Scanners (1981) สแกนเนอร์ หัวหลุดหยุดไม่ได้

Scanners (1981) | สแกนเนอร์ หัวหลุดหยุดไม่ได้
Director: David Cronenberg
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: B

กับหนังเรื่องนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าชอบก็ชอบ แต่ถ้าไม่ชอบจะรู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้ โดยส่วนตัวรู้สึกกลางๆว่ามีทั้งชอบและนิ่งในบางช่วง ถ้ามองโดยรวมจริงๆมันค่อนข้างจะสนุกเลยแหละกับสไตล์พลังจิตที่เรียกว่าสแกนเนอร์อะไรทำนองนี้ อีกทั้งหนังยังมีอารมณ์บรรยากาศแบบหม่นๆชวนเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความดาร์คยังไงชอบกล แต่ไม่ได้แปลว่าจะออกมาดูมืดเต็มไปด้วยฉากกลางคืนเพียงอารมณ์มันสื่อได้ทางเข้มข้นเสียมากกว่า และเจ้าความเข้มข้นนี่แหละที่ทำให้หนังสนุกในแบบของตัวเอง ซึ่งอันนี้เป็นผลงานอีกครั้งของผู้กำกับ David Cronenberg ที่โดยส่วนตัวออกจะชอบสไตล์ของบรรยากาศพอสมควรเพราะดูหนักแน่นไม่สดใสหรือให้ความหวังในแบบพระเอกชนะใสๆหรือตัวร้ายพลาดง่ายๆ คือจะว่าตัวฝั่งพระเอกก็ไม่ได้เป็นอะไรที่อยู่โทนขาวเสมอไปเพราะบางครั้งบางช่วงเราจะดูออกเลยว่ามีเล่ห์เหลี่ยมในตัวไม่แพ้กันและพร้อมจะทำในแบบที่ตัวร้ายทำได้อยู่เสมอเพื่อเอาชัย ก็อย่างว่าตามสไตล์ที่มืดหม่นไม่มีความชัดเจนนอกจากบอกได้ว่านี้คือคนที่ยังมีส่วนที่ดีกับไม่ดี ในขณะที่ Scanners บ่งบอกชัดมากในทางด้านพฤติกรรมที่ต่อให้ไม่ตั้งใจก็ถึงกับฆ่าคนตายได้ เจ้าความไม่ตั้งใจนี่แหละที่ทำให้คิดได้ว่าถ้าเกิดแกล้งทำเป็นไม่ตั้งใจจะเป็นยังไงล่ะ

Gremlins 2: The New Batch (1990) เกรมลินส์ 2 ปีศาจถล่มเมือง

Gremlins 2: The New Batch (1990)
เกรมลินส์ 2 ปีศาจถล่มเมือง
Director: Joe Dante
Genres: Comedy | Fantasy | Horror

สงสัยจะป่วนไม่พอเพราะคราวนี้กะจัดเต็มให้วายวอดไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว แต่อะไรนั้นคงไม่เท่ากับการสานต่อที่ต้องบอกว่ากะเอาฮามากกว่าชวนเป็นหนังสยองขวัญเสียอีก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ความวุ่นวายจะมากขึ้น ชุลมุนยิ่งขึ้น และเซอร์ไพรส์ด้วยทีเด็ดยิ่งกว่าหนังตลกล้อเลียน Scary Movie ที่รวมหนังทีละนิดทีละหน่อยเป็นเรื่องเดียวกันอย่างงงๆที่ไม่รู้อัดไปได้ไง แต่กับ Gremlins 2: The New Batch อาจไม่เชิงว่าจะตั้งใจล้อเลียนไปซะทั้งหมดหากจะเป็นสะกิดต่อมชวนคิด โดยเฉพาะการแซวหนังแนวๆนี้ในทำนองที่หักเหยิ่งขึ้นแบบที่ภาคแรกได้ทำเอาไว้ด้วยการทำให้ทุกอย่างดูสดใหม่เกินกว่าหนังสัตว์โลกหน้ารักธรรมดาสมควรจะเป็นไม่ว่าจะตัวละครที่ทันต่อสถานการณ์ การเล่นในพื้นที่จำกัดแต่ใช้การอาละวาดได้อย่างทั่วถึง มุขที่ใส่มาถูกจังหวะจนไม่จัดว่าเกินหน้าเกินตากลายเป็นแนวตลกบ้าๆบอๆ และที่สำคัญสุดจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผู้ชมรู้ทันทีว่านี้แหละคือหนัง Gremlins คือกฎ 3 ข้อที่เป็นข้อห้ามทั้งหมด ไล่มาตั้งแต่ข้อแรกที่กล่าวเอาไว้อย่าให้โดนแสงเด็ดขาดเพราะจะฆ่ามันได้ ข้อที่สองอย่าให้โดนน้ำ และข้อสุดท้ายที่กลายเป็นหายนะถ้ารักษากฎไม่ได้ คืออย่าให้อาหารหลังเที่ยงคืนไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ซึ่งอีหรอบเดิมคือกฎเหล่านี้รักษาไม่ได้และหายนะความซวยก็มาถึง

