Face/Off (1997) สลับหน้า ล่าล้างนรก

Face/Off (1997)
สลับหน้า ล่าล้างนรก
Director: John Woo
Genres: Action | Crime | Sci-Fi | Thriller

"เป็นหนังแอ็คชั่นยอดเยี่ยมกระเทียมดองของ John Travolta กับ Nicolas Cage ที่เล่นได้สุดเข้มข้นโครตมันส์"

อย่างที่ได้โปรยไปในบรรทัดบนนั่นแหละคือมันส์จริง ดุเดือดเข้มข้นจริง แฝงสาระเข้าครอบครัวจริง สรุปว่าสนุกจริงๆไม่ได้โม้(ยังไม่ทันรีวิวก็สรุปก่อนซะล่ะ) กลับมากล่าวถึงเนื้อเรื่องที่เริ่มขึ้นจากปมความแค้นฝังลงรากลึกของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอฌอน อาเชอร์ (John Travolta) ที่ถูกเคสเตอร์ ทรอย (Nicolas Cage) ซุ่มยิงข้างหลังจนพลาดท่าไปโดนลูกชายสุดที่รักของตนตาย ทำให้เป็นเรื่องราวตามล้างเช็ดระหว่างฌอนกับคาสเตอร์มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้จะแตกต่างไปกว่าเคยเพราะฌอนมีแผนจะจับสารเลวคาสเตอร์ได้แบบคาหนังคาเขา ซึ่งฌอนสามารถทำสำเร็จจับเป็นเคสเตอร์มาได้พร้อมกับพอลลักซ์ ทรอย (Alessandro Nivola) น้องของมัน ทว่ากลับต้องประสบปัญหาเมื่อการไล่ล่าจับเคสเตอร์นั้นทำให้พบเบาะแสเรื่องการวางระเบิดที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และเมื่อไหร่จะระเบิด แต่ปัญหาจริงคือเรื่องต่อหน้าที่เคสเตอร์ตัววางระเบิดสงบไปกลายเป็นเจ้าชายนิทรานอนโคม่าบนเตียง ส่วนเจ้าน้องพอลลักซ์ไม่ยอมปริปากใดๆทั้งสิ้นเพราะคนที่คุยด้วยได้มีเพียงเคสเตอร์พี่ชายของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น งานนี้ทำให้ฌอนต้องปวดหัวเมื่อเจ้าสองพี่น้องตัววางระเบิดไม่ยอมบอกอะไรเลยสักนิดเดียว แต่เวลานั้นได้เกิดเทคโนโลยีการผ่าตัดล้ำสมัยที่ทางหน่วยงานได้เสนอให้ฌอนลองทำดู สิ่งนั้นคือการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าระหว่างเขากับเคสเตอร์ ที่แม้แต่เขาเองยังรับไม่ได้ว่าจะตอบตกลงดีไหมเพราะตลอดเวลาที่ตามล่าเคสเตอร์เต็มไปด้วยความเกลียดอันแสนชิงชัง แต่นั้นอาจไม่ใช่ประเด็นเมื่องานนี้เขาต้องปกปิดเป็นความลับที่แม้แต่คนในหน่วยหรือครอบครัวของเขายังไม่รู้เรื่องเลย สุดท้ายฌอนจำใจต้องยอมทั้งกายและใจอย่างหนักในการรับใบหน้าที่ชิงชังที่สุด และเขาจำต้องยอมถอดใบหน้าของตัวเองเพื่อรับใบหน้าเคสเตอร์พร้อมกับศัลยกรรมร่างกายให้ออกมาเป็นจอมวายร้ายเคสเตอร์อย่างสมบูรณ์


ในที่สุดฌอนคือเคสเตอร์ไปแล้วทั้งหน้าตา รูปร่าง และเสียง สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการทำภารกิจตีสนิทกับพอลลักซ์ให้เผยถึงเรื่องระเบิดออกมา โดยมีเพียงเขากับคนในทีมงานไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่เขาเข้าไปเพื่อคุยกับพอลลักซ์นั้นในสายตาคนอื่นๆจะไม่ต่างอะไรกับการเห็นเคสเตอร์ตัวจริงคุยกับน้องตัวเอง ฉะนั้นแล้วต่อให้บอกว่าตัวเองเป็นเอฟบีไอใหญ่มาจากไหนย่อมไม่มีใครหรอก ทว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อเคสเตอร์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่หายไปเหลือแต่ของฌอนเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นคนสมองไวจึงประติดประต่อเรื่องราวจากวิดีโอที่บันทึกเอาไว้ได้หมด ตอนนี้เคสเตอร์ขอใบหน้าฌอนมาส่วมหน้าตัวเอง แล้วทุกอย่างก็ลงรอยตามชีวิตประจำของตัวเอง ฌอนกลายเป็นเคสเตอร์ เคสเตอร์กลายเป็นฌอน หายนะครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้วกับคนร้ายคือตำรวจ และตำรวจคือผู้ร้าย

