Poltergeist (1982) ผีหลอกวิญญาณหลอน

Poltergeist (1982) | ผีหลอกวิญญาณหลอน
Director: Tobe Hooper
Genres: Horror | Thriller
Grade: A

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"ว่ากันว่าเป็นหนังต้องคำสาปที่คร่าชีวิตและการงานจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากหนังเรื่องนี้"

เหตุที่ต้องประเดิมแบบนั้นเพราะมีเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นกับคนที่มีส่วนในหนังเรื่องนี้จนในเวลาต่อมาไม่มีใครรุ่งสักคนแม้เสียงวิจารณ์เรื่องนี้จะดีมากแค่ไหนก็ตามแต่ก็พบว่าทั้งนักแสดงและผู้กำกับก็ล้วนมีช่วงชีวิตที่ดิ่งลงจนถึงขั้นจบชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งนี้กว่าเหตุการณ์ร้ายๆจะเกิดขึ้นจนหลายคนเรียกว่าอาถรรพ์นั้นก็ทำให้ Poltergeist ถูกสร้างครบไตรภาคก่อนจะลงเอยด้วยการถูกลืมเลือนยกเว้นภาคแรกที่ดีที่สุดและเป็นที่น่าจดจำฐานะหนังสยองขวัญที่เป็นแบบอย่างที่ดีแต่ยังคงเป็นหนังคำสาปแห่งวงการฮอลลีวู้ดไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเรื่องราวก่อนจะมาเป็นหนังเรื่องนี้มาจากความริเริ่มของ Steven Spielberg ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นที่มีครอบครัวหนึ่งถูกวิญญาณร้ายตามหลอกหลอนและเล่นงานพวกเขาอยู่ จึงได้นำพล็อตนี้มาดัดแปลงเป็นบทหนังซึ่งผลคือครอบครัวนั้นไม่พอใจอย่างมากและขอให้เลิกทำแบบนั้นแต่กลายเป็นว่ายังคงทำต่อไปจนสร้างเรื่องนี้ออกมาสำเร็จ สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวดังกล่าวไม่พอใจอย่างรุนแรงเพื่อเกรงกลัวต่อวิญญาณที่คุกคามจะไม่พอใจและดุร้ายมากขึ้น จึงเกิดการสาปส่งกับผู้มีเอี่ยวในเรื่องนี้จนกระทั่งกลายเป็นผลลัพธ์อันน่าสะพรึงกลัวทั้งนักแสดง ผู้กำกับ ที่ต่างมีชะตากรรมอันไม่น่าเป็นไปได้แม้หลายคนจะไม่เชื่อเพราะคิดว่าเป็นเหตุบังเอิญก็ตามที ในที่นี่ขอยกตัวอย่างผู้กำกับ Tobe Hooper ที่สร้างหนังในระดับมาสเตอร์เป็นที่น่าจดจำที่ไม่ใช่แค่เรื่องนี้แต่ยังรวมถึง The Texas Chain Saw Massacre (1974) ฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์นามเลเทอร์เฟซ ผู้มีเอกลักษณ์ทางรูปลักษณ์และอาวุธอย่างเลื้อยไฟฟ้าที่สร้างความเขย่าขวัญมามากนักต่อนัก ด้วยความสามารถในทางแนวสยองขวัญทำให้เราได้เห็นมุมมองที่น่าทึ่งหลายอย่าง ทว่าหลังจากเรื่องนี้ที่ประสบความสำเร็จก็ไม่อาจสร้างหนังดีๆที่น่าจดจำได้อีกเลย นี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลงานแรกๆมักออกมาดีแต่การไม่มีหนังที่น่าจดจำอีกเลยกับการงานที่ไม่รุ่งโรจน์อาจไม่ใช่เหตุบังเอิญก็เป็นได้