Gremlins (1984) เกรมลินส์ ปีศาจแสนซน

Gremlins (1984)
เกรมลินส์ ปีศาจแสนซน
Director: Joe Dante
Genres: Comedy | Fantasy | Horror

"พร้อมจะดูแลรับผิดชอบไหมภายใต้กฎ 3 ข้อ โดยเฉพาะเวลาที่กลายเป็นพวกมัน คุณต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิม"

นับเป็นหนึ่งในความอัศจรรย์ที่สุดที่รวมความสยองขวัญกับความน่ารักเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ความน่ารักไม่มีหรอกนะหากไม่ใช่เพราะ Steven Spielberg ซื้อบทหนังจาก Chris Columbus ที่ดั้งเดิมกะเอาโหดไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว แต่เมื่ออยู่ในมือของพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดคราวใดมันย่อมเปลี่ยนแปลงไม่พ้นเหมาะสมสำหรับเด็กด้วยเช่นกัน แม้จะรู้สึกแปลกไปบ้างเพราะดั้งเดิมนั้นเริ่มต้นด้วยสไตล์ระทึกขวัญอย่างที่เราพอจะเห็นอย่าง Jaws (1975) จนทำเอาต้องเลิกเล่นน้ำทะเลไปชั่วระยะหนึ่ง จนกระทั่งความชัดเจนได้ปรากฎในเรื่อง E.T. the Extra-Terrestrial (1982) ที่กลายเป็นว่าทำออกมาเหมาะสมกับเด็กเป็นอย่างยิ่งยวด ไม่สิต้องบอกเหมาะกับครอบครัวเสียด้วยซ้ำ ด้วยภาพลักษณ์หนังเอเลี่ยนที่มองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายการทำลายก็กลายเป็นอีกแบบที่แม้แต่เด็กยังเข้าใจได้ดีกว่าผู้ใหญ่บางคนจนเป็นการเปิดกว้างให้กับอวกาศที่ยังมีเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนที่รักสงบและรู้ค่าของการมีชีวิตให้คุ้มค่า ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดมากนักแต่การสร้างความโด่งดังที่ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงแต่เป็นตัวหนังเพียวๆกับคุณภาพเรียกน้ำตานี่สิ กลายเป็นแม่แบบที่ดัดแปลงได้อย่างน่าชื่นชม เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่แรกๆหวังสยองขวัญโหดสุดๆกลับกลายเป็นความสยองนั้นคือเรื่องตลกแถมไม่แน่ว่าจะเรียกว่ามันคือความสยองได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการป่วนเมืองเท่านั้น เป็นเพียงการอาละวาดให้ผู้คนตกใจกลัว ก็แบบกลัวจนอยู่ไม่ได้อ่ะ

Videodrome (1983) วีดีโครม

Videodrome (1983) | วีดีโครม
Director: David Cronenberg
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: A+

