Geostorm (2017) จีโอสตอร์ม เมฆาถล่มโลก

Geostorm (2017) | จีโอสตอร์ม เมฆาถล่มโลก
Director: Dean Devlina
Genres: Action | Sci-Fi | Thriller
Grade: C+

หนังประเภทภัยพิบัติธรรมชาติจะไม่ค่อยมีอะไรให้เล่าสักเท่าไร จะเน้นไปที่ความวินาศสันตะโรที่ยิ่งยุคสมัยวิชวลเอฟเฟคพัฒนาไปได้แค่ไหนก็ยิ่งมีฉากอลังการมากขึ้นเรื่อยๆ พอมาเรื่องนี้ยิ่งแสดงให้เห็นว่าภัยธรรมชาติเป็นปัญหาระดับโลกที่ไม่แพ้ The Day After Tomorrow (2004) หรือ 2012 (2009) หรือ San Andreas (2015) และอีกหลายเรื่องที่ธรรมชาติได้สร้างความทุกข์ร้อนแก่ชาวโลก การแก้ไขจะเน้นไปที่ปลายเหตุด้วยการช่วยเหลือหรืออพยพผู้คน ซึ่งการจะไปสู้กับธรรมชาติ เช่น สึนามิ ทอร์นาโด พายุฝน ภูเขาไฟระเบิด ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องนี้ทำได้นะเออ


การแก้ไขด้วยวิทยาการที่ล้ำสมัยหรือดัตช์บอย (Dutch Boy) เทคโนโลยีจากดาวเทียมที่หยุดสิ่งที่น่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะทำให้พายุหายไปหรือคลื่นยักษ์สงบลงได้ทันที สามารถเปลี่ยนสภาพบรรยากาศที่ร้อนไปให้เย็นลง ไม่เว้นแม้แต่การปรับฤดูกาลก็ทำได้หมด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากฝีมือของ เจค ลอวสัน (Gerard Butler) ผู้ซึ่งประดิษฐ์คิดค้นจนโลกทั้งใบหลายห่วงเรื่องภัยธรรมชาติที่ไม่อาจควบคุมได้ จนกระทั่งสิ่งประดิษฐ์ของเจคได้ทำงานผิดพลาด ทำให้ต้องร่วมมือกับ แม็กซ์ (Jim Sturgess) น้องชายของเขาเพื่อหาต้นตอผู้อยู่เบื้องหลังแผนล้างโลกในครั้งนี้

โม้ได้โม้อีก แม้จะไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรแต่แนวคิดควบคุมธรรมชาติเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำให้อยู่ในขอบเขตได้ หลายต่อหลายครั้งในชีวิตจริงต้องสูญเสียไปกับภัยธรรมชาติตั้งไม่รู้เท่าไร แต่ถ้าควบคุมและหยุดปัญหาที่เกิดได้จะทำให้ทุกคนอยู่อย่างสงบ ประเด็นคือจะจริงหรือเปล่าถ้าไปหยุดธรรมชาติไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ให้คำตอบที่ว่าไม่มีทางเป็นไปได้เพราะสุดท้ายธรรมชาติของคนยังมีอยู่ ถึงจะหยุดโลกแต่ไม่อาจหยุดความคิดของคนได้


ทีแรกคิดว่าเป็นหนังเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ แต่มานั่งดูจริงๆจะพบว่าเป็นส่วนประกอบเสริมความอลังการ ที่เน้นจริงคือการสืบสวนหาว่าใครคือผู้บ่งการคิดล้างโลกกันแน่ ซึ่งการหาตัวการค่อนข้างช้าและเรื่อยๆพอสมควร พอจะมารู้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังยิ่งรู้สึกผิดหวังไปใหญ่เพราะดูธรรมดาทั้งการเฉลยและเหตุผลที่ฟังดูไม่สมเหตุสมผล ไหนๆก็เฉลยแล้วน่าจะหาความคิดที่ฟังดูบ้าบิ่นสมกับตัวร้ายที่ล้างโลกให้ดูอลังการสักหน่อย พอมาบอกความจริงว่าทำไปทำไมยิ่งรู้สึกเป็นการลงทุนที่สูงเกินเหตุ มันจะต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ

แต่หนังไม่ได้ดูบอบบางพล็อตเบาหวิวเพราะยังสอดแทรกความสัมพันธ์พี่น้องที่ไม่ลงรอยต่อกัน ซึ่งเหตุผลหลักๆคือการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน อีกคนคือพี่ไม่ได้แปลว่าจะต้องอยู่สูงกว่า ขณะเดียวกันคนน้องไม่ได้แปลว่าอ่อนแอเสมอไป ซึ่งการไม่เข้าใจต่อกันทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่หากเปิดใจยอมรับกันและกันจะกลายเป็นทีมเวิร์คที่มีสามัคคี ผิดก็ว่ากันผิด ถูกก็ว่ากันถูก ไม่มีใครข่มกันและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข


สำหรับ Gerard Butler แสดงเป็นบทคนพี่สมกับคาแรกเตอร์ ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ขณะที่ Jim Sturgess เป็นคนน้อง แต่ตำแหน่งอยู่สูงกว่าและไม่ค่อยยอมรับคนพี่เพราะมุทะลุเกินไป ถ้าเรื่องใครพี่ใครน้องแสดงออกชัดเจน แต่โดยรวมไม่ค่อยแสดงฝีมืออะไรมากเท่าไร ที่รู้สึกโดดเด่นหน่อยคือ Abbie Cornish ในบท ซาราห์ วิลสัน องครักษ์ประธานาธิบดี และยังเป็นคนรักลับๆของแม็กซ์ที่มาขโมยแย่งซีนตอนช่วงท้ายด้วยฉากขับรถซิ่งฝ่าดงพายุสายฟ้า และอีกคนคือ Zazie Beetz ในบท ซาซี บีตซ์ เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ผู้ช่วยของแม็กซ์ เป็นตัวปล่อยมุขที่เหมือนจะตลกแต่ไม่ฮา อาศัยว่าคาแรกเตอร์พากวนสร้างสีสันระดับหนึ่ง

Geostorm มาจัดหนักจัดเต็มในช่วงท้ายด้วยมหันตภัยที่งัดฉากใหญ่ถล่มเมือง แต่ถามว่าความยิ่งใหญ่ที่นำเสนอนั้นอลังการเพียงใด คำตอบคงไม่รู้สึกไม่รู้สาเท่าไรนัก อาจเนื่องด้วยมีให้เห็นบ่อยจนไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับหนังภัยพิบัติยุคหลังๆต่อให้ CGI จะใส่ไม่ยั้งก็ตาม กระนั้นข้อดีของหนังเรื่องนี้คือการพยายามหาหนทางใหม่ๆที่ไม่จำเจ โดยเฉพาะการเพิ่มฉากในอวกาศช่วยให้ดูมีลูกเล่นมีเรื่องน่าตื่นเต้นตลอดเวลา ฉะนั้นไม่ว่าจะบนโลกหรือนอกโลกก็มีให้ครบเหมือนดูหนังที่จับยำหนังแต่ละเรื่องมารวมอยู่ที่เดียวกันโดยที่ไม่รู้ว่าจะออกมาลงตัวแบบนี้ เสียดายที่ความมันส์มาแค่ช่วงสุดท้ายของหนังที่เครื่องติดก็ลุยกันบนโลกไปถึงนอกโลกเลยทีเดียว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)