รู้อะไรไหมว่าก่อนหน้านี้ได้เคยมีการตัดสินเลือกนักแสดง Arnold Schwarzenegger กับ Sylvester Stallone มาเล่นในเรื่องนี้ด้วย แต่ยังไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าจะเอาใครมาเล่นตัวดีตัวร้าย ทีนี่เกิดผู้กำกับ John Woo มองว่ามันจะไม่ใช่แอ็คชั่นอย่างที่เขาต้องการ เพราะมันจะออกมาแอ็คชั่นบ้าระห่ำยิงกันมากกว่าจะเห็นปมในใจตัวละครได้จึงเปลี่ยนไป ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ เพราะอย่างแรกคือสองดาราแอ็คชั่นทั้ง Arnold Schwarzenegger กับ Sylvester Stallone ต่างมีจุดขายเหมือนๆกันทั้งคู่คือความมันส์จากการได้ยิงกระหน่ำระเบิดเผากระท่อม ดูได้จากผลงานเก่าๆไม่ว่าจะ Commando (1985),Predator (1987),First Blood (1982) และอีกมากมายที่ล้วนทั้งสิ้นขายความมันส์บวกกับตัวดาราที่ดูเก่งทรงพลัง แต่ปัญหาคือแอ็คชั่นบางส่วนเน้นมันส์อย่างเดียวจนเกือบๆทำให้พระเอกไม่ค่อยมีบทบาทในการโชว์อารมณ์ทางด้านอื่นๆเท่าไหร่นักนอกจากจะเท่เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการเลือก John Travolta กับ Nicolas Cage ถือเป็นข้อดีเพราะสามารถเข้ากับคาแรกเตอร์ของตัวละครได้เฉียบขาด ซึ่งเป็นการดีอย่างมากที่ภาพลักษณ์มากำลังกลมกล่อมไม่เว่อร์แบบหนังขายแอ็คชั่นที่พระเอกต้องเก่งไม่หวั่นไหวใดๆ แต่จะดีที่สุดคือถ้าได้เห็น Nicolas Cage แสดงจะเข้าใจทันทีว่าทำไมถึงเปลี่ยนนักแสดงกล้ามโตมาเป็นแบบนี้ดีกว่า เอ้าไม่เชื่อลองดูสีหน้าแต่ล่ะทีสิยังกับโรคจิตหลุดจากโรงพยาบาลบ้า


