Dragon Tiger Gate (2006) ปะฉะดะ คนเหนือยุทธ

Dragon Tiger Gate (2006)
ปะฉะดะ คนเหนือยุทธ
Director: Wilson Yip
Genres: Action | Fantasy | Thriller

เคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องสำนักพยัคฆ์มังกรของ Tony Wong กันหรือไม่ สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านไม่ต้องห่วงว่าจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะตลอดเรื่องราวจะมีการปูอดีตของแต่ละตัวละครให้ฟังจนเข้าใจถึงที่มาที่ไปได้อย่างดี ส่วนความแตกต่างระหว่างฉบับหนังการ์ตูนกับหนังนั้นค่อนข้างจะแตกต่างกันไปบ้างให้เหมาะสมกับการเป็นฉบับหนัง แต่ทั้งนี้ไม่หมายความว่าจะไม่ทิ้งเรื่องราวเก่าๆเอาไว้เพียงแค่หยิบยกในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นๆมาใช้เท่านั้นเอง ฉะนั้นสามารถรับชมได้เลยโดยไม่ต้องคิดมากว่าจะไม่เข้าใจในเนื้อหาหลัก


โดยหลักๆแล้วเนื้อเรื่องจะพากันไปเป็นทอดๆแต่นี่ขอฮุบเฉพาะในส่วนเรื่องราวลัทธโลซาแทน ประมาณเริ่มเรื่องที่การแตกแยกของสองพี่น้องต่างมารดาหวังเสี่ยวหลง (Donnie Yen) ฝ่ายพี่กับหวังเสียวหู่ (Nicholas Tse) ผู้น้อง ซึ่งฝ่ายที่จากไปคือหวังเสี่ยวหลง เนื่องจากเสียวหู่เป็นลูกชายของเจ้าสำนัก และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุขัดใจกันแม่ของเสี่ยวหลงจึงจำเป็นต้องพาลูกไปจากสำนักเพื่อไม่เกิดรอยร้าวปัญหากับแม่ของเสียวหู่ ในขณะที่เสียวหู่ต้องทำให้หน้าที่ดูแลสำนักพยัคฆ์มังกรต่อไปในฐานะลูกศิษย์อาจารย์หวังเจี้ยนหลง (Wah Yuen) ที่เป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อมาในปัจจุบัน ทางฝั่งเสี่ยวหลงต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างเดี่ยวดายแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่ถึงกระนั้นเสี่ยวหลงและเสียวหู่ก็ยังคงติดต่อกันอยู่ผ่านความสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดในวัยเด็ก ต่อมาได้เกิดเหตุไฟไหม้บ้านของหวังเสี่ยวหลงทำให้แม่ตายในกองเพลิง แต่เสี่ยวหลงรอดกลับมาและถูกหม่าคุน (Kuan Tai Chen) หัวหน้าแก๊งมาเฟียรับเลี้ยงเอาไว้ในฐานะลูกบุญธรรม และอีกตำแหน่งหนึ่งในฐานะบอดี้การ์ดส่วนตัวที่ตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมา เมื่อได้อยู่กับหม่าคุนก็ได้รับการฝึกวิชาป้องกันตัวอย่างดีเยี่ยม ไม่ใช่เพื่อป้องกันแค่หม่าคุนเท่านั้น แต่ต้องดูแลปกป้องหม่าเสี่ยวหลิง (Jie Dong) ลูกสาวของหม่าคุนอีกด้วย ซึ่งเสี่ยวหลงได้ปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังเด็ดขาด นั่นเองที่ทำให้สองพี่น้องเสี่ยวหลงและเสียวหู่ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย จะเหลือเพียงจี้หยกติดต่อของทั้งสองที่ถูกแบ่งครึ่งเอาไว้เท่านั้นที่แสดงความเป็นพี่น้องกันได้ แต่เมื่อไรล่ะที่จะได้เจอกันอีกครั้ง

