเหล่านี้ทำให้โลกกำลังแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่แก้ไข้จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกำลังแก้ ก็เหมือนผลัดวันประกันพรุ่งที่รู้ว่าทำได้แต่ไม่ทำ ฉะนั้นแล้วสำหรับเขาการกำจัดวานรสองผัวเมียนี้เป็นการดีที่สุดต่อมนุษย์ชาติและอนาคต


เชื่อว่าหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา Natalie Trundy เพราะกลับมาเล่นหนังชุดนี้อีกครั้งหลังจากภาคที่แล้วเล่นเป็นเผ่าพันธุ์ศัตรูของวานร ซึ่งเธอจะเล่นหนังชุดนี้อีกในบทบาทที่แตกต่างออกไป ฉะนั้นจะเป็นคนเดียวที่ได้เล่นทุกภาคยกเว้นภาคแรก ส่วนอีกคนก็เช่นกันที่แม้บทบาทไม่สำคัญอะไรนักแต่จะไปมีส่วนในเนื้อเรื่องถัดจากภาคนี้คือ Ricardo Montalban ในบท อาร์มันโด้ เจ้าของคณะละครสัตว์ที่คอยช่วยเหลือคอร์นีเลียสและซีร่า

Escape from the Planet of the Apes ชวนย้อนให้คิดถึงภาคแรกด้วยเรื่องราวจริงจังระหว่างมนุษย์กับวานร แต่ครั้งนี้จะสลับเรื่องราวให้วานรเป็นฝ่ายนำเรื่องแทนมีการเสียดสีในหลายแง่มุมที่อาจไม่เท่าภาคแรกก็เพียงพอทำให้ตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ผ่านสายตาวานร สำหรับมนุษย์แล้วยังคงชอบใช้ความรุนแรงอยู่เสมอแม้จะไม่มีเรื่องบาดเจ็บแต่สุดท้ายก็ส่งผลทางจิตใจ ที่สำคัญเมื่อมองเรื่องราวดีๆจะเห็นว่ามนุษย์นั้นหวงเผ่าพันธุ์ตัวเองมากแค่ไหน ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอนาคตอันไกลแม้สิ่งนั้นมาจากตัวเองก็ตาม

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)