Trollhunter (2010) โทรล ฮันเตอร์ คนล่ายักษ์

Trollhunter (2010) | โทรล ฮันเตอร์ คนล่ายักษ์
Director: Andre Ovredal
Genres: Drama | Fantasy | Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: A-

ขอไปไกลตะลุยเมืองหนาวถึงประเทศนอร์เวย์พร้อมกับกระแสท่วมท้นเป็นที่ฮือฮาแม้แต่เสียงวิจารณ์ยังให้บวกแบบดีเยี่ยม พร้อมกับการรังสรรค์ตำนานโทรลในรูปแบบใหม่ที่น่าตื่นเต้น


มาอีกแล้วกับหนังแนวเรียลลิตี้ที่โยกซ้ายเหวี่ยงขวาชวนมึนกับภารกิจล่าโทรล โดย Trollhunter คือหนังแนวเรียลลิตี้เรื่องแรกจากประเทศนอร์เวย์ที่ประสบความสำเร็จในบ้านแบบดีเยี่ยมถึงที่สุด ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นประกอบด้วยโทมัส (Glenn Erland Tosterud) , โจแฮนนา (Johanna Morck) และคาล (Tomas Alf Larsen) ที่มาหาความจริงเพื่อทำสารคดีเหตุการณ์หมียักษ์ที่เที่ยวไล่ฆ่าผู้คนย่านชานเมืองชนบทจนกลายเป็นข่าวดังมาหลายวัน ด้วยข้อมูลที่น่าสงสัยในหลายๆเรื่องทำให้ไปเจอฮันส์ (Otto Jespersen) นายพรานที่กำลังตามล่าบางสิ่งอยู่ซึ่งต้องใช้หมีแน่ๆ แต่แล้วกลับพบว่ายิ่งเข้าใกล้หาความจริงเหมือนยิ่งไปยุ่งในสิ่งที่ไม่เข้าเรื่อง ทำให้ต้องแอบติดตามฮันส์ไปถึงในป่าก่อนจะพบว่าความจริงที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ตอนนี้พวกเขาได้เห็นสิ่งเหลือเชื่อกับตา นั้นคือโทรลตัวใหญ่ยักษ์เป็นๆเข้าให้แล้ว

หลังจากได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นทำให้ฮันส์ต้องลำบากไปด้วยเพราะงานนี้ไม่เคยมีมากกว่าหนึ่งคน แต่ที่น่าตกใจคืองานของเขาไม่ใช่นายพรานล่าสัตว์ทั่วไปแต่เป็นถึงนายพรานล่าโทรลที่มีฝีมือเฉพาะด้านทางนี้ มีความรู้ความสามารถละเอียดยิบพอๆกับนักล่าสัตว์เฉพาะทาง ด้วยความเป็นคนสันโดษจึงยอมรับพวกโทมัสเข้ามาทำสารคดีด้วยความเต็มใจแม้ทางฝ่ายผู้ใหญ่จะตะหงิดใจในเรื่องกล้องที่ถ่ายตามติดตลอดก็ตาม งานนี้จากล่าหมีอาละวาดเปลี่ยนเป็นการตามหาโทรลที่อาละวาดแล้วกำจัดซะแทน ซึ่งยิ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับโทรลมากขึ้นเท่าไหร่คล้ายกับว่ามีหลายสิ่งเป็นความลับมาโดยตลอด และทุกคนอาจจะต้องตะลึงช็อกไปตามๆกันถ้ารู้ข้อมูลในหลายๆอย่างทั้งเสาไฟฟ้าที่ไม่ได้เป็นตัวนำไฟฟ้าไปใช้อย่างเดียว แต่หมายถึงกรงขนาดใหญ่ที่ล้อมโทรลขนาดยักษ์ใหญ่เอาไว้ โทมัสและพักพวกต่างลงเห็นพร้อมใจติดตามฮันส์ในการตามล่าในทุกที่ทุกแห่งเพื่อเก็บบันทึกภาพจนหารู้ไม่ว่ามีความเสี่ยงถึงชีวิตได้ถ้าพลาดแม้เพียงเสี่ยว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องจำยอมกลายเป็นนักล่าโทรลไปด้วย ไม่งั้นพวกเขาไม่รอดแน่