ไม่ใช่ทุกคนที่โดนคำสาปในขณะเดียวกันใช่ว่าจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเสมอไปถ้าสิ่งนั้นไม่เกินคำอธิบายของหลักวิทยาศาสตร์ แต่อย่างหนึ่งที่หาสาเหตุได้ยากแบบที่เราเรียกว่า Poltergeist หรือปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่ข้าวของภายในบ้านเคลื่อนที่หรือย้ายได้เองโดยไม่มีใครจับหรือสัมผัสคงยากที่สรุปว่าเกิดจากอะไร แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นก็มาจากจุดนี้ที่เริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่ไม่ใช่ลับหลังมาแวบๆปล่อยให้คิดไปเองแต่มาต่อหน้าไม่หลบหลีกกลายเป็นเรื่องประหลาดใจสุดแสนมหัศจรรย์กับบ้านของตัวเอง ก็ไม่รู้ทำไมแต่รู้สึกได้กลิ่นอายของพ่อมดเต็มไปหมดตลลอดช่วงแรกของหนังราวกับได้ Steven Spielberg มากำกับยังไงอย่างงั้นจนตัวเองอดฉงนใจไม่ได้ว่าสไตล์"ครอบครัว"ที่เห็นอยู่เกิดจากฝีมือการกำกับของ Tobe Hooper ผู้มีหนังสายโหดระดับขึ้นหิ้งมาเรียบเรียงเรื่องนี้กลายเป็นเด็กน้อยไปเลยทีเดียว(ไม่รู้จะเรียกเซอร์ไพรส์หรือประหลาดใจแต่อย่างน้อยก็ไม่มีฉากโหดเหี้ยมถือเลื้อยไฟฟ้าวิ่งไล่หลังก็แล้วกัน) มาเปิดเรื่องก็เข้าเนื้อหาอย่างรวดเร็วด้วยฉากดูทีวีของหนูน้อยคารอล แอนน์ (Heather O'Rourke) ที่จ้องทีวีราวกับเจอเรื่องน่าเหลือเชื่อและน่าค้นหาเกินกว่าจะเป็นความน่ากลัวท่ามกลางแวดล้อมด้วยแสงสลัวจากจอทีวีที่ไม่มีสัญญาณจากสถานี ที่น่าสนใจคือการเปิดเรื่องด้วยรายการสุดท้ายที่บรรเลงเพลงสรรเสริญเหล่าทหารจนจบจนชวนรู้สึกมีบางอย่างที่ดั้งเดิมอยู่ก่อนทำนองว่ามีประวัติอะไรสักอย่างให้ระลึกถึง กับฉากเปิดทำได้น่าสนทีเดียวหลังจากนั้นจึงตัดไปช่วงการเกริ่นตัวละครในเรื่องที่แสนสุข


โดยส่วนตัวคิดว่าการที่ Steven Spielberg เป็นผู้อำนวยการสร้างไม่ต่างกับที่ตัวเขาเองเป็นผู้กำกับที่ลงมาช่วยเกินกว่าแม้จะติดงาน E.T. the Extra-Terrestrial (1982) อยู่ก็ตาม เพราะสังเกตได้ว่ามีบางสิ่งที่ทั้งสองเรื่องนี้คล้ายคลึงกันนับตั้งแต่ส่วนของครอบครัวอันเป็นลายเซ็นความถนัดอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ครอบครัวเจอผีในขณะที่อีกเรื่องเจอเอลี่ยน วิถีชีวิตในวัยเด็กที่แสนสนุกสนานกับเพื่อนหรือพี่กับน้อง ต่างเป็นครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตาจนยากจะบอกถึงปัญหาที่เกิดเว้นกับเรื่องเหนือธรรมชาติที่  Poltergeist กำลังจะสื่อออกมาถึงความผูกพันของครอบครัวที่ต่อให้เจอเรื่องสุดขนหัวลุกก็ไม่มีทิ้งกัน