เวลาได้ล่วงเลยไปต่างฝ่ายต่างเติบโตขึ้น เสียวหู่ได้มาภัตตาคารแห่งหนึ่งกับพ้องเพื่อนแต่ก็เกิดเรื่องราวเข้าจนได้ เพราะเสียวหู่เห็นคนที่อ่อนแอกว่าถูกรังแกไม่ไหวจึงโชว์ท่าเตะพิชิตมังกรจนเกิดเป็นว่าไปพังพื้นข้างบนเป็นรู และเป็นความบังเอิญที่จังหวะนั้นหม่าคุนนั้นทำการค้าอยู่กับพรรคโรซา โดยลั่วซา (Xiao Ran Li) สมุนคนสนิทชิบูมิ (Yu Kang) หัวหน้าพรรคโรซากำลังทำสัญญานำเอาป้ายทองมาให้หม่าคุนเป็นการแสดงว่าทั้งคู่ทำการค้าร่วมกัน และนั่นเองที่เป็นเหตุแห่งความบังเอิญเมื่อป้ายทองได้ตกตามรูและจังหวะพอดีเสียวหู่ก็เป็นฝ่ายถูกเข้าใจผิดหาว่าขโมยไป ทำให้เสียวหู่ต้องแสดงฝีมือกำราบกันหลายยก และที่นี่ทำให้เขาได้พบกับเสี่ยวหลงพี่ชายที่พลัดพรากจากกันไปอีกครั้ง แต่เรื่องราวไม่จบเมื่อป้ายทองยังหายไป จนเกิดเรื่องเกิดราวตามล่าป้ายทองทำให้เสี่ยวหลงกับเสียวหู่ได้เจอกันอีกครั้งพร้อมกับสัญลักษณ์จี้หยกแสดงความเป็นพี่น้อง ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ต่างได้รู้แล้วว่าต่างเป็นพี่น้องกัน ระหว่างที่ฟัดกันไปทั่วก็ได้พบกับสือเฮยหลง (Shawn Yue) หนุ่มผู้มีฝีมือในการใ้ช้กระบองคู่ และพอได้ยินเกี่ยวกับสำนักพยัคฆ์มังกรจึงคิดสนใจอยากขอตัวเข้าไปเป็นศิษย์ด้วยคน แต่การกระทำของเสียวหู่ไม่สามารถปล่อยไปเฉยๆได้จึงงานเข้า ทีนี่เรื่องยาวเลย


เพื่อให้สนิทสนมกับตัวละครหลักมากขึ้นจะขอแนะนำเกริ่นนิสัยพร้อมกับตัวนักแสดงไปในตัว เริ่มจากตัวหลักหวังเสี่ยวหลง-เป็นพี่ของหวังเสียวหู่ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาด้วยกัน แต่ก็เติบโตมาด้วยกัน หลังเกิดเหตุจำต้องพลัดพรากจากกันนานแสนนาน จนสุดท้ายได้ไปเติบโตในแก๊งมาเฟีย เป็นคนท่าทางเย็นแต่ใจร้อนได้ทุกเมื่อ ท่าทางขรึมๆ พูดน้อยต่อยหนัก รักคุณธรรม รักษาสัญญา ความสามารถใช้ฝ่ามือพิชิตมังกร เล่นโดยนักแสดง Donnie Yen ที่โดดเด่นอย่างมากทางด้านคิวบู๊ที่ฉะกันอย่างเต็มไม้เต็มมือแถมยังมีปมประเด็นต่างในเรื่องช่วยให้ตัวละครมีมิติเชิงลึก ซึ่งสามารถเรียกสีหน้าอาการออกมาได้ดี

แต่ที่คิดว่าเสียจนน่าบกพร่องคืออายุของตัวนักแสดงเองที่ถ้าไม่จัดทรงผมบังหน้าบังตาสักข้างหนึ่งเพื่อปกปิดรอยย่นล่ะก็คงไม่มีทางเชื่อแน่ๆว่าเป็นพี่ชายของหวังเสียวหู่ ด้วยอายุอานามของ Donnie Yen ตอนแสดงเรื่องนี้ก็ประมาณ 40 กว่าปีได้แล้ว แต่ต้องมาเล่นเป็นหนุ่มอายุ 20 ปีนิดๆนี่ขอบอกว่าทำใจดูลำบากนิดนึงว่าจะเชื่อให้เป็นหน้าแบบนั้นจริงๆได้ ก็ใช่ว่าจะใช้ไม่ได้เลยนะ เพราะหน้าตาอาจไม่ค่อยเข้าแต่ทีมงานเข้าเช็ทมาดีจึงหยวนๆกันไปบ้าง ส่วนคิวบู๊เป็นไปอย่างที่บอกคือโดดเด่น เป็นแนวถนัดของเจ้าตัวอยู่แล้วจึงได้ใจไปกับฉากฟัดที่มันส์ได้ที่