Face/Off มีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจในการปรับมุมมองให้พลิกหน้าเป็นหลังมือ ทีแรกตัวหนังเหมือนจะเดินเรื่องได้เร็วเอาการจนคล้ายกับว่าพระเอกจะสามารถผดุงความยุติธรรมได้สำเร็จตามสูตรหนังแอ็คชั่นที่มีตามธรรมเนียบ แต่เปล่าเลยเมื่อการดำเนินเนื้อเรื่องไม่ยอมจะจบลงง่ายๆอย่างที่วาดเอาไว้ในช่วงแรกของหนังที่สามารถจับผู้ร้ายเคสเตอร์มาได้ ซึ่งมันอาจจะง่ายจริงๆถ้ามองอย่างนั้นโดยหารู้ไม่ว่าในจังหวะที่หนังได้เปิดตัวพร้อมกับลีลาของเคสเตอร์คือการวางระเบิดในสถานที่แห่งหนึ่งอย่างลับๆ แล้วก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ยักษ์ขึ้นมาว่าระเบิดซ่อนอยู่ที่ไหน แต่ใครจะบอกได้เมื่อเคสเตอร์โคม่า และน้องเคสเตอร์เป็นพวกสติไม่เต็มไม่ยอมปริปากเว้นแต่พี่ของตัวเอง จึงกลายเป็นคำถามขึ้นมาว่า"พระเอกของเราจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ยังไงเมื่อระเบิดอยู่ไหนไม่รู้" พอแอ็คชั่นกันอย่างเต็มอิ่มในช่วงแรกแล้วมารับของหวานชวนลุ้นกับสถานการณ์พาตึงเครียดดีกว่า เริ่มจากการแก้ปัญหาที่ตอนนี้ว้าวุ่นไปหมดกับเรื่องระเบิดที่ไม่รู้จะแก้ยังไงให้หายขาด ซึ่งเวลานั้นเองได้เจอทางสว่างที่ปนกับความละอายใจเรื่องปลอมตัวเป็นเคสเตอร์ที่ว่าด้วยวิธีการเปลี่ยนโฉมหน้าแบบถาวรที่ยึดใบหน้ามาใส่เหมือนหนังหน้าตัวเองที่สมจริงและสมบูณ์มากกว่าการปลอมหน้าแล้วใส่ทับ โดยผู้ที่จะรับหน้าที่ได้ไม่ใช่ใครนอกจากฌอนเพราะมีความสนิทกับเคสเตอร์จากการตามล่ามากที่สุด ดังนั้นแล้วการที่ฌอนยังลังเลในงานชิ้นนี้ก่อนจะเปลี่ยนใบหน้านั้นย่อมมีสูงกว่าใครๆ ไม่ใช่เพราะเป็นใบหน้าที่มีปัญหา แต่เป็นจิตใจของฌอนที่มีปัญหาในงานลับชิ้นนี้ที่ไม่รู้ว่าเพราะกรรมอะไรของตัวเองจึงต้องรับหน้าและบทบาทของผู้ที่ตัวเองอยากให้ไปตายๆซะ

ถ้าว่าโดยรวมการปูทางในอดีตอย่างฉากเปิดช่วยให้เราเห็นภาพพจน์มากขึ้นจากภายใต้จิตใจของฌอนที่ว่า"ทำไมถึงจงเกลียดจงชังเคสเตอร์มากนัก" และผู้ชมจะได้รู้ด้วยว่าอะไรคือแรงกระตุ้นของความมุทะลุของฌอนที่มองได้จากเหล่าลูกน้องที่พยายามยินดียินดากับหัวหน้าที่จับเคสเตอร์ได้ แต่ฌอนกลับรู้สึกไม่ดีใจเลยสักนิดเมื่อการจับเคสเตอร์ทำให้ลูกน้องตัวเองต้องจบชีวิตลง อย่าว่าแต่แรงจูงใจอย่างเดียวเลยเพราะยังมีความมุ่งมั่นที่ไม่อยากมีข้อผิดพลาดกับตัวเองเก็บฝังใจอยู่ด้วย แม้จะมีลูกน้องมาแสดงความดีใจยังกับวันปีใหม่แต่ผลที่ได้คือการบอกเหตุผลว่าสมควรแล้วเหรอที่มีคนของเราตาย เมื่อเรามองฌอนลึกๆจะเห็นได้ว่าเขาไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วจากเหตุการณ์สะเทือนใจที่ลูกชายตัวเองตายต่อหน้าต่อตา ซึ่งเขาย่อมมีความรู้สึกไม่อยากเสียใครต่อไปอีกกับเรื่องของเขาแน่นอน รวมถึงเหตุผลที่ว่าการตีออกตัวห่างเหินคนในครอบครัวจนใกล้ๆสภาพเป็นครอบครัวเตียงหักที่ฝ่ายฌอนสนใจแต่งานตัวเองอย่างเดียวจนลืมให้ความสำคัญกับเจมมี่ (Dominique Swain) ลูกของตัวเองจนผู้ชมเห็นชัดแดงแจ๋ว่าครอบครัวนี้กำลังประสบปัญหาเรื่องการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดที่ปล่อยปละลูกของตัวเองแบบไร้การสั่งสอนที่พอควร กระนั้นผู้ชมอาจตั้งคำถามเกี่ยวกับครอบครัวนี่หน่อยๆแล้วว่าถ้างั้นอีฟ (Joan Allen) ภรรยาของฌอนล่ะทำไมไม่สั่งสอนลูก บางทีผู้ชมอาจคิดแต่ต้องเข้าใจด้วยเกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคลที่หาเวลาว่างๆได้ง่ายๆ ดูตัวอย่างจากฌอนที่เอาเวลาไปจับผู้ร้าย ส่วนอีฟเองมีงานเป็นหมอที่ต้องไปดูแลรักษาผู้ป่วยเสมอ ซึ่งเราจะรู้ได้ดีตอนที่อีฟบอกเคสเตอร์(ในร่างฌอน)ว่า"ฉันเป็นหมอ เมื่อมีคนไข้ก็ต้องมา" ดังนั้นแล้วทุกคนต่างมีเรื่องของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ และต่างมีภาวะความเครียดจากสิ่งที่ตัวเองทำเช่นกันด้วยอายุวัยกับการงานที่แตกต่าง