เมื่อไรกันที่ชีวิตคนเราจะต้องมีเอี่ยวกับกับจอสี่เหลี่ยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไรกันที่จอสี่เหลี่ยมนี้มีอิทธิพลมากพอต่อการคุกคามชีวิต และเมื่อไรกันที่โลกความจริงกลายเป็นโลกเสมือนจริงต่อสายตาที่มองจอสี่เหลี่ยม แต่จะอะไรนั้นเรากลับบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่กำลังดูมีผลเสียต่อเรายังไงบ้างในแง่การรับชมเพราะเราเลือกได้ว่าจะดูอะไรตามเจตนารมย์ของตัวเอง กระนั้นการเลือกด้วยสำนึกของตัวเองคงไม่พ้นเลยไปกับคำว่าปรารถนาหรืออยากเสียมากกว่าความสงสัย ถ้าในกรณีนี้คือการดูความรุนแรงที่มีการทำร้ายร่างกายจนได้เลือดของเหยื่อที่ร้องคร่ำครวญด้วยความทรมาน สิ่งที่เราคาดคิดคือจะเป็นยังไงต่อไปเกี่ยวกับเหยื่อรายนั้นที่จะกรี๊ดร้องต่อไปได้สักกี่น้ำหรืออาจได้เห็นอะไรที่แปลกใจมากขึ้น เรามีความสงสัยไหมว่าเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งที่เราควรจะมองรายละเอียดในจุดนั้นซึ่งกลายเป็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่บางครั้งเราก็สงสัยทำไมต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ด้วย นั้นเพราะยังเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับเราที่บอกได้คือยังใหม่ ก็ลองให้กลายเป็นเรื่องปกติไปสิ เอาแบบหนังโป๊ที่ไม่รู้ว่าพระเอกกับนางเอกคือใคร รู้จักหรือไม่ เนื้อเรื่องมีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ลงรายละเอียดไปที่จุดเดียวกับคำว่า "Porn" เราไม่เคยสงสัยมันจะเริ่มยังไงเพียงรู้อย่างหนึ่งคือเอกลักษณ์ของมันแล้วสิ่งนั้นเป็นแบบไหนต่อไปคือสิ่งที่เรากำลังคิดสงสัย

Riddick (2013) ริดดิค 3

Riddick (2013)
ริดดิค 3
Director: David Twohy
Genres: Action | Sci-Fi | Thriller

"กลับสู่รากเหง้า มาทางไหนกลับทางนั้น เผชิญหน้ากับความมืด"

ริดดิค (Vin Diesel) ตัวละครประเภทแอนตี้ฮีโร่ที่สุดแสนจะร้ายกาจกลับมาอีกครั้งเป็นครั้งที่สามหลังจากหนก่อนใน The Chronicles of Riddick (2004) โดนบ่นขนานหนักในทางเนื้อเรื่องว่าออกทะเลมากเกินไปจนแทบจะทิ้งเอกลักษณ์เช่นในภาคแรกแบบ Pitch Black (2000) ที่เป็นหนังแจ้งเกิดตำนานนักฆ่าผู้ถูกตามหมายหัวระดับจักรวาลที่มีค่าหัวแสนแพงและแพงยิ่งขึ้นหากจับตาย ทว่าชีวิตของริดดิคไม่เคยจะพบสุขสบายเลยแม้สุดท้ายจะขึ้นเป็นผู้นำเนโครมองเกอร์สในท้ายที่สุดก็ตามที เนื่องจากเขาเริ่มตระหนักในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยว่านี้ไม่เหมาะกับชีวิตที่เขาควรจะเป็นอีกต่อไปแม้จะอยู่เป็นสุขในฐานะผู้นำที่มีการบริการถึงใจในแบบที่ใครได้ก็ล้นสุข สุดท้ายริดดิคยังคงเป็นริดดิควันยังค่ำและเขาชักอยากกลับบ้านเกิดของตัวเองเพื่ออย่างน้อยที่นั้นยังเป็นดาวที่ตัวเองได้เคยอยู่และใช้ชีวิตตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะห่างไกลมานานและบ้านเกิดที่มีนามว่าดาวฟิวรี่จะถูกมองว่าโดนลบไปจากจักรวาลแต่เขาก็อยากเห็นกับตาตัวเอง จนใช้ฐานะผู้นำนี้เองสั่งให้ไปยังบ้านเกิดเมืองนอนเพราะหน่ายกับชีวิตเช่นนั้น เมื่อมาถึงทว่าสถานที่แห้งแล้งดังกล่าวกลับไม่ใช่ดาวบ้านเกิดของตัวเองและถูกทรยศจนพลาดท่าโดนทิ้งร้างบนดาวที่ไม่รู้จัก ตอนนี้เขาโดดเดี่ยวและเสื่อมสภาพหลังจากใช้ชีวิตในฐานะผู้นำเนโครมองเกอร์สมาสักระยะหนึ่งจนฝีมือกับสัญชาตญาณไม่ได้เก่งกาจเช่นก่อนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อเขาต้องอยู่คนเดียวบนดาวที่ไม่รู้จักกับเอเลี่ยนที่แปลกหน้าตา สิ่งสำคัญคือปลุกริดดิคคนเดิมออกมา ปลุกความดิบตัวเองอีกครั้ง