หวังเสียวหู่-น้องชายของหวังเสี่ยวหลงที่ตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลสำนักพยัคฆ์มังกรในฐานะศิษย์อันดับต้นๆ ต่อหน้าอาจดูเป็นหนุ่มวัยรุ่นไร้เดียงสาขี้เล่น แต่เบื้องหลังเป็นยอดฝีมือรักคุณธรรม วู่วามในบางอารมณ์ รักพวกพ้อง แอบหลงรักหม่าเสี่ยวหลิงที่พบกันโดยบังเอิญก่อนจะพบกันอีกครั้งหลังเกิดเรื่อง ความสามารถถนัดเพลงเตะพิชิตมังกร เล่นโดยนักแสดง Nicholas Tse ที่คิดว่ารายนี้เหมาะด้านคาแรกเตอร์กับตัวเองที่ต้องหน้าแลหนุ่มๆใจร้อน ซึ่งทำออกมาได้ดีตามบทบาทของตัวเอง แถมยังวาดลวดลายเพลงเตะได้อย่างมีสไตล์ที่ต้องขาแข็งแรง กับตัวละครนี้ไม่ค่อยมีอะไรจะติมาก

สือเฮยหลง-ชายหนุ่มที่บังเอิญเจอกับหวังเสียวหู่เพื่อร่วมจัดการสมุนพรรคโรซาแบบไม่ตั้งใจจนได้มิตรร่วมสหาย พอรู้ว่าหวังเสียวหู่เป็นศิษย์ของสำนักพยัคฆ์มังกรจึงอยากขอเข้าร่วมเป็นศิษย์ด้วยคน มีความทะนงในตัวสูง ขี้อวดว่าตัวเองเก่งกาจถนัดไม้กระบองสองท่อน เห้นความถูกต้องเป็นหลัก และยังเป็นวิชายูโดอีกด้วย นับว่ามีทักษะในตัวเองไม่น้อย เล่นโดยนักแสดง Shawn Yue ที่เรียกว่าโดดเด่นอีกคนในการแสดงที่ทำให้เตะตาผู้ชมได้จากสายตาที่แอบขี้เล่นในตัว รายนี้ไม่มีอะไรมากเพราะเหมาะสมพอกับ Nicholas Tse ที่เป็นหวังเสียวหู่ จะติดก็แค่หวังเสี่ยวหลงที่แลแอบดูเป็นผู้ใหญ่กว่าใครเพื่อน


เข้าเรื่องกันดีกว่ากับ Dragon Tiger Gate แม้จะดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนสำนักพยัคฆ์มังกรให้ดำเนินเรื่องในส่วนของตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีกลิ่นอายแบบฉบับการ์ตูนที่เห็นได้จากฉากแอ็คชั่นกำลังภายในในหลายๆฉากที่โดดเด่น มีมุมมองใหม่ และพีถีพีถันในตัวเองในจังหวะต่างๆที่เก็บรายละเอียดได้อย่างแปลกตา สำหรับคอหนังจีนอาจเห็นมาเยอะกับการต่อสู้ด้วยกำลังภายใน แต่นี่ขอบอกก่อนว่าเป็นความสนุกที่แตกต่างกันออกไปตรงที่หนักไปทางฝีไม้ลายมือด้วยกังฟูล้วนๆ การจะเห็นโชว์ลมปราณสะท้านฟ้าอะไรนั้นหาไม่ได้เลย ก็นับว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ไม่ทำให้ดูโอว่อร์เกินไป ด้วยลีลาการแอ็คชั่นจะมีมุมมองที่เด่นชัดถึงตัวละครที่มากับคิวบู๊อันแสนสะดุดตา อาจทีอาจจะเว่อร์ไปบ้างก็เพราะดัดแปลงมาจากการ์ตูน แต่ถ้าคิดในแง่ของการ์ตูนดัดแปลงมาเป็นหนังจะรู้ว่ามีการแสดงความเคารพในต้นฉบับกำลังภายในจีนไม่น้อย ทั้งลีลา การจัดคิว จึงเป็นจินตนาการความสนุกที่สามารถวาดเป็นลายเส้นให้อ่านได้แบบไม่งงหรือมั่วในฉากต่อสู้ตะลุมบอน และเพราะความเคารพในฉบับการ์ตูนนี่เองที่ทำให้ Dragon Tiger Gate เป็นหนังแอ็คชั่นกำลังภายในที่ดูสนุกอย่างน่าประหลาดกับความสดใหม่ ดังนั้นการจะคาดหวังว่าจะมาดูเพื่อเอามันส์ๆไม่เป็นที่ผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งตลอดทั้งเรื่องจะโชว์ลีลากันเป็นว่าเล่นทั้งเพลงเตะ ฝ่ามือ กระบองกันอย่างจุใจ รวมถึงจังหวะโทนที่ให้ความหนักแน่นระหว่างการต่อสู้ที่รับรู้สึกได้ถึงความแรงกระแทกการเตะต่อยเป็นอย่างดี เอาเป็นว่าแอ็คชั่นคือของดีสำหรับเรื่องนี้ที่ไม่ใฃ่ปัญหา