หลังจากฌอนรับสภาพรับบทเป็นเคสเตอร์ได้สักระยะหนึ่งก็เร่งหาทางเข้าใกล้พอลลักซ์เพื่อคุ้ยเรื่องระเบิดออกมา ซึ่งก็ได้คร่าวๆจากสถานที่หนึ่งจนตัวเองหลงดีใจแล้วว่าการทำงานชิ้นนี้กำลังจะจบลงด้วยดี กระนั้นกลับตรงกันข้ามเมื่อเรื่องดีๆที่น่าจะเกิดขึ้นเป็นโชคสองชั้นต้องกลายเป็นร้ายสองชั้นเมื่อเคสเตอร์(ในร่างฌอน)ได้ประจักษ์สายตาให้ฌอนในร่างเคสเตอร์เห็นก่อนจะขออนุมัติพอลลักซ์ออกจากเรือนจำเนื่องด้วยเอาไปสืบสวน สำหรับพอลลักซ์อาจจะเป็นตัวละครที่บทน้อยแต่สื่อได้มากกับเคสเตอร์ดั่งพี่น้องไม่ทิ้งเยื่อใยต่อกันได้ แม้พอลลักซ์จะเห็นหน้าพี่ของตัวเองในเรือนจำและอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่รู้จักตัวตนของพี่ตัวเอง ฌอนปลอมแปลงอย่างสมบูรณ์เรื่องใบหน้ารูปร่างแต่ยังขาดความเป็นตัวตนของเคสเตอร์หรือจะเรียกว่าสันดานก็ไม่ผิด(อยากจะบอกว่านิสัย แต่มันยังไม่ลึกพอจะอธิบายความสัมพันธ์ของพอลลักซ์กับเคสเตอร์ได้) เคสเตอร์มีความเป็นกวนโอ๊ยในมุมมองสติแตก เป็นตัวร้ายที่ผู้ชมให้ความเหมาะสมว่ามาแนวโรคจิต(ดูจากสีหน้าและท่าทางที่ปล่อยอารมณ์อย่างสุดขีด) และที่ขาดเป็นไปไม่ได้คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ฌอนเป็น ดังนั้นแล้วต่อให้พอลลักซ์เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นแต่ใจยังลังเลที่จะเชื่อว่าเป็นพี่ที่ตัวเองคุ้นเคย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพอลลักซ์ถึงทำท่าทางสะใจกับฌอน(ในร่างเคสเตอร์)แบบไม่มีเยื่อใยในตอนที่เคสเตอร์(ในร่างฌอน)มาเอาตัวพอลลักซ์กลับไปสืบสวนสอบปากคำที่หลุดพ้นจากเรือนจำได้ ในขณะที่ฌอน(ในร่างเคสเตอร์)ต้องพบความผิดพลาดกับตัวเองเมื่อการหลุดปากหลังจากรู้สถานที่เรื่องระเบิดจะเป็นการเผยหางออกมาเพียงเพราะคิดว่าตัวเองสะใจที่ทำภารกิจสำเร็จ แต่เปล่าคนที่ได้หัวเราะและได้ออกจากคุกก่อนคือพอลลักซ์ที่พ้นสภาพจากนักโทษด้วยความสะใจยิ่งกว่า