อันนี้ต้องบอกว่าค่อนข้างชอบในพลังสายสัมพันธ์ครอบครัว ในประเด็นนี้ดีแม้จะไม่ค่อยมีจุดที่ขัดแย้งเพื่อแสดงถึงความตระหนักแต่พอมีในส่วนเรื่องความรัก หน้าที่ ในการเอาใจใส่คนในครอบครัวตลอดเวลาจนลึกๆแล้วน่าจะเป็นแนวครอบครัวไปเลยยังได้แต่ถ้าทำแบบนั้นคงจะผิดคอนเซ็ปต์และการปูพื้นตัวละครก็ช่วยให้เราให้กำลังใจครอบครัวนี้อยู่ลึกๆ สำหรับเรื่องราวปรากฎการณ์ข้าวของเคลื่อนย้ายเองได้เป็นแค่จุดเริ่มต้นระดับเบาที่สุดก่อนจะเพิ่มระดับถึงขั้นรุนแรงจากอัศจรรย์กลายเป็นผวา กระทั่งหนักที่สุดเมื่อต้นไม้หน้าบ้านมีท่าทางแปลกๆจากความคิดของร็อบบี้ (Oliver Robins) ลูกชายคนกลางที่มองอยู่นานในคืนฝนตก โดยพยายามนับเสียงฟ้าร้องตามคำแนะนำของสตีเว่น (Craig T. Nelson) หัวหน้าครอบครัวที่ต้องการให้ลูกชายเอาชนะความกลัวที่ตัวเองสร้างขึ้น ในคืนนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของร็อบบี้คือเสียงฟ้าร้องที่แรกจะหวาดกลัวแต่ก็เริ่มหมดความกลัวลงทีละน้อย กระนั้นก็ยังมีสิ่งรอบๆทำให้ตัวเองไม่ชอบใจในเวลากลางคืนคือตุ๊กตาตัวตลกที่เหมือนจะจ้องร็อบบี้ยังไงอย่างงั้น เท่านั้นยังไม่พอกับต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าต่างนี้แหละที่ทำให้น่ากลัวหนักกว่าเดิมราวกับจ้องจะกินเลือดกินเนื้อทั้งที่ไม่น่ามีอะไร จนเซอร์ไพรส์ต้นไม้ขยับได้และดึงร็อบบี้ไปนอกบ้านอย่างไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้และต้นไม้ต้นนั้นทำท่าจะกินร็อบบี้อีกด้วย แต่โชคช่วยสตีเว่นเข้ามาช่วยดึงร็อบบี้มาได้ทัน ในขณะเดียวกันที่ห้องของคารอล แอนน์ก็เกิดแสงสว่างในตู้เสื้อผ้าและพยายามดูดเธออย่างไม่ลดละก่อนที่ทุกคนจะวิ่งเข้าห้องของคารอล แอนน์เพื่อเช็คว่าทุกคนปลอดภัยก็พบว่ามีเพียงแค่ห้องกับข้าวของที่กองจมอยู่ที่เดียว ไม่มีหนูน้อยคารอล แอนน์แม้แต่ร่องรอยสักนิดเดียว


เสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องที่แบ่งเนื้อเรื่องได้ชัดเจนจากการแบ่งเป็นพาร์ทๆจากครอบครัวธรรรมดาแล้วไปเจอเก้าอี้เคลื่อนที่ได้และพัฒนาไปเรื่อยๆถึงขั้นทำลายข้าวของกับลักพาคนในครอบครัวหายตัวไป สุดท้ายการเจอเรื่องเหนือธรรมชาติที่หาคำตอบด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็ต้องหันไปพึ่งความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เข้าช่วยที่ได้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ดร.