ถึงจะมีการปูพื้นเรื่องราวเป็นอย่างดีแล้วก็จริง ทว่าการดำเนินเรื่องยังขาดการแจกจ่ายบทที่พอประมาณในแต่ละตัวละครที่มากมายจนผลลัพธ์ที่ได้ไม่ชวนให้ลึกซึ้งเต็มที่ หรือประทับในอารมณ์นั้นๆได้แบบเข้าถึงตัวละครอย่างเต็มเปี่ยม เนื่องจากถ้าแยกชื่อออกมาเป็นตัวเป็นตนออกจากกลุ่มจะเห็นว่าตัวละครแต่ละตัวล้วนมีเรื่องมีราวเป็นของตัวเองอยู่ไม่ใช่น้อย ดังนั้นการแจกจ่ายบทบาทให้ออกมาดูมีเสน่ห์เป็นที่น่าจดจำจึงทำได้ยากพอตัว บางทีถ้าเกิด Dragon Tiger Gate ถูกแบ่งออกเป็นตอนๆเป็นซี่รีย์ไปเลยอาจจะสนุกอย่างมากกับมุมมองมิติของแต่ละตัวละครที่มีทั้งปมเด่นปมด้อย แต่ถึงงั้นการดำเนินเรื่องได้พยายามแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายออกจากกันเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อไม่ให้ลำบากเวลาเลือกดำเนินเรื่องเฉพาะตัวละครอย่างช่วงแรกที่ระดมเสี่ยวหลง เสียวหู่ พรรคโรซากันมาครบเครื่องก่อนจะแยกประเด็นต่างๆลงไปในกลางเรื่องจนท้ายสุดจะเหลือตัวละครหลักจริงๆที่จะสู้กัน ซึ่งเป็นใครที่เหลือคงไม่ต้องบอก จะว่าประเด็นเนื้อหานั้นยังดูแผ่วในหลายๆจุดจนเกือบทำเองไม่รอดเนื่องจากการขาดเวลาให้ผู้ชมได้ซึมซับ อย่างเช่นประเด็นพี่น้องที่พลัดพรากจากกันที่พอหลังจากได้รู้ว่าใครคือใครกลับเมินเฉยในอารมณ์ปลื้มดีใจอันน่าจะเกิดจากหนังได้ แต่ก็จริงที่ว่าอารมณ์ของทั้งสองนั้นการแสดงดีใจมันช้าไปตั้งแต่ทั้งคู่สู้กันตั้งแต่ต้นเรื่อง และที่น่าสนใจในเรื่องมากที่สุดคือเสี่ยวหลงที่เกิดเป็นว่าเป็นตัวละครมีปมประเด็นกับลั่วซาที่ดูจะไม่ยอมสนิทอย่างมีเยื่อใย เท่าที่ผู้ชมรับรู้ได้คือลั่วซาเป็นตัวร้ายที่กำลังใช้เสน่ห์ของตัวเองหลอกให้เสี่ยวหลงให้หลงรักปลักใจ แต่ด้วยเสี่ยวหลงเป็นคนอารมณ์เมินเฉย ลั่วซาจึงไม่มีโอกาสได้ใจไปง่ายๆ แต่ยิ่งผู้ชมเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งรับรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไปเพราะลั่วซารักเสี่ยวหลงมาก มากจนยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยให้เสี่ยวหลงมีชีวิตอยู่ต่อไป ยังจำกันได้ไหมว่าตอนที่เสี่ยวหลงบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับสองปีศาจลูกสมุนของชิบูมินั้นความจริงเสี่ยวหลงน่าไม่รอด