สิ่งแรกที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นจนชวนอลังการคืองานเอฟเฟค CGI ที่กลมกลืนกับบรรยากาศได้เนียบเนียน การสร้างตัวโทรลทำได้สมจริงจนอยากสัมผัส(ถ้าได้ดูคงไม่คิดอยากสัมผัสดีกว่า เพราะมันไม่ใช่ของเด็กเล่นที่จะจับก็จับ) ในบางหลายๆเรื่องมักจะใช้มุมกล้อง Hand-Held แบบถ่ายตามติดเหตุการณ์ที่มักจะมีสัตว์ประหลาดมาไม่เต็มตัว มาแค่วูบวาบแล้วก็หายไป แต่กับเรื่องนี้แตกต่างเพราะมีความจัดเต็มไม่กั๊กเก็บให้ผู้ชมเห็นเพียงเงาหรือแวปๆชวนตกใจปล่อยให้ผู้ชมจินตนาการคิดเอาเองในหัว ต้องเรียกว่าโชว์เต็มเหนี่ยว เห็นเป็นเห็น ไม่เห็นคือไม่เห็น ดังนั้นความลุ้นจนน่าหวาดกลัวจะมาในรูปแบบชวนติดตามฉบับนายพรานมากกว่าจะหนี ถึงงั้นต้องมีหนีบ้างเพราะโทรลไม่ใช่สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตบนโลกเหมือนอย่างตัวอื่นๆที่นอกจากจะดุร้ายแล้วยังมีขนาดตัวที่ใหญ่ยักษ์เหยียบคนจมดินได้สบายๆ ด้วยเอฟเฟคระดับหน้าแถวทำออกมาได้ดีกับสภาพแวดล้อมที่มองดูเป็นส่วนหนึ่งของป่าไม้ เก็บรายละเอียดลักษณะรูปร่างให้เหมือนเป็นสัตว์ป่ากระหายความบ้าคลั่งได้อย่างดีอย่างเรื่องของเสียงที่จัดว่าเข้าท่าเข้าทางเหมาะดี

แรกๆตัวหนังจะเราเห็นโทรลตัวระดับปกติ มีขนาดตั้งแต่ปานกลางจนถึงสูงใหญ่พอๆกับต้นไม้ ความจริงแค่นี้นับว่าน่าดูมากพออยู่แล้ว เพราะการตามติดพวกโทรลมันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะในท้ายเรื่องที่งัดโทรลตัวใหญ่ยักษ์ระดับบอสสูงพอๆกับเสาไฟฟ้าแรงสูงมาแบบอลังการ เราจะเห็นฉากพวกโทมัสกับฮันส์นั่งขับรถไล่ตามและหนีโทรลยักษ์ดังกล่าวอย่างระแวดระวัง มีเสียงดังกระหึ่มจากเท้าที่ใหญ่กระทืบพื้นที่สามารถเหยียบทั้งคันได้อย่างสบายๆ นับเป็นนาทีน่าลุ้นน่าหวาดเสียวอย่างมาก ทั้งนี้ด้านเอฟเฟคเองยังทำให้ฉากนี้ดูมีพลังกับความสมจริงอย่างมาก ไล่ตั้งแต่มุมกล้องที่จับจังหวะได้ตรงจุด การขับรถที่ไล่ระยะทางได้เฉียบ หรือกระทั่งตัวนักแสดงที่ส่งเสียงจนเชื่อว่าเห็นโทรลตัวมหาใหญ่ยักษ์ตนนั้น แต่ที่น่าปรบมือของฉากฮันส์ใช้ไฟสปอร์ตไลท์ส่องตัวโทรล สังเกตให้ดีว่าแม้แต่เรื่องแสง ความสว่าง และเงายังเนียนเลย ไม่นึกเลยว่าการแสดงแบบไร้ตัวตนโทรลจะทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมจะเหมือนจริงขนาดนี้ได้ นี่พอไปดูเบื้องหลังก็รู้เลยว่าตั้งใจจริงอย่างมากในการลงรายละเอียดให้ออกมาสมจริงมากที่สุด