เลช (Beatrice Straight) เข้ามาสำรวจโดยรอบของบ้านเพื่อให้ชัวร์ว่าบ้านหลังนี้เจอเรื่องลี้ลับของจริงไม่ใช่การแสร้งทำหรือความเข้าใจผิดคิดว่าโดนผีหลอก อาจจะดูมากเรื่องไปหน่อยทั้งที่เห็นกันชัดว่าครอบครัวนี้โดนหนักแค่ไหนอะไรกันบ้างแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภายในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ ส่วนการจะให้คนอื่นเชื่อต้องมากกว่าคำพูดซึ่งเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีใครเชื่อกันตั้งแต่แรกเป็นทุนเดิม ในส่วนนี้ทำออกมาดูมีเหตุผลดีเพราะก่อนจะปักใจเชื่อต้องสมมติฐานก่อนว่าเป็นเพราะอะไรแม้ทำนองนี้มันควรจะเป็นแนวสืบสวนลึกลับทว่าด้วยการผสมผสานระหว่างหนังผีกับสืบสวนนิดๆช่วยยกระดับน่าสนใจมากขึ้นแบบที่ The Exorcist (1973) ใส่ประเด็นเรื่องวิทยาศาสตร์กับศาสนา ในแง่ยุคสมัยทุกสิ่งต้องพัฒนามาเรื่อยๆเพื่อสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตที่ต้องพึ่งตรรกะการมีเหตุมีผลจึงจะน่าเชื่อถือ ทำนองเดียวกับ Poltergeist หมายถึงการเคลื่อนย้ายได้เองของสิ่งของแต่ถ้าลงลึกกว่านั้นอาจต้องใช้มากกว่าหลักวิทยาศาสตร์ การหาเหตุผลมาอ้างอิงไม่ได้ เรื่องเหนือธรรมชาติ วิญญาณที่ว่าเป็นส่วนของ 21 กรัมที่หายไปของคนตาย สิ่งนี้คืออะไรเราอาจบอกไม่ได้นอกจากความเชื่อ หลังจากที่กลุ่ม ดร.เลช เก็บข้อมูลภายในบ้านก็ต่างเจอเรื่องหลอนคาตาจนต้องเรียกแทนจิน่า บารลอนส์ (Zelda Rubinstein) หมอผีมาช่วยปราบและพาแครอล แอนน์กลับมา


ก่อนจะรู้เห็นเรื่องหลอนๆต้องมีการอัดเก็บบันทึกวีดีโอซึ่งสะท้อนถึงค่านิยมอย่างหนึ่งในสังคมที่เอาไปสู่โลกภายนอกหลายคนอาจมองเป็นเรียลลีตี้บันเทิงเว้นกับคนที่มีส่วนเกี่ยวโดยตรงกับเหตุการณ์ที่รู้ว่าอะไรจริงอะไรปลอม ทั้งนี้ยังสะท้อนถึงประเด็นเรื่องสื่อด้วยจอสี่เหลี่ยมนามว่าทีวีที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนในสังคมอย่างมากโดยเฉพาะการปฏิวัติวงการบันเทิงที่หาชมได้ในจอโดยไม่ต้องเสียแรงออกนอกบ้านเพื่อได้ดูแบบสมัยก่อนตามโรงหนัง ความสามารถที่ไม่สิ้นเปลืองไปไหนมาไหนนี้เป็นการแสดงถึงพฤติกรรมติดอยู่กับบ้านเพราะดูทีวีทั้งวันเนื่องจากมีหลายช่องรายการจนดูได้ไม่มีวันหมด ด้วยการสะท้อนในแง่มุมนี้อาจจะไม่มีนัยยะพอแต่จะเป็นยังไงเมื่อเราเห็นเด็กน้อยที่เดินเข้าหาจอทีวีอย่างไร้เดียงสาต้องหายตัวไปเหลือเพียงเสียงออกมาจากลำโพงทีวี ความร้ายกาจที่ตั้งใจเสียดสีนี้เป็นข้อได้เปรียบที่ต้องการจะบอกถึงการหมกหมุ่นมากเกินไปจนอาจต้องติดอยู่ในทีวี แน่นอนว่าทัศนะคติเกี่ยวโทรทัศน์ดูจะยังไม่หมดแค่นั้นถ้ากล่าวถึงตอนจบจนถึงขั้นถีบส่งออกจากห้องพักไปนอกระเบียงราวกับสิ่งชั่วร้ายที่อย่าได้แม้แต่อยู่ห้องเดียวกันทั้งๆเป็นแค่เครื่องรับคลื่นจอสี่เหลี่ยมที่ทำงานได้เมื่อเสียบปลั๊ก แต่อย่างว่าการเจอเรื่องร้ายๆการจะวางตัวให้ใจเย็นลดอคติลงคงเป็นได้ยาก ทั้งนี้ก็ไม่ถึงขั้นแรงต้องโยนสิ่งนี้ออกจากชีวิตเพราะยังไงเราต้องใช้มัน แต่เชื่อไหมระหว่างการต่อสู้กับผีร้ายในเรื่องที่น่าจะมีความน่ากลัวกลับกลายมีอารมณ์ขันจนน่าแปลกใจและเป็นแบบนั้นเมื่อหมอผีแทนจิน่า บารลอนส์มาถึง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ Zelda Rubinstein เล่นได้เกินความคาดหมายของคนที่เป็นหมอผีทั้งท่าทางวางหมาดว่าตัวเองคือคนเก่งรู้เห็นได้ยินทุกอย่าง การใช้คำพูดที่กัดคนอื่นตลอดเวลา ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนเดียวที่ช่วยได้คงถูกถีบส่งออกนอกประตูตั้งแต่แรกแล้วแน่นอน น่าแปลกที่อารมณ์ขันเชิงตลกร้ายที่ไม่ถึงกับออกเสียงฮาสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ชมได้ทั้งที่สถานการณ์อยู่ในช่วงตึงเครียดแท้ๆ อย่างน้อยก็ทึ่งจริงๆที่อารมณ์ขันสามารถมีได้โดยที่โทนหนังไม่เปลี่ยนแปลงจากเรื่องราวคราวสยองขวัญ


อาจจะดูเอาหลอนชวนขนลุกแต่ไม่ถึงกับต้องตกใจเนื่องจากไม่มีอะไรวับๆแวบๆให้เราจิกผ้าห่มเพราะทุกสิ่งก็เล่นตรงๆไม่แอบซ่อนยิ่งฉากเด็ดที่นับเด็ดมากคือฉากหาของกินมื้อดึกของนักสืบผีที่เหนื่อยจากการเฝ้ามองความผิดปกติภายในบ้านที่คนหนึ่งขอตัวไปหาอะไรกินในตู้เย็นที่ต่อมาได้เนื้อดิบแล้วเอาไปวางบนโต๊ะอาหารแล้วคว้าน่องไก่มาแทะสักคำก่อนจะปิดตู้เย็นแล้วหันไปมองเนื้อที่ตัวเองวางไว้ขยับได้ราวกับมีชีวิตและกลายเป็นว่าเนื้อชิ้นนั้นเกิดการงอกอย่างน่าสยดสยองและต้องช็อคเข้าไปอีกกับน่องไก่ที่อยู่คาปากมีหนอนเต็มไปหมด ด้วยความตกใจจึงวิ่งไปอ้างล้างหน้าเพื่อเช็คสติของตัวเองว่าไม่ได้หลอนไปเอง กระนั้นเรื่องชวนหลอนจะไม่จบเพียงแค่เนื้อกับน่องไก่เท่านั้นเมื่อล้างหน้าเสร็จแสงไฟจากข้างบนก็ส่องมาที่ใบหน้าด้วยความร้อนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำให้ใบหน้าหลุดลอกเลือดเนื้อหลุดกร่อนออกมาให้เห็นถึงกระดูกจากนั้นคือวูบกลายเป็นปกติ ใบหน้าไม่ได้เสียหายหรืออะไรหลุดจากหน้าสักนิดกลายเป็นถูกผีอำที่แรงจนคนชอบกินอะไรตอนค่ำๆต้องงดไปสักระยะเลยทีเดียว หรือจะเป็นการเสียดสีคนที่ชอบทำอะไรดึกๆจนลืมห่วงสุขภาพตนเอง(อันนี้คิดว่าคงไม่ใช่) ฉากดังกล่าวคือฉากที่สยดสยองที่สุดในเรื่องแต่ถ้าให้พูดถึงฉากอื่นๆคือล้ำเทคนิคอย่างมากในเรื่องของเอฟเฟคอย่างวิญญาณเป็นแสงไฟ ต้นไม้ขยับได้ ความสมจริงด้านต่างๆก็ล้วนทำออกมาได้ดี ยิ่งช่วงท้ายเรื่องจัดหนักจัดเต็มอย่างมากสมกับคำ Non-Stop ที่ปกติจะหลอนกรี๊ดแตกแต่เรื่องนี้ผีหลอกจนมันส์ ประทับใจตัวละครใดไม่ได้ถ้าไม่ใช่ไดแอน (JoBeth Williams) เป็นแม่ที่ทุกข์ใจเมื่อลูกน้อยคารอล แอนน์หายตัวไป ในช่วงแรกผู้ชมมองว่าเป็นตัวละครที่อ่อนแอและเสียใจเรื่องลูกแต่รู้ไหมว่าช่วงไคลแม็กซ์ของเรื่องกับการช่วยลูกคือคนที่กล้าหาญที่สุดของเรื่องไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟแค่ไหนก็ผ่านความหนักหน่วงมามากกว่าทุกคนโดยเฉพาะฉากสระน้ำหน้าบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จที่มีแต่ดินที่ถูกฝนจนแฉะและไดแอนก็ลื่นตกลงไปตามด้วยเซอร์ไพรส์กระชากความหลอนเลยทีเดียว(แต่ไม่รู้ทำไมแทนที่จะสยองขวัญดันกลายเป็นรู้สึกมันส์กับการถูกผีหลอก)


ช่วงแรกเป็นการปูตัวละครที่อาจดูช้าไปบ้างแต่การได้ในจุดนี้ช่วยให้เราเห็นความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างเหนียวแน่น ตัวหนังแทบไม่มีข้อเสียอะไรเลยเพราะเก็บรายละเอียดได้หมดไม่มีช่องโหว่เว้นกับความเนิบการเล่าเรื่องที่อาจต้องพิจารณาตามยุคสมัยที่ไม่ได้เน้นความหวือหวารวดเร็วอะไรอย่างที่คิดซึ่งก็แล้วแต่คนจะชอบในจุดนี้ ขณะที่ฉากหลอนขวัญประสาทอันนี้ต้องบอกว่าจัดไม่หนักแต่เต็มที่อย่างมากยิ่งถ้าไคล์แม็กซ์มาถึงเมื่อไรจะพบว่าความต่อเนื่องไม่ได้หยุดที่ช่วยคารอล แอนน์เท่านั้นแต่ยังรวมถึงการโต้กลับของเหล่าผีที่จัดเต็มด้วยความวินาศถึงขั้นบ้านพังเป็นแถบๆกันเลยทีเดียว ก็ไม่รู้จะสยองหรือมันส์ดีนอกจากบอกแค่สนุกอย่างมาก

อีกอย่างที่เกือบลืมไปคือยังการกัดจิกกลุ่มนายทุนหน้าเลือดที่ซื้อที่ดินไปทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่เหมือนจะไม่มีอะไรแต่เนื้อแท้แล้วที่ดินดังกล่าวคือป่าช้าอันเต็มไปด้วยหลุมศพมากมาย ซึ่งการแก้ปัญหาของนายทุนคือต้องย้ายสถานที่ไปที่อื่นทว่าการย้ายเพื่อเคารพศพกลับกลายเป็นเรื่องลบหลู่เนื่องจากย้ายแค่ป้ายหลุมศพโดยลืมไปว่าโลงศพที่อยู่ในดินนั้นยังมีร่างกายของคนที่เสียชีวิตอยู่ด้วย นี้จึงเป็นคำตอบที่ว่าเพราะอะไรทำไมจึงมีวิญญาณอาฆาตรแค้นทั้งที่เป็นบ้านพึ่งสร้างและอยู่ในช่วงตัวอย่างโครงการเสียด้วยซ้ำ การไม่เคารพคนตายที่แม้จะสิ้นชีพไปแล้วก็ใช่ว่าจะไร้ดวงวิญญาณเสมอไปเพราะบางทีการจากโลกไปก็คือการหาความสงบ แล้วจะสงบได้ยังไงในเมื่อคนเป็นมาดูหมิ่นคนตายจนต้องสำแดงฤทธิ์ประท้วงให้ออกไปด้วยความกลัวและน่าสยดสยอง นี้แหละอาจเป็นส่วนหนึ่งของปรากฎการณ์ Poltergeist ที่สร้างความแปลกใจกับพวกเรา ส่วนตัวหนังไม่มีอะไรจะบอกนอกจากแนะนำว่าห้ามพลาดในเมื่อขึ้นหิ้งซะขนาดนี้ก็จัดสักรอบ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)