The Conjuring (2013) คนเรียกผี

The Conjuring (2013)
คนเรียกผี
Director: James Wan
Genres: Horror | Mystery | Thriller

"พล็อตเรื่องเดิมๆ เนื้อเรื่องงั้นๆ หนังผีก็ยังคงเป็นหนังผีวันยังค่ำ มันจะมีอะไรใหม่ได้ถ้าไม่แหวกธรรมเนียมเดิม"

นี่คงเป็นประโยคสั้นๆเกี่ยวกับหนังผีที่ไม่ค่อยมีความสดใหม่อะไรนักนอกจากการทำให้ผู้ชมเกิดอาการตกใจกลัวประกอบกับเนื้อเรื่องที่สไตล์ใครสไตล์มันจะผีเฮี้ยน คำสาปแช่ง หรือตำนานอะไรก็แล้วแต่ล้วนหนีไม่พ้นการแหกกฎหลักวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงการมีอยู่ที่นอกเหนือการควบคุมและเหลือเชื่อเพราะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือการหยั่งรู้ด้วยความสมเหตุสมผล ฉะนั้นความน่ากลัวของหนังผีอย่างหนึ่งคือวิธีต่อกรที่ไม่รู้ว่าจะรับมือสิ่งที่ไม่รู้จักต่อหน้าได้ยังไง ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือเหล่าภูติผีวิญญาณต่างไม่มีสสารในตัว ความสามารถอย่างหนึ่งของผีคือไร้รูปทรงให้สัมผัสหรือจะบอกว่าหายตัวก็ไม่เชิง จึงไม่แปลกว่าทำไมมีความรู้สึกคล้ายถูกจ้องมองตลอดเวลารวมถึงรู้ด้วยว่าเราจะทำอะไรต่อไปทั้งที่พยายามแอบแล้วก็ตาม ด้วยสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มากมายประหนึ่งเวทมนต์ชั้นสูงที่ทำให้คนเรากลัวได้แม้จะมองไม่เห็นหรือโดนเล่นงานก็ตาม กระนั้นด้วยจิตใต้สำนึกยังคงบอกว่าอะไรคือสิ่งที่เรากำลังประสบอยู่และสมควรจะกลัวสิ่งนั้นหรือไม่เพื่อหนีต่อสิ่งที่ไม่ควรประสบ หลักการทำงานก็เหมือนกับสัตว์ที่รู้จักชนชั้นว่าใครอยู่เหนือกว่าก็ควรหลบหนีเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าที่สูญเสีย ทว่ากับมนุษย์ที่คิดได้ด้วยสำนึกนั้นดูจะต่างจากการใช้สัญชาตญาณมากนัก เมื่อเจอสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จักจะเกิดข้อสงสัยกับรู้สึกไม่มั่นใจว่านี้คืออะไร กรณีกับผีคือสิ่งที่ไม่เห็นต้องไม่ได้ มันคือสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ นั้นเองจึงทำให้เกิดความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่อาจรับรู้ได้ สุดท้ายต่อสิ่งนี้เองทำให้เราเกิดอาการกังวลหวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้างกลายเป็นถูกรุกรานอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

Air Force One (1997) ผ่านาทีวิกฤติกู้โลก

Air Force One (1997)
ผ่านาทีวิกฤติกู้โลก
Director: Wolfgang Petersen
Genres: Action | Drama | Thriller