ทว่าด้วยความรักของลั่วซาจึงยอมเสี่ยงไปขอน้ำโสมรักษาบาดแผลจากชิบูมิจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นค่าตอบแทน ซึ่งผลลัพธ์มีอยู่สองทางคือใช้กับตัวเองหรือให้กับเสี่ยวหลง ลั่วซาตัดสินใจเลือกช่วยเสี่ยวหลงแทนเพราะรัก ทางด้านเสี่ยวหลงที่บาดเจ็บก็รับรู้ได้ถึงความรักของลั่วซาที่มีอยู่จริงจนนึกโทษตัวเองอยู่เหมือนกันว่าที่แล้วมาทำไมตัวเองถึงได้เมินเฉยชาขนาดนั้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผูกเรื่องจับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ออกมาจนลึกซึ้งเต็มอิ่มจะหลายเป็นเรื่องเศร้าของทั้งสองไปโดยปริยาย และกลายเป็นจุดแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมรับความเจ็บปวดไปพร้อมกับเสี่ยวหลงได้ดี

ถ้าผู้ชมดูจบอาจจะยกให้กับเสี่ยวหลงเป็นพระเอกเบอร์หนึ่งของเรื่องไป แต่อย่าลืมว่าพระเอกของเรื่องจริงมีอยู่ 3 คนด้วยกัน ที่เหลืออีกสองคือเสียวหู่กับสือเฮยหลง ถึงทั้งคู่จะมีเอกลักษณ์เนื้อเรื่องของตัวเองด้อยกว่าเสี่ยวหลงก็ตาม ถ้าเกิดขาดตัวละครดังกล่าวไปเนื้อเรื่องคงไร้เหตุไร้ผลและคงจืดชืดสนิท สำหรับเสียวหู่คือน้องของเสี่ยวหลงที่บังเอิญเกิดปัญหากับพรรคโรซาจนร้อนถึงอาจารย์เจี้ยนหลงเป็นเหตุให้ต้องปะทะชิบูมิแล้วเกิดเป็นว่าคนที่พ่ายแพ้คืออาจารย์เจี้ยนหลงซะแทน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นความแค้นที่ทั้งเสียวหู่กับสือเฮยหลงต้องแก้แค้นเช่นเดียวกับเสี่ยวหลงที่เมื่อรู้ว่ายังมีน้องอยู่จึงอยากกลับตัวกลับใจไปหาสำนัก แต่เกิดเรื่องขึ้นทำให้จากดีใจกลับตรงข้ามเป็นความแค้นซะแทน ในด้านประเด็นหลักๆของสไตล์หนังจีนยังคงเข้าพล็อตเดิมๆคือการแก้แค้น แม้ว่าจะเก่ามานานมากแล้วกับเรื่องเช่นนี้แต่แปลกตรงไหนที่เราเห็นประจำจนชินตา ที่เปลี่ยนได้คือเนื้อเรื่องปลีกย่อย ตัวละคร และฉากแอ็คชั่นกำลังภายในที่เปลี่ยนจากโรงเตี้ยมมาเป็นภัตตาคารตามฉบับเวลาปัจจุบัน กลับมาที่เรื่องของเสียวหู่ที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ใจรักคุณธรรมเห็นคนอื่นถูกรังแกบางทีอาจไม่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ยังดีที่ได้เจอญาติพี่น้องตัวเอง รวมถึงการพิสูจน์ในหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากเสียวหู่เจอพี่ของตัวเองหลายๆสิ่งได้เปลี่ยนตามไป เริ่มจากใจของเสี่ยวหลงที่ไม่อยากทำงานให้หม่าคุนต่อไปเพราะอย่ากกลับสำนักพยัคฆ์มังกรแต่อีกใจอยากดูแลหม่าคุนต่อไปในฐานะพ่อบุญธรรมและเสี่ยวหลิงที่เป็นดังน้องตัวเอง แม้เสียวหู่จะเป็นตัวละครที่มากบทมากหน้าตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบก็ตามทีก็ใช่ว่าจะเป็นที่น่าจดจำมากที่สุด เนื่องจากขาดความเอาใจใส่เรื่องมิติจนเห็นได้ว่าในหมู่ 3 คนหลักได้แก่ เสี่ยวหลง เสียวหู่ และสือเฮยหลง มีเพียงเสียวหู่เท่านั้นที่ไม่มีเรื่องของตัวเองพอจะยกระดับตัวเองให้มีเสน่ห์หรือเอกลักษณ์ของตัวเอง นอกจากจะเป็นเรื่องความรักกับเสี่ยวหลิงที่มาแค่ผ่านๆเอาน้ำจิ้มเท่านั้น


