Friday the 13th: The Final Chapter (1984) ศุกร์ 13 ฝันหวาน ภาค 4

Friday the 13th: The Final Chapter (1984) | ศุกร์ 13 ฝันหวาน ภาค 4
Director: Joseph Zito
Genres: Horror | Thriller

ความจริงเรื่องราวของศุกร์สิบสามควรจบลงที่ภาคสามได้แล้ว ทว่าเป็นการปิดตัวเองที่ไม่ค่อยสวยแถมยังชวนตะหงิดใจ จนได้ข้อสรุปว่าภาคที่ปิดตำนานเจสัน วอร์ฮีส์คือภาคนี้แหละ ไม่เชื่อดูชื่อหนังบอกว่า"Final Chapter"


หลังจากนอนแน่นิ่งคิดว่าตายกันไปแล้ว รถพยาบาลจึงนำร่างไปห้องชันสูตรอย่างไม่รีรอ(ขวานจามหัวขนาดนั้นใครๆต้องคิดว่าเดี้ยงแน่ล่ะ) ระหว่างที่นอนสลบเหมือนตายนั้นเองมีคู่หมอพยาบาลแบบจู๋จี๋กันข้างๆเตียง(แหม่อุตส่าห์นอนสบายแล้วแท้ๆดันมาปลุกกวนซะได้) เจสันจึงได้สติฟื้นขึ้นมาอึดต่ออีกรอบพร้อมกับอีกสองศพติดไม้ติดมือก่อนจะกลับไปแถวบ้านเกิดแคมป์คริสตัล เลคอีกครั้ง ซึ่งอีหรอบเดิมคือเจอกลุ่มวัยรุ่นอีกครั้ง และหนนี้มีครอบครัวจาร์วิสอาศัยอยู่ตอนที่พร้อมหน้าตาทั้งแม่ลูก ซึ่งมีคุณแม่ (Joan Freeman) ,ทริช (Kimberly Beck) ลูกสาว และทอมมี่ (Corey Feldman) ลูกชายคนเล็กที่ชื่นชอบเรื่องราวลึกลับรวมถึงเรื่องสยองขวัญมากมาย ที่ตอนนี้ไม่เป็นที่ปลอดภัยซะแล้ว คราวนี้จะเป็นการปิดไตรภาคแห่ง Friday the 13th ยังไงกันล่ะ

ประเดิมบอกก่อนเลยว่าการดู Friday the 13th ให้สนุกคือการหยิบมาชมต่อๆกันทีเดียวสี่ภาคติด 1-2-3-4 เรียงตามลำดับ เพราะมีเนื้อเรื่องติดต่อกันและจะชวนติดตามอย่างมากเวลาเหมือนจะจบแต่ไม่จบทำให้ต้องหยิบตอนต่อไปมาดูจนได้ อีกทั้งยังเพิ่มอรรถรสที่ดีในการติดตามเรื่องราวเหมือนซี่รีย์ที่ต้องแฝงอะไรบางอย่างลงไปให้กลมกล่อม เหตุผลที่ต้องดูทีเดียวสี่ภาคติดคือความสนุกที่ได้รับจะคุ้มค่ากว่าเวลาหยิบภาคใดภาคหนึ่งมาดูแล้วปล่อยไปหาหนังเรื่องอื่นมาชม


ซึ่งบางคนก็ไม่รู้สึกรู้สาเท่าไหร่กับหนังเรื่องนี้ที่ไม่มีอะไรมากนอกจากฆ่าๆแล้วจบ ไม่มีอะไรนอกจากสูตรที่แน่ๆอยู่แล้ว ทั้งตัวละครที่ดูไม่ยากว่าเมื่อถึงคราวตาย หรือจะมาตรฐานสูตรที่ใครมีอะไรกันต้องตาย โอเคว่าอาจจะดูธรรมดาสำหรับยุคสมัยนี้ และอาจจะมีบ่นกันบ้างที่ว่ามันไม่มีอะไรพลิกแพลงเลย แต่อย่าลืมนะว่าต้นฉบับเรื่องราวของหนังความสยองขวัญสมัยหลังๆมีเทคนิคหยิบยืมจากเรื่องนี้มามิใช่น้อย ฉะนั้นถ้าใจรักจริงรับรองดูสนุกอยู่แล้ว แต่กลับคนที่ไม่ค่อยชอบนี่สิไม่รู้จะว่ายังไง เอาเป็นว่าการจะดูให้สนุกต่อเนื่องคือการรับเรื่องราวทั้งสี่ภาคอย่างต่อเนื่อง จับจุดนิดหน่อยจะรู้ว่าตัวหนังได้อธิบายเหตุผลเอาไว้แล้วว่าทำไมต้องสี่ภาคแรกเท่านั้น ส่วนภาคหลังจากนี้เหรอ เอาไว้พูดทีหลังแล้วกันเดี๋ยวจะเสียอารมณ์เปล่าๆ

