Red Planet (2000) เรด แพลนเน็ท ดาวแดงเดือด

Red Planet (2000) | เรด แพลนเน็ท ดาวแดงเดือด
Director: Antony Hoffman
Genres: Action / Sci-Fi / Thriller
Grade: C-

มีช่วงให้ลุ้นใจหายอยู่ชั่วครู่ก่อนทุกอย่างจะจืดสนิทหลังแตะพื้นดาวอังคาร ซึ่งอันที่จริงแทบไม่มีอะไรให้ลุ้นตื่นเต้นกับภารกิจสำรวจดาวอังคารเสียด้วยซ้ำ จะมาจะไปไม่ใช่เรื่องยาก แต่หนังพยายามใส่ปัญหาให้ทุกอย่างมีอุปสรรค จนบางครั้งรู้สึกแปลกและไม่เข้ากับสถานการณ์ ขณะเดียวกันได้ทำลายขอบเขตความเป็นจริงกันแบบง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องออกซิเจนที่แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ


Red Planet จึงเหมือนหนังตลกที่สรรค์สร้างสถานการณ์และเหตุผลแปลกๆ แม้จะบอกว่าเป็นหนังที่ใช้จินตนาการอยู่แล้ว กระนั้นการสอดแทรกความจริงช่วยให้มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือสำหรับแนวไซไฟ-วิทยาศาสตร์ ดังนั้นการหาถ้อยคำมาอธิบายเป็นเรื่องราวจึงดูเลื่อนลอย ถ้าไม่คิดอะไรมากขอให้ตามหนังจนจบจะเพลิดเพลินยิ่งกว่า แม้ในความจริงไม่ค่อยจะเป็นเช่นนั้นเพราะทำตัวเหมือนอยู่บนโลกมากกว่าดาวอังคารแห้งๆเสียอีก

การสำรวจดางอังคารเป็นสิ่งที่อยากรู้ว่าต้องเจอกับอะไร แต่พอเจอกลับรู้สึกธรรมดากว่าที่หวังเอาไว้มาก แทบไม่น่าสนใจหรือชวนให้ตื่นตาได้เลย ยกเว้นการเสียดสีถึงที่มาที่ไปของภารกิจนี้ เนื่องจากโลกกำลังแย่และวิธีแก้ไขคือหาที่อยู่ใหม่ แน่นอนว่าดาวอังคารคือตัวเลือกอันดับแรกๆ ทว่าสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการคงอยู่ โดยเฉพาะออกซิเจนที่ไม่มีให้สูดหายใจ แล้วเมื่อไม่มีจะอยู่ได้ยังไง


โลกผลิตออกซิเจนได้เพราะต้นไม้ วิธีการสร้างออกซิเจนจึงง่ายๆด้วยการปลูกสาหร่ายบนดาวอังคารซะเลย แน่นอนฟังดูมั่วไปหน่อยเพราะถ้าเห็นฉากดังกล่าวจะคิดว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ถ้าทำได้จริงจะดูเป็นการเสียดสีตัวเองไม่ใช่น้อย เพราะคนเราตัดไม้ทำลายป่าทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ออกซิเจนน้อยลง คาร์บอนไดร์ออกไซค์เพิ่มขึ้น มีแต่ทำร้ายโลกมากขึ้นทุกวัน การปลูกสาหร่ายไม่ต่างกับปลูกต้นไม้ที่ให้ออกซิเจน เป็นการมอบชีวิตใหม่แก่ดาวอังคาร ประเด็นคือเราจะกลับมาทำร้ายดาวที่ตัวเองสร้างขึ้นอีกหรือไม่

แม้หนังจะไม่สนุกและค่อนข้างจืดหลายด้าน แต่สิ่งที่เป็นตัวช่วยคือเหล่านักแสดงเด่นๆรวมอยู่ที่เดียวกัน ทั้ง Val Kilmer,Carrie-Anne Moss,Tom Sizemore,Terence Stamp,Benjamin Bratt และ Simon Baker เป็นตัวช่วยดึงดูดให้ติดตามได้อย่างดี ถ้าไม่พึ่งการแสดงหรือหน้าตาที่คุ้นเคยคงจะออกมาไม่งามแน่ๆ เพราะเสียงวิจารณ์และรายได้ค่อนไปข้างลบซะเกือบหมด


ถึงพล็อตเรื่องจะไม่ล้ำหรือเรียกความน่าสนใจ แต่อย่างน้อยยังพอขาย CGI ได้ระดับหนึ่ง อย่างฉากหุ่นยนต์หมากับบทบาทที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือโชว์ความสามารถหลายอย่าง จนบางครั้งการโชว์มากไปทำให้ดูเป็นหนังที่ขาดความจริงจังไปสักหน่อย แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ใส่เข้ามาให้ดูมีมากกว่าเท่าที่เห็น ถ้าเน้นการเอาตัวรอดให้ตึงเครียดกว่านี้อาจจะลุ้นได้บ้าง แค่พอเพลินในระดับพอไหวล่ะนะ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)