กับสือเฮยหลงถือเป็นเอกลักษณ์ของเรื่องที่น่าชื่นชมในวิถีตัวเอง เริ่มจากนิสัยในข้อเสียของตัวเองที่ทะนงตนสูงเกินไป อวดดีไม่ดูผู้ใหญ่จนขอประลองฝีมือกับอาจารย์เจี้ยนหลงเพราะคิดว่าตัวเองแน่ แต่สุดท้ายต้องแพ่อนาถด้วยอาวุธของอาจารย์เจี้ยนหลงที่ใช้รองเท้าแตะเพียงข้างเดียว นับแต่นั้นมาความอวดดีทะนงตนจึงถูกละทิ้งออกจากจิตใจไป แล้วสัญญาว่าจะไม่โกหกเรื่องแผลเป็นบนใบหน้า ใช่แล้วแผลตรงแก้มที่ในเรื่องบอกว่าต่อสู้กับคนที่ใช้ดาบ ทว่าความจริงคือไม่มีการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น เพราะความจริงแผลนั้นเกิดจากการกระทำของตัวเองที่ตั้งใจสร้างแผลบนใบหน้าเพื่อให้ทุกคนที่มองรู้สึกน่าเกรงขาม ด้วยความที่กลายเป็นตัวละครมีปมและมีเรื่องมีราวเป็นของตัวเองจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะทางของตัวเองอยู่ไม่น้อย ซึ่งหลายๆคนคงจะจำฉากปะทะอาจารย์เจี้ยนหลงได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือเรื่องอาวุธกระบองสั้นคู่ที่วาดลวดลายการเหวี่ยงไปมาได้อย่างดี ทั้งยังมีนิสัยอารมณ์ขันจึงไม่เป็นที่น่าเบื่อในฐานะคนนอกเนื้อเรื่องที่อันที่จริงหากไม่ใช่ว่าไปเจอเสียวหู่จนมาเจอกับสำนักพยัคฆ์มังกรคงไม่มีคนชื่อสือเฮยหลงในเรื่องแน่ ไม่ใช่ว่าจะดูไร้วิชาเสมอไปเพราะในท้ายเรื่องได้วิชาใหม่หลังจากแพ้ชิบูมิแบบหมดทางกับวิชาระฆังทองที่สู้กับชิบูมิได้อย่างสมหน้าสมเนื้อ