อย่างที่สองคือเนื้อหาที่โยงใยจนแทบเชื่อสนิทในหลายๆเหตุผลที่เอามาอธิบายให้ฟัง กลุ่มโทมัสอยากทำสารคดีเหตุการณ์เรื่องหนีมาทำร้ายชาวบ้านจนล้ำเส้นไปพัวพันกับเรื่องเหลือเชื่อเข้าจนได้เพราะคิดว่านายพรานฮันส์ต้องมีบางอย่างปิดบังแน่ๆ เนื่องจากการเข้าไปสัมภาษณ์มันค่อนข้างแปลก และพอฮันส์ไม่อยู่ก็แอบสำรวมรถจนสงสัยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เริ่มจากการตามแอบติดตามฮันส์เข้าไปในป่าแบบลับๆก่อนจะเห็นแสงไฟสปอร์ตไลท์วูบวาบไปมาจนผิดสังเกต จนแล้วจนรอดก็เจอฮันส์กำลังหนีบางอย่างซึ่งรถที่พวกโทมัสใช้เดินทางมาต้องพังยับเยิน ใช่เลยรถที่จอดเอาอยู่ดีที่ไม่น่าจะมีอะไรมาชนได้ต้องมาอยู่สภาพเละคว่ำไม่มีชิ้นดี ทำให้ต้องอาศัยไปกับฮันส์จนสาวถึงความจริงจนได้ และทำให้รู้ถึงข่าวเรื่องหมีทำร้ายชาวบ้านที่อันที่จริงไม่ใช่หนีแต่มันคือโทรลกำลังอาละวาด โดยตัวรัฐบาลเองได้สั่งให้เป็นความลับที่ทำงานกันเป็นเบื้องหลัง เชื่อไหมว่าหนังละเอียดอย่างมากจนเหมือนตัวเองได้ไปเยือนโรงงานทำเนื้อที่ส่งต่อมาทำเป็นอาหารขยะให้เราได้หยิบกินบนโต๊ะ ในด้านการสร้างข่าวว่าหมีออกอาละวาดไม่ได้ทำแค่บอกเป็นข่าวแต่ยังสร้างข่าวขึ้นมาด้วยเหตุการณ์จริง เริ่มตั้งแต่การปลอมรอยเท้าหมีด้วยการทำเท้าหมีปลอมแล้วเหยียบให้เป็นเส้นทางการเดินก่อนจะเอาหมีที่ตายมาวางในจุดที่เหมาะสม ซึ่งปิดข่าวด้วยการถูกนายพรานยิงตาย เป็นการปกปิดความลับพร้อมหลักฐานที่ไม่เชื่อต้องเชื่อ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลหลายๆอย่างที่บุกไปถึงโรงไฟฟ้าที่บอกว่าเสาไฟฟ้าแต่ละต้นล้วนปักเอาไว้เพื่อเป็นกรงขังโทรลตัวใหญ่ไม่ได้รุกล้ำข้ามพื้นที่ได้ ทีแรกอาจเหมือนจงใจขุดไอเดียให้ออกมาจริงกับเรื่องต่างๆนาๆ แต่พอเห็นความเห็นต่างๆพร้อมกับการทำงานอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับความลับโทรลก็ยิ่งสมจริงสมเหตุผลมากขึ้น