แม้ในสายตาผู้ชมคงเดาได้อยู่แล้วว่าการฟื้นจากอาการโคม่าของเคสเตอร์จะฟังไร้เหตุผลอย่างมากเมื่อบอกกันก่อนแล้วว่าจะไม่มีทางกลับมาอยู่สภาพเดิมได้อีก ซึ่งแน่นอนล่ะว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายไม่มีอะไรเป็นไปตามนั้นเสมอไปต่อให้หาแทบความเป็นไปไม่ได้เลยสักนิดเดียว ฟังดูเว่อร์นะถ้ามันหาเหตุผลไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ถ้างั้นเวลาที่เราเจอเรื่องโชคร้ายเคยตามตัวเองไหมว่าเป็นเพราะดวงไม่ดีหรือเพราะเราประมาทเอง เชื่อว่าคนส่วนใหญ่มักโทษเรื่องดวงที่มันไม่เป็นไปตามที่ตัวเองพอใจ ซึ่งมีรึจะโทษตัวเองว่าผิดเองแล้วบอกตัวเองว่าสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้ ฌอนประมาทในการรับภารกิจนี้เพราะคิดว่ามันจะช่วยชีวิตคนได้มากมาย แต่ไม่ได้สังเกตเลยว่าเคสเตอร์บนเตียงเลยว่าเขาจะไม่มีวันมีสติกลับมาจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะดวงเคสเตอร์แข็งเพื่อกลับมาเป็นตลกร้ายให้กับฌอนก็เป็นได้ และเพื่อการนั้นอาจเป็นการลงโทษฌอนที่หมกกับงานจนห่างครอบครัว ซึ่งเขาต้องห่างจากลูกเมียมากกว่าเดิมในตอนนี้


หลังจากได้พอลลักซ์มาอยู่ในอ้อมกอดของผู้พี่ตัวจริงทำให้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฌอนกับเคสเตอร์ที่สลับใบหน้ากัน ดังนั้นแล้วมีหรือว่าฌอน(ในร่างเคสเตอร์)จะยอมนั่งเดียวดายเป็นแพะรับบาปในคุกจึงหาวิธีแหกคุกเพื่อไปเปิดโปร่งความจริงให้ได้สำเร็จแม้จะมีหลายคนที่จ้องจะจับตายเขาในฐานะเคสเตอร์หลอกๆก็ตาม ทว่าการที่ตัวเองต้องรับบทเคสเตอร์เพียงเปลือกอาจจะทำไม่ได้ต่อไปเมื่อต้องเล่นตามบทบาทของตัวเองให้จบ ดังนั้นแล้วจึงวางแผนไปหาลูกน้องเคสเตอร์อย่างลับๆก่อนจะรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนคือเคสเตอร์เองก็มีลูกชายตัวน้อยที่ซึ่งเจ้าตัวยังไม่รู้มาก่อนเพราะปิดเป็นความลับ ในวันนี้เขาคล้ายกำลังได้รับรู้ความรู้สึกบางอย่างที่บอกได้ยากเพราะไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตที่จะลืมการเสียลูกชายตัวเองไป การเห็นเด็กชายที่คล้ายลูกตัวเองจึงเสมือนแรงผลักดันที่บอกถึงการดำรงอยู่ เป็นกำลังใจที่เค้นออกมาจากก้นบึ้งจิตใจ แต่คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากสิ่งที่คิดเมื่อการปลอมเป็นเคสเตอร์จะทำให้เห็นชีวิตของเขาที่ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป มีทั้งครอบครัว เพื่อนสนิท ที่เฝ้าการกลับมาของคนในครอบครัว กระนั้นแล้วเขาจึงเลือกจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวเคสเตอร์ต้องพบปัญหาเพียงเพื่อความบริสุทธิ์ และด้วยเหตุนี้เองจึงตระหนักได้ว่าขนาดเคสเตอร์ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ว่าเป็นตัวร้ายกาจขนาดนั้น แต่ทำไมถึงมีครอบครัวที่ดูพร้อมรอยยิ้มแบบนี้ได้ทั้งๆที่ครอบครัวที่น่าจะพร้อมทุกอย่างไม่มีปัญหาเรื่องข้างนอกมากวนใจกลับต้องพบปัญหาไร้รอยยิ้มเช่นนี้ได้

ไม่ใช่แค่ฝ่ายฌอน(ในร่างเคสเตอร์)ที่เห็นความแตกต่าง แต่ยังรวมถึงเคสเตอร์(ในร่างฌอน)ที่มาเห็นครอบครัวฌอนอันแสนน่าหงุดหงิด ไร้อารมณ์ และขาดความอบอุ่น ดังนั้นแล้วเมื่อเขาเห็นความไร้สีสันจึงปรับแต่งชีวิตครอบครัวใหม่ให้ดูมีราศีมากขึ้นด้วยการจัดการอีฟภรรยาที่รักให้หันหน้าเข้ามาด้วยความรักดังครั้งใหม่ๆที่เคยสัมผัส อันที่จริงเจตนาอาจไม่ใช่แบบนี้แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยบางทีการปลอมเป็นฌอนคงน่าเบื่อ ด้วยเหตุนี้อีฟจึงกลับมาสดใสกว่าครั้งก่อนๆที่มองดูฌอนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ในขณะที่เจมมี่ยังคงปล่อยปละไปออกบ้านเที่ยวกลางคืน จนวันหนึ่งเคสเตอร์(ในร่างฌอน)เห็นเจมมี่ถูกลวนลามอยู่นอกบ้านจึงเข้าไปช่วยพร้อมกระนั้นยังสอนวิธีป้องกันตัวโดยให้มีดพกติดตัว แม้การกระทำในช่วงแรกอย่างการโชว์ให้ลูกเห็นเรื่องสูบบุหรี่อาจจะผิดหลักแต่การไปช่วยลูกอรินั้นดูจะช่วยเสริมมิติในใจได้อย่างดี เช่นเดียวกับพอลลักซ์น้องของตัวเองที่เคสเตอร์ไม่ทิ้งห่างหรือปล่อยให้อันตราย เป็นพี่น้องที่รักกันมากก่อนจะพบว่าพอลลักซ์ได้ตายเพราะฝีมือฌอนที่กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เสียคนรักไป หรือจะเป็นกรรมตามสนองที่ฆ่าลูกชายฌอนอันเป็นที่รักสุดชีวิตที่ตอนนี้ต้องเสียน้องชายอันเป็นที่รักและหวงแหน


ที่น่าสนใจที่สุดคือการวางเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมที่เสนอแง่มุมเข้าหาตัวละครแบบใกล้ชิดสนิทตัว ไม่ใช่แอ็คชั่นทั่วไปที่เกิดมาเรียกความมันส์จากแอ็คชั่นดีจังหวะเร้าใจขายดารา ซึ่งดูเหมือนการขายแง่ปมประเด็นเด็นด้อยทำให้เราประเมินตัวละครในความดีความชั่วออกมาได้อย่างเข้าใจ ใครที่ว่าตัวร้ายไร้จิตใจนั้นต้องคิดใหม่ ใครที่บอกว่าพระเอกนั้นดีเสมอต้นเสมอปลาย เปล่าๆทุกคนสีเทากันหมดจะเหลือแต่จะไปทางไหนมากกว่า

Face/Off ไม่รู้ว่าจะบอกได้ยังไงดีเพราะทัศนคติแรกหลังชมคือการบอกความเป็นตัวของตัวเองที่ค่อนข้างสูง เริ่มตั้งแต่การสลับตำแหน่งบทบาทจากผู้ร้ายเป็นพระเอกหรือพระเอกเป็นผู้ร้ายเพียงแค่ใบหน้าเปล่าๆ แต่อีกนัยหนึ่งต่อให้รูปร่างหน้าตาแปรเปลี่ยนไปมากแค่ไหนจะเลวร้ายเพียงใด สิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็นจิตใจที่ไม่มีใครขโมยหรือเลียนแบบได้ เหมือนเลือดที่มีกรุ๊ปเลือดต่างกันก็ไม่มีวันเข้ากันได้ ถ้าว่ากันด้วยสาระนับว่าเสนอปมตัวละครได้อย่างอิ่มรับประทาน มีมุมมองที่ถ่ายทอดกระจายได้ชัดเจนในเรื่องกระจายบทบาททั้งฝ่ายฌอนและเคสเตอร์ที่เห็นถึงสภาพความต่างของครอบครัว แต่ที่น่าปรบมือคือการที่นักแสดงดาราทั้งสองยังมีมาดทั้งร้ายดีได้อย่างน่าตกใจจนไม่น่าเชื่อว่าจะเล่นได้ทั้งพระเอกและตัวโกงในเวลาเดียวกันได้กับ John Travolta และ Nicolas Cage ที่เล่นได้ดีจนต่างฝ่ายออกมาแย่งซีนความเด่นที่ไม่รู้ว่าใครจะมากกว่ากันดี สุดท้ายคือแอ็คชั่นที่มันส์ได้ที่ไม่เว่อร์เกินไปแต่เอาความดุเดือดเป็นหลัก จากนั้นปิดท้ายด้วยแอ็คชั่นยาวๆบนเรือที่วิ่งไล่กันมันส์ไม่แพ้รถยนต์ ถ้าเรื่องนี้ค่อนข้างแน่นอนสูงเลยล่ะ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)