Dragon Tiger Gate มีความบกพร่องในเรื่องการแจกจ่ายบทให้ออกมาเต็มที่ สังเกตได้ว่าในบางช่วงจะรู้สึกว่ามาดีกำลังใช้ได้ พอมาอีกช่วงหนึ่งดันดำเนินเรื่องเร็วไปจนน่าใจหายแบบไร้อารมณ์ร่วม ทั้งยังหาเหตุผลไม่ค่อยได้ด้วยว่าทำไมหม่าคุนถึงขอยกเลิกการค้าขายกับพรรคโรซาด้วยการนำป้ายไปคืน ทว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่พอจะให้ขอคิดที่ดีมากๆเกี่ยวกับทางโลกคือฉากที่เสี่ยวหลิงไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ชื่อฉี แต่เกิดไม่ใช่ของง่ายที่จะฝ่าบททดสอบไปได้ เพราะอย่างแรกคือต้องไปเก็บลูกประคำที่ร่วงลงบันไดมา ทีแรกแค่ลูกเดียวพอเสี่ยวหลิงเก็บมาได้กลับมีอีกนับร้อยกระดอนออกมาให้บอกให้เก็บลูกประคำทั้งหมด สายตาแรกที่รับชมได้คือมันอะไรกันล่ะเนี้ย เป็นคนธรรมดารับรองว่าใจท้อมากๆแน่ แต่ไม่เลยกับเสี่ยวหลิงที่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บลูกประคำให้ครบทุกเม็ดเพื่อให้ให้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเสียวหู่กับสือเฮยหลง พอเสี่ยวหลิงตั้งหน้าตั้งตาเก็บมาครบทุกเม็ดกลับต้องทำลูกประคำหล่นไปข้างล่างเม็ดหนึ่ง แล้วท่านฉีบอกว่า"จะยอมช่วยเพื่อนๆของเธอให้ถ้ายอมกระโดดลงไปข้างล่าง" เสี่ยวหลิงจึงยอมโดดไปข้างล่างก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่บันไดไม่ใช่ตึกสูงที่ตัวเองกระโดดลงมาพร้อมกับในมือที่กำลูกประคำเม็ดแรกที่เก็บเอาไว้ สาระคือการเสียสละด้วยความใจจริงของเสี่ยวหลิงที่จะชวยเสียวหู่กับสือเฮยหลง แต่การจะยอมช่วยได้นั้นต้องรับรู้ถึงความตั้งใจก่อนว่ามาเพื่อช่วยจริงๆ การที่ยอมเก็บลูกประคำทั้งหมดถือเป็นแค่บททดสอบอย่างแรกที่ทดสอบความอดทน แต่อย่างหลังคือการทดสอบว่าจะใจกล้าพอหรือไม่ที่จะยอมเสียสละเพื่อคนอื่นแม้กระทั่งชีวิต อีกทางหนึ่งการที่เสี่ยวหลิงเห็นลูกประคำมากมายที่กระเด็นมาหายไปจนเหลือเพียวลูกเดียวเป็นการบ่งบอกถึงการอย่ายึดติดอยู่กับทางโลกมากนัก เพราะสุดท้ายชีวิตเกิดมาหนึ่งย่อมต้องไปเพียงแค่หนึ่ง


โดยรวม Dragon Tiger Gate มีฉากแอ็คชั่นกำลังภายในอันแสนสุดสะดุดตา แปลกแหวกแนวในเรื่องการนำเสนอ มีความดุดันในคิวบู๊ที่ทำได้ไม่เลว จะว่าเรื่องแอ็คชั่นจัดกันเต็มที่อยู่แล้วเพื่อเอาใจแฟนการ์ตูน อย่างฉากในภัตตาคารที่เรียกน้ำย่อยอย่างเมามันส์กับลีลาเพลงเตะ ส่วนด้านเนื้อเรื่องอาจจะหลวมๆว่างๆไร้เหตุผลที่ชัดเจนมารองรับ แต่ยังมีเนื้อเรื่องเดินๆตามไปแบบธรรมชาติชวนน่าติดตามเป็นพักๆ ที่น่าเสียดายสุดเห็นจะเป็นชิบูมิที่ไร้มิติอย่างหนัก มาแค่ให้รู้ว่าเป็นตัวร้ายมีฝีมือเก่งกาจเท่านั้น ส่วนจะยังไงอะไรนั้นแทบไม่รู้เรื่องเลย เพราะตลอดแทบทั้งเรื่องไม่ได้ปรากฏให้เห็นมากนักจะมาแค่ช่วงท้ายๆที่สู้กันแล้ว สรุปว่าด้านเนื้อเรื่องยังไม่ค่อยดีพอจะอธิบายในหลายๆประเด็นได้ดีพอ ซ้ำยังขาดมิติตัวละครชวนลึกซึ้ง แต่ถ้าถามว่าแอ็คชั่นมีข้อเสียยังไงบ้าง อันนี้ตอบได้ว่า"ทำให้คุณเสียเวลาดูฉากสนุกๆมันส์ๆได้ไงล่ะ"

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)