โทรลตามที่รู้จักกันแต่ดั้งเดิมมาจากตำนานของชาวสแกนดิเนเวียน เป็นอสูรกายตัวมหึมาขนาดใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า มีรูปร่างเหมือนคนทุกอย่าง แต่มีลักษณะหน้าตาน่ากลัวและอัปลักษณ์ ซ้ำยังมีกลิ่นตัวรุนแรง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดโทรลที่อาจอยู่อย่างสันโดษบ้าง อยู่เป็นกลุ่มบ้าง จะเล็กจะใหญ่ก็แล้วแต่เผ่าพันธุ์ บ้างก็ว่าสายพันธุ์อาศัยตามถ้ำตามตีนเขา ซึ่งอาจจะพบได้ตลอดทางในป่าไม่หนา เพราะโทรลมีอาการแพ้แสงแดดอย่างรุนแรงมาก ทำให้พวกมันชอบใช้ชีวิตเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ในการหากิน ในตำนานเล่ากันว่าโทรลกินได้แทบทุกอย่างรวมถึงมนุษย์ได้ด้วย แต่น่าเสียดายที่โทรลมีกำลังมหาศาลแต่กับสติปัญญาด้อยจนเรียกว่าโง่เขลา เพราะโทรลมีขนาดที่ใหญ่และดุร้ายเป็นหลักจึงนับเป็นภัยต่อหลายๆสิ่งโดยเฉพาะกับมนุษย์ และเอลฟ์ต้องขับไล่พวกโทรลให้ไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งเอทเทนมัวร์ โทรลที่ถูกขับไล่เหล่านั้นต่างมีชื่อว่าโทรลล์เฟนส์เนื่องจากจำนวนที่มากมายนับแสนต่างเรียกแห่งนั้นว่าบ้านของตัวเอง ตำนานหลายเรื่องจึงมักเล่าถึงความชั่วร้ายอยู่บ่อยๆเพราะความร้ายกาจไร้อารยธรรมและเกลียดอย่างมากเวลาได้ยินเสียงมนุษย์ เพราะเสียงเหล่านั้นไปกระตุ้นโทรลให้คลุ้มคลั่ง นอกจากนี้ยังแยกเอาไว้หลักๆด้วยว่าโทรลมีอยู่ 3 ชนิดๆเด่น ได้แก่ 1.โทรลล์ภูเขา พันธุ์ที่ตัวใหญ่ที่สุดและดุร้ายที่สุด หัวล้านผิวสีเทาซีด ,2.โทรลล์ป่า ผิวสีเขียวซีด และบางสายพันธุ์ก็มีผมสีเขียวหรือสีน้ำตาลที่บางและยุ่งเหยิง และ 3.โทรลล์แม่น้ำ น้ำมีเขาสั้นๆและอาจมีขนดก ผิวสีม่วง มักจะซ่อนตัวอยู่ใต้สะพาน สำหรับทั้งสามข้อดังกล่าวจะถูกหยิบยกมาใช้ในหนังทั้งสิ้นตามความเด่นในรายละเอียดสายพันธุ์


กลับมาเข้าเรื่องของ Trollhunter ที่ไล่ล่าตามหาโทรลบุกอาละวาดพร้อมกับกลุ่มนายพรานมือฉมังกับกลุ่มวัยรุ่นอยากรู้อยากเห็น ในตัวหนังได้บอกถึงวิธีการจัดการโทรลได้ตรงตามที่ระบุในตำนานดังกล่าวว่า

"เมื่อชาวสแกนดิเนเวียอพยพมาสู่เกาะอังกฤษ โทรลก็ตามมาด้วย และมักจะสร้างบ้านอยู่ใต้สะพาน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มันมีกลิ่นเหมือนน้ำจากท่อโสโครก ทางแถบเหนือของเกาะอังกฤษมีก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพวกโทรลล์ที่โดนแสดงอาทิต์เข้าจนกลายร่างเป็นหิน" 
 
ดังนั้นการให้พวกมันได้รับแสงแดดอย่างแรงจึงจะจัดการพวกมันได้ ซึ่งฮันส์ได้ติดตั้งอุปกรณ์ไว้มากมายด้วยไฟสปอร์ตไลท์ทั้งตัวรถที่ติดไว้บนหลังคาที่ส่องได้ทั่วสารทิศ หรือจะกระบอกไฟฉายสปอร์ตไลท์ขนาดใหญ่ที่เป็นอาวุธติดตัวในการจัดการโทรลขั้นพื้นฐาน(คือโทรลที่มีขนาดตัวไม่ถึงกับใหญ่ยักษ์ ซึ่งจะพบประจำในเนื้อเรื่อง) ด้วยอาวุธที่มีเพียงแค่แสงสว่างนี่ก็มากพอจะจัดการโทรลได้อย่างสบายๆ เนื่องจากพวกมันมีผิวหนังบอบบางต่อแสง เมื่อสัมผัสจะกลายเป็นหินไปทั้งตัว หรือบางตัวอาจถึงขั้นระเบิดตูมเละได้


