Adrift (2018) รักเธอฝ่าเฮอร์ริเคน

Adrift (2018) | รักเธอฝ่าเฮอร์ริเคน
Director: Baltasar Kormákur
Genres: Action / Adventure / Biography / Drama / Romance / Thriller
Grade: B-

ดูไปแบบไม่สนใจว่าสร้างจากเรื่องจริง เพราะระหว่างดูเกิดอาการเบื่อหน่ายชวนง่วง รอสถานการณ์ชวนลุ้นว่าเมื่อไรจะมีสิ่งตื่นเต้นเกิดขึ้น แต่สุดท้ายมีน้อยถึงน้อยมาก ทำให้ตระหนักได้เกี่ยวกับชีวิตจริง ใครจะไปอยากมีเรื่องให้ตื่นเต้นชวนเครียดตลอดเวลา เรือโดนพายุแล้วจะทำยังไงให้ตัวเองอยู่รอดท่ามกลางทะเลที่มองไปทางไหนล้วนว่างเปล่า


เล่าถึงทามี โอลด์แฮม (Shailene Woodley) และริชาร์ด ชาร์ป (Sam Claflin) ว่าทั้งสองเริ่มต้นเป็นมายังไง ทำไมถึงมาร่วมทางบนเรือลำเดียวกันได้ ซึ่งเริ่มเรื่องทำให้เกิดเหตุเรือล่มอัปปางเสียหายหนักทันที ส่วนเกิดอะไรขึ้นนั้นแทบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผ่านพายุที่หนักหนาสาหัสมา ฉะนั้นสิ่งที่คาดหวังคือการดำเนินเรื่องแบบเอาตัวรอด แต่ผิดคาดที่เน้นความรักของทั้งคู่แทน


"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

Adrift สร้างจากเรื่องจริง จากหนังสือ Red Sky in Mourning: A True Story of Love, Loss and Survival at Sea ที่เขียนโดย Tami Oldham จากประสบการณ์โดยตรงที่เจอกับความเลวร้ายของพายุจนเรือเสียหายหนัก ทำให้ต้องติดทะเลอยู่นานถึง 41 วัน นอกจากลำบากกายแล้วยังลำบากใจที่ต้องทุกข์ทรมาน เนื่องจากคู่รักได้หายตัวไปกับพายุ เหลือเพียงเธอเพียงลำพังกับความอาลัยอาวรณ์ถึงคนรักที่มิอาจห้วนคืน

ถ้าใครไม่รู้เรื่องจริงที่หนังอ้างอิงจะส่งผลต่อการดูพอสมควร โดยเฉพาะตอนจบที่นำไปสู่บทสรุปที่น่าหดหู่ หลายสิ่งดูเหงาไม่เหลือความหวังใดๆ ก่อนจะตัดภาพมาที่ชีวิตจริงของเจ้าของเหตุการณ์ ซึ่งฉากนี้ดูเรียบๆแต่เทียบกับสิ่งที่เจอมานับว่ากล้าหาญไม่น้อย เพราะไม่นึกว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายจากการนั่งเรือออกทะเลจะทำให้ใช้เรืออีก ที่สำคัญยังแปลงเป็นพลังสู้ชีวิตให้ก้าวต่อไป แม้ลึกๆจะเสียใจก็ไม่ลืมเก็บไว้เป็นประสบการณ์ให้ใช้ชีวิตสู้ต่อไป


ย้อนกลับมาที่ตัวหนังจะพบว่าต่อให้อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงให้ดูสมจริงมากแค่ไหน สุดท้ายตลอดเนื้อเรื่องล้วนธรรมดา ยิ่งเป็นเส้นตรงยิ่งไม่เหลืออะไรให้น่าสนใจ ดังนั้นสิ่งที่ช่วยให้ตลอดการเล่าเรื่องเป็นไปอย่างไม่น่าเบื่อ คือการสลับเหตุการณ์ปัจจุบันกับอดีต แสดงให้เห็นไปเลยว่าทำไมทั้งสองถึงรักกัน เริ่มต้นจากไหนและจบลงที่ใด สลับช่วงเวลาระหว่างวิกฤติและผ่อนคลาย ขณะที่อีกด้านทุกข์จะมีด้านที่สุข ทำให้ลึกๆสัมผัสได้ถึงความเสียใจที่ไม่น่ามาเจออะไรเช่นนี้เลย

การเล่าเรื่องสลับเวลาช่วยยืดความน่าดูมากพอสมควร(แม้จะเรื่อยๆก็ตามที) รวมไปถึงบทสรุปที่สะเทือนใจของตัวละครกับการสูญเสียคนรัก แน่นอนว่าเป็นใครคงทำใจไม่ได้ที่คนรักจะจากไปต่อหน้า แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ไปต่อคือการนำคนที่จากไปเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองอยู่ต่อ ซึ่งบางคนท้อแท้ไม่อยากใช้ชีวิตอีกต่อไป แต่เรื่องนี้และชีวิตจริงของทามีไม่เป็นเช่นนั้น เธอใช้ชีวิตได้เพราะคนรักยังอยู่ในใจ คอยเป็นพลังให้แม้ไม่มีชีวิตอยู่จริงก็ตาม

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)