จัดว่าเป็นหนังขวัญใจชาวอเมริกันทั้งหลายเลยก็ว่าได้เพราะอย่างแรกที่ชี้ชัดคือการเชิดชูผู้นำประเทศหรือประธานาธิบดีที่ได้กลิ่นอายเต็มเปี่ยมราวกับเป็นหนังของชาติไปเลยก็ไม่เชิง ซึ่งแน่นอนว่ากับชาติอื่นอาจมองหนังเรื่องนี้เป็นเพียงแอ็คชั่นเล่นสถานการณ์ที่จำกัดบนเครื่องบินแต่ก็แฝงความเป็นผู้นำที่เสมือนกับว่าเครื่องบินลำนี้ไม่ต่างกับประเทศที่มีประชาชนอาศัยอยู่ เราจะต้องเลือกว่าประเทศสำคัญมากแค่ไหนประชาชนต้องสำคัญกว่ามากเพราะประชาชนคือประเทศ ถ้าขาดประชาชนต่อให้ผู้นำเก่งแค่ไหนก็สู้ไม่ไหวเพียงเพราะตัวคนเดียว

The Karate Kid (2010) เดอะ คาราเต้ คิด

 
The Karate Kid (2010)
เดอะ คาราเต้ คิด
Harald Zwart 
Genres: Action / Drama / Family / Sport
www.imdb.com/title/tt1155076/
Grade: B 

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ตัวหนังดันไม่ความเป็นคาราเต้สักนิดเพราะตลอดวิชาฝึกป้องกันล้วนมีแต่กังฟูจนน่าเปลี่ยนชื่อเป็น The Kung Fu Kid อาจจะเหมาะสมกว่ากันเยอะ แต่ถ้ามองโดยหลักพื้นฐานสักหน่อยในเรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันบางทีเรื่องของคาราเต้อาจเป็นจุดเล็กๆที่อยู่ในกังฟูก็เป็นได้ เพราะอย่าลืมสิว่าหลักของกังฟูไม่ได้มาจากอะไรแต่หากมาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะท่าทาง การเคลื่อนไหว ตลอดจนการโต้ตอบที่ลอกเลียนมาจากการเคลื่อนของสัตว์จนออกมาเป็นวิชา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากังฟูจะเหนือกว่าคาราเต้หรือคาราเต้เหนือกว่ากังฟูเว้นแต่กรณีกับตัวผู้ใช้ว่ามีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด จะคาราเต้ของญี่ปุ่นหรือกังฟูจากจีนสุดท้ายแล้วทั้งสองวิชาต่างขึ้นชื่อเรื่องวิชาป้องกันเป็นเลิศ ทว่าด้านกลยุทธ์เรื่องพลิกแพลงอาจต้องยกให้กังฟูที่มีหลากหลายรูปแบบ แต่ขณะเดียวกันคาราเต้ยังมีทักษะที่จับจุดตายได้ทันทีด้วยเช่นกัน ส่วนเหตุผลที่ทำไมพล็อตเรื่องถึงเปลี่ยนไปจากตัวต้นฉบับเมื่อปี 1984 จากคาราเต้มาเป็นกังฟูนั้นส่วนนึงน่าจะมาจากเนื้อเรื่องที่ไปเมืองจีน

Transformers: Age of Extinction (2014) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4: มหาวิบัติยุคสูญพันธุ์

 
Transformers: Age of Extinction (2014) | ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4: มหาวิบัติยุคสูญพันธุ์
Director: Michael Bay
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ว่ากันว่าเป็นภาคสุดท้ายที่ทางผู้กำกับ Michael Bay จะสร้างเอาไว้หลังจากกลืนน้ำลายตัวเองทั้งที่ควรจะจบลงไปแล้วตั้งแต่ภาค Transformers: Dark of the Moon (2011) ซึ่งเป็นอันสิ้นสุดไตรภาคศึกสงครามระหว่างออโต้บอทส์กับดีเซปติคอนส์เสียที ทว่าเจ้าตัวยังคงยืนยันในทำนองว่านั้นเป็นภาคสุดท้ายของเส้นเรื่องแรกเท่านั้นโดยครั้