นอกจากนี้การอิงข้อความข้างต้นยังรวมไปถึงภารกิจล่าโทรลอยู่ตอนหนึ่งที่เหล่าพวกโทมัสกับฮันส์ต้องหาโทรลใต้สะพานโดยใช้แพะเป็นตัวล่อ พร้อมกับสาดเลือดตามบริเวณโดยรอบ ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะว่าจมูกของพวกมันไวต่อกลิ่นและเลือดเป็นการบ่งบอกว่ามีอาหารที่กินได้อยู่ไม่ไกล ก็อย่างที่รู้ในช่วงแรกที่รถของพวกโทมัสพังเพราะโทรลเองยังเขมือบล้อรถไปได้เลย แต่พวกมันไม่เลือกกินโลหะ นับเป็นข้อดีสำหรับฮันส์ที่จังหวะนั่นเองเราจะได้เห็นเขาส่วมชุดเกราะสมัยสงครามคิงอาร์เทอร์(มั่วๆ)ที่ดัดแปลงจากโลหะเป็นชุดขึ้นทั้งตัว แต่ถึงงั้นพวกมันต้องชิมก่อนจึงจะรู้ว่ากินต่อได้ไม่ได้ ถ้าผู้ชมได้ดูในฉากนี้คงสะดุ้งไม่น้อยที่เห็นฮันส์โดนจับใส่ปากโทรล และหลังจากฉากนั้นจะเป็นยังไงขอหุปไปหาชมกันเอาเอง เพราะนอกจากจะชวนสะดุ้งแล้วยังรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเสียฮันส์ไปหรือเปล่า เพราะฮันส์โดนเคี้ยวไปทีแล้ว

และอย่างที่สามคือจังหวะในการเล่าเรื่องเป็นไปอย่างลงตัว ยิ่งตอนเข้าถ้ำแล้วมันเป็นช่วงจังหวะที่เลวร้ายมากๆ เพราะเมื่อหันหลังไปพวกโทรลหลายสิบตัวกำลังเดินเข้าถ้ำเพื่อไปนอน จะออกก็ไม่ได้เลยจำใจต้องอยู่ต่อในถ้ำทั้งๆที่มีโทรลมากมายส่งเสียงกรนพร้อมกับกลิ่นที่แสนชวนอยากสงบ เกือบลืมไปว่าตัวหนังมีการอธิบายวิธีกลบกลิ่นจากโทรลได้โดยการนำเมือกเหม็นๆมาป้ายกับตัวเอง แน่นอนว่านักแสดงทำได้ดีในช่วงแรกๆที่แหวะกับกลิ่นนั้นก่อนจะทำใจยอมรับว่ามันช่วยให้รอดได้(ก็อย่างน้อยถ้าไม่ให้โดนจับได้ล่ะนะ) และอีกอย่างคือมีความเชื่อหรือศรัทธาในพระเจ้าหรือไม่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อไปลุ้นกันในถ้ำว่าทำไม(ขนาดเรื่องศาสนาตัวหนังยังไม่พลาด) ในฉากเข้าถ้ำถือว่าเป็นเวลาแห่งการลุ้นอย่างหนักและพาเสียวอย่างมาก เพราะเราจะได้เห็นพวกโทมัสกับฮันส์แอบอยู่ในรูเล็กๆที่รอบๆตัวเต็มไปด้วยโทรลนับไม่ถ้วนกำลังหลับ ซึ่งเป็นใครคงเตรียมสติใกล้แตกได้เลย ด้วยการจับภาพกลางคืนทำให้เห็นภาพลางๆในเวลากลางคืนที่ช่วยทำให้แลเหมือนของจริง ทั้งยังต้องนั่งเสียวไส้แบบสุดๆว่ากลิ่นโทรลที่ทารอบตัวจะหมดเมื่อไหร่ ในจุดนี้นับว่าเป็นนาทีเป็นนาทีตายอันแสนระทึกขวัญไม่ใช่น้อย หรือจะโทรลสามหัว(เพิ่มตามอายุ)ในป่าในเวลากลางคืนที่ต่างวิ่งหนีกระจายจนกล้องไหวเหวี่ยงไปมาตลอดการวิ่ง ซึ่งเราจะได้เห็นโทรลในมุมสูงได้สัมผัสตัวแบบใกล้โทรลอย่างมาก(เนื่องจากพวกมันมองไม่เห็น นอกจากจมูกดีในเรื่องกลิ่น) แต่ที่น่าสนใจและคิดว่าเป็นทีเด็ดของเรื่องคือช่วงท้ายๆที่บุกตะลุยไปเทือกเขาหิมะเพื่อหาโทรลระดับมหากาฬที่สูงใหญ่พอๆกับเสาไฟฟ้าแรงสูง ตัวหนังทำได้เยี่ยมมากตอนขับรถที่ถ่ายฉากดีๆเอาไว้อย่างการก้าวเท้าของโทรลที่แอบเสียวอยู่ว่าถ้าพลาดขึ้นมาคือเละแน่ๆ หรือจะการถ่ายดูฮันส์กำลังใช้ไฟสปอร์ตไลท์จากหลังคารถฉายโทรลตัวใหญ่ดังกล่าว ปกติเป็นโทรลธรรมดาคือเสร็จแน่ๆเพราะไฟสปอร์ตไลท์หลังรถเป็นอะไรที่แรงมาก แต่ไม่เลยกับตัวใหญ่ที่ทำได้มากแค่แสบผิวแสบตาเท่านั้นไม่ถึงกับกลายเป็นหินได้ แล้วจะจัดการโทรลขนาดมหึมานั้นได้ยังไงล่ะ ถ้าผู้ชมเห็นล่ะก็ถือเป็นอีกหนึ่งรายการเซอร์ไพรส์ที่ฮันส์หยิบอาวุธเด็ดขึ้นมาจัดการในท้ายที่สุดที่บอกได้ว่า"แจ๋วมาก" 
 

ทั้งการดำเนินเรื่องแบบเปิดทีละนิดทำให้ผู้ชมเริ่มนึกสงสัยขึ้นมาทีละหน่อยนึกอยากรู้มากขึ้นเช่นเดียวกับพวกโทมัสที่เหมือนจะได้รู้อะไรมากมายที่ฮันส์บอก แต่ที่น่าตกใจคือตัวหนังกำลังอิงไปถึงแนววิทยาศาสตร์อีกด้วย ฮันส์คือนายพรานเพียงหนึ่งเดียวที่ทำหน้าที่ล่าโทรล และเขาจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างเลือดแบบกำลังเป็นๆ(ในฉากล่อโทรลใต้สะพานที่ฮันส์ถือเข็มฉีดยาใหญ่เท่าแขน) ก็เพื่อนำเลือดไปส่งต่อกับนักวิทยาศาสตร์ให้ทำการวิเคราะห์ว่าทำไมถึงแพ้แสงแดด และเพื่ออีกหลายๆอย่าง ซึ่งเนื้อหาได้ระบุเอาไว้เป็นเหตุเป็นผลอย่างดีทีเดียว ความลับที่ค่อยๆเปิดทำให้ผู้ชมอาจนึกสงสัยไม่น้อยว่าจริงสิ กลับมาคิดอีกทีมันก็เข้าท่าไม่เลวกับการรองรับเนื้อหาของเรื่องนี้ แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักพกติดตัวมากับแนวมุมกล้องแบบนี้คือ"คนที่ไม่ชินยังไงๆก็มึน" นับตั้งแต่เรื่อง The Blair Witch Project (1999) โด่งดังในสไตล์มุมกล้องโยกซ้ายขวาสั่นโยกไปมาก็ทำให้หนังแนวประเภทนี้ทำออกมามาก เนื่องจากเป็นการจุดกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และ Trollhunter สามารถใช้จุดนี้ได้อย่างชำนาญไล่ตั้งแต่จับภาพกลางวันกลางคืน ซูมเข้าซูมออกล้ายกำลังบอกนัยยะคนถือกล้องว่าอยากจะรู้

ที่น่าติดใจคือฮันส์ที่ได้นักแสดง Otto Jespersen มาเล่นได้อย่างสมบทบาทจนตัวเองแอบไปคิดถึงพวกแวนเฮลซิ่งยังไงยังนั้น(ภายนอกดูโหดแต่ในใจเป็นคนใจดี เหมือนกับว่าตัวคนเดียวแล้วอยากได้เพื่อน สงสัยว่าเพื่อนที่อยู่ด้วยต้องกล้าท้าลุยเหมือนกันหรือเปล่า) ถ้าโดยว่ารวมทั้งบรรยากาศ เอฟเฟค เนื้อเรื่อง การแสดง ตลอดจนการให้ข้อมูลถือว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจน่าแนะนำหามาชม แต่คิดว่าสมัยนี้คงไม่มีใครบอกนะว่า"เกลียดเรื่องนี้เพราะมุมกล้อง"เพราะมันอาจทำให้คุณดูเชยในสายตานักดูหนังไปเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)