เสน่ห์ของภาค The Final Chapter คือการนำเนื้อเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาใส่ในตอนเปิดเรื่อง เป็นฉากเล่าเรื่องราวของเจสันที่นั่งรอบกองไฟในภาคสอง จากนั้นจะตัดสลับไปกับภาคอื่นๆตามด้วยฉากฆ่าที่แล้วๆมาให้เห็นกันจุใจเพื่อต้อนรับบทสรุปปิดท้าย รวมถึงสไตล์การดำเนินเรื่องที่จับแนววัยรุ่นมารวมกันจนได้กลุ่มวัยรุ่นแนวๆออกมา สังเกตได้ว่าภาคนี้กลุ่มวัยรุ่นมีจุดเด่นของตัวเองที่แตกต่างกันไปคนละแนว ทั้งปมทั้งประเด็นของภาคที่แล้วจะถูกมาใส่ในภาคนี้กับเหล่าตัวละครทุกรูปแบบ ซึ่งนั้นเป็นเหตุผลเล็กๆว่าทำไมภาคนี้จึงขึ้นชื่อว่ามีการเปลือยกายมากที่สุดในหมู่สี่ภาค ไม่เชื่อลองหาชมดูได้ว่าเปลือยมากแค่ไหน เพราะงานนี้เล่นน้ำแบบไม่มีใส่เสื้อผ้าสักชิ้นกันเลยทั้งหญิงทั้งชาย(สงสัยจะร้อนจนอยากเล่นน้ำจัด) และเมื่อมีการเปลือยเกิดขึ้นย่อมต้องรู้สึกหึๆในใจว่าทันทีเกี่ยวกับสูตรตายตัวเซ็กซ์ต้องห้ามที่ใครทำอะไรกันย่อมไม่รอด จากตัวอย่างช่วงแรกของหนังก็เล่นซะแล้ว ซ้ำยังถือเป็นการทักทายผู้ชมอย่างหนึ่งอีกด้วย เนื่องจากตอนที่หมอกับพยาบาลยุ่งกันอยู่นั้นได้เปิดทีวีทิ้งเอาไว้ ทั้งที่ปากบอกอยากจะดูข่าวแท้ๆ สุดท้ายกลับไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างอื่นๆแทนก่อนจะถูกเจสันกระตุ้นด้วยการทำเป็นมือตกจากเตียง ทำเอาร้องลั่นตกอกตกใจหมดแถมหมดอารมณ์ทำต่อเลย เป็นการบอกนัยๆกับผู้ชมว่า"ถ้าจะชมต้องชมจริงๆ ไม่ใช่เปิดส่งๆ ไม่งั้นจะมีชะตากรรมแบบคนพวกนี้"(มันเกี่ยวไหมนี่)


บรรยากาศป่าเขา เงาต้นไม้ กลิ่นอายทะเลสาปได้หลั่งไหลเข้ามาในภาคนี้จนครบ ตามด้วยวัยรุ่นแบบครบวงจรที่มีปมประเด็นชีวิตมาให้เห็นอีกครั้ง ในบทจิมมี่ (Crispin Glover) กับปมด้อยเรื่องการมีคู่รักที่ตัวเองขาดความมั่นใจในการพิชิตสาวๆ แต่ได้เสียงสนับสนุนจากเท็ด (Lawrence Monoson) เป็นผู้ช่วยสื่อให้ แม้บางครั้งจะแซวจนชวนให้น่าโมโหก็ตาม เช่นเดียวกับซาร่า (Barbara Howard) ที่ยังไม่ชินกับความรักที่มีเซ็กซ์มาเกี่ยวข้องจนช่วงแรกยังลังเล และไม่พร้อมใจรับคู่ของตัวเองเท่าไหร่

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเก่งแย่งคนรักอีกด้วย ที่ตอนหลังมีสมาชิกวัยรุ่นเพิ่มเข้ามาอีกสองคนเป็นผู้หญิงล้วนแถมแฝดอีกด้วย ซึ่งกลายเป็นประเด็นศึกแย่งภายในที่เอาศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงมาเกี่ยวข้อง นอกจากประเด็นชีวิตวัยรุ่นแล้วยังมีประเด็นความเสี่ยงของเด็ก ซึ่งในเรื่องคือทอมมี่ที่ให้ความสนใจกับสื่ออย่างมากโดยเฉพาะเรื่องลึกลับน่ากลัว ทีแรกตัวละครนี่อาจจะไม่มีอะไรพิเศษมากนัก จนกระทั่งได้อ่านข่าวเรื่องฆาตกรเจสันเท่านั้นแหละถึงกับคลั่งไคล้ลงทุนโกนหัวคิดทำอะไรแผงๆออกมา จนกว่าจะถึงตอนนั้นสภาพจิตใจได้เปลี่ยนไปแล้วกับอาการช็อกที่โดนเจสันไล่ฆ่า ยิ่งเด็กด้วยคงไม่ต้องบอกว่าคงจะรู้สึกย่ำแย่แค่ไหนกับเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น เหมือนจะบอกเป็นนัยเกี่ยวกับสื่อในทำนองที่ว่ายิ่งรับรู้มากยิ่งเปลี่ยนไปในทางด้านนั้นมาก เช่นเดียวกับทอมมี่ที่ยิ่งรับความรุนแรงขึ้นมาเท่าไหร่ในใจที่กำลังสับสนจะยิ่งก้าวร้าวกว่าเดิมมาก จึงไม่แปลกใจเลยถ้าตัวหนังจะจบลงแบบนั้นโดยปล่อยให้ทอมมี่กลายเป็นอีกคนหนึ่งไป ไม่ต่างจากภาคก่อนๆเลยที่บรรดาผู้รอดชีวิตจะสติแตกขั้นเห็นภาพหลอนจิตตา


มาเข้าเรื่องปมชีวิตวัยรุ่นอีกครั้งหลังจากลองดูใจเด็กไปบ้างแล้ว จิมมี่คือคนที่ไม่กล้าแสดงออกเต็มตัว มีอะไรจะออกกล้าๆกลัวๆ ส่วนหนึ่งเนื่องจากเกร็ง และหลงดีใจอย่างสุดขีด ตอนที่เพื่อนของตัวเองต่างมีคู่กันทำให้เขาดูเปล่าเปลี่ยว แต่พอได้ผู้หญิงเข้าหน่อยกลายเป็นว่าธาตุแท้ในใจออกมาด้วย คล้ายส่วนหนึ่งทำเพื่อระบายอารมณ์บวกกับแสดงให้คนอื่นดูด้วยว่าตัวเองสามารถมีคู่ได้ไม่ต่างจากคนอื่น ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้ประจักษ์ต่อหน้าเท็ดที่ก่อนหน้านี้แซวหลายหนจนเกือบๆจะฟังดูเป็นปมด้อยไปซะสนิท แต่เท็ดเองใช่ว่าจะมีคู่เหมือนกัน จึงทำตัวให้เหมือนผู้รู้ บอกจิมมี่ทำอย่างนู้นอย่างนั้นลองถามคอมพิวเตอร์ดูสิ มีประโยคที่พูดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ให้ลองถามดูว่าทำไมถึงไม่มีคนสนใจ ซึ่งคำตอบคือนายมันไม่ได้เรื่อง อีกแล้วกับเรื่องของสื่อที่บางคนเชื่อเทคโนโลยีมากกว่าชีวิตจริงเสียอีก ซึ่งดีหน่อยที่จิมมี่ไม่เชื่อ ส่วนเท็ดได้แต่หัวเราะซึ่งกลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วเขาแย่ยิ่งกว่าจิมมี่เสียอีก นี่แหละชีวิตวัยรุ่นที่ต่างมีเพื่อนดีไม่ดีแล้วแต่จะคบหา

ผู้กำกับ Joseph Zito เข้าใจเลือกเรื่องราวได้ดีไม่น้อยในการเดินเรื่องให้ต่อเนื่อง ไม่อืดเกินไปแถมยังได้บรรยากาศรวมสามภาคก่อนมาใส่แบบครบเครื่อง แต่ที่แน่คือยังเพิ่มตัวละครตามล้างแค้นเจสันที่ไปฆ่าน้องตัวเองอีกด้วย คือร็อบ ไดเออร์ (Erich Anderson) ที่กำลังตามตัวเจสันเพื่อคิดบัญชี หลายคนคงงงว่ามาตามล้างแค้นให้น้อง แล้วน้องที่ว่าคือใครกันล่ะ ให้ย้อนกลับไปภาคสองจะมีตัวละครผู้หญิงอยู่คนที่ชื่อแซนดร้า ไดเออร์ นั้นแหละน้องที่ว่าจะแก้แค้นให้ดังกล่าว เป็นภาคที่เข้าใจหาเนื้อเรื่องมาใส่จริงๆ ทำเป็นผูกเรื่องราวด้วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เข้มข้นอะไรมาก แค่บอกถึงเหตุผลของตัวละครที่มาว่ามาที่แห่งนี้ทำไม ซึ่งช่วยให้เรื่องราวมีความต่อเนื่องมากขึ้น จึงเป็นไตรภาคทั้งสี่ที่เนื้อเรื่องต่อกัน น่าเสียดายหรือคิดไปเองไม่รู้ว่าเป็นตัวเกินของเรื่องหรือเปล่า เพราะภาคนี้มีเหตุผลรองรับอีกประการคือจบด้วยเลขสิบสาม อะไรคือสิบสาม? ให้ไปนับคนที่ถูกฆ่าสิจะได้ 13 ศพพอดีเลย ไม่ใช่แค่นั้นตอนเปิดตัวยังเปิดในวันศุกร์ที่ 13 อีก กะให้จบด้วยเลขของตัวเองแบบสวยๆ ไม่รู้จะโชคดีหรือร้ายกันแน่ที่เลือกเลขอัปมงคลของชาวคริส แต่รายได้ไม่ใช่เลขอัปมงคลแน่นอน เพราะใช้ทุนสร้าง 1.8 ล้านสหรัฐ ได้รายได้มา 32 ล้านสหรัฐ เอาทุนต่ำกำไรงาม


ส่วนความสยองที่ได้รับคงไม่ต้องบอกอะไรมากเช่นเคย เพราะความสยองยังไม่ทิ้งห่างภาคก่อนที่แทงเชือดกันจะๆ ไม่เกรงใจผู้ชมวัยเด็กว่ารับไม่ได้(แล้วใครปล่อยเด็กมาชมกันล่ะเนี่ย) ความสยองการันตีได้ชัวร์ แต่ความมันส์นี่สิยิ่งได้ใหญ่ โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่องที่เล่นงานเจสันจนสะบักสะบอม ชอบมากเลยตอนหยิบโทรทัศน์ขว้างใส่หัว เห็นแล้วสะใจไปอีกแบบ ส่วนความลุ้นยังเสียวใช้ได้แถมยังโผล่มาแบบสะดุ้งด้วย อย่างฉากนอนบนเรืองี้ พึ่งจะเคยเห็นเจสันว่ายน้ำเป็นก็คราวนี้แหละแถมมาเนียนอีกด้วย แต่เชื่อเหอะว่าภาคนี้มีหลายอย่างที่ค่อนข้างจัดเต็ม ตัวเจสันเองยังจัดเต็มภาคนี้มาแรงเยอะกว่าภาคก่อนอีก เล่นเดินชนประตูพังได้อย่างสบายๆแล้วแบบนี้จะไม่ได้กลัวได้ไง หรือจะสูตรตำนานใครมีอะไรกันต้องตายที่งวดนี้ขอสามคู่มาให้เต็มอิ่ม(และอีกคู่ตอนเปิดเรื่องหมอกับพยาบาล) ฉะนั้นเอาเป็นว่ายิ่งดูไล่ระดับ 1-2-3-4 ยิ่งดูสนุกเข้าไปใหญ่กับเทคนิคสไตล์การฆ่าที่ไม่ปรานี ฆ่าได้ฆ่าเลยตายแน่ๆ เป็นภาคปิดตำนานเจสัน วอร์ฮีส์ที่จบจริงๆล่ะภาคนี้

เดี๋ยวก่อนนะไหนบอกว่าว่าปิดจบเจสันไปแล้วไงในภาคนี้แล้วไงมีภาคต่อมาอีกล่ะ อ่อลืมบอกไป คือที่ว่าปิดจริงๆเป็นการบอกว่าปิดความเป็นคน ส่วนภาคหลังจากนี้เจสันมันกลายเป็นตัวอึดฆ่าไม่ตายไปแล้ว นี่ยิ่งกว่าซอมบี้หรือแฟรงเก้นสไตน์อีกนะ(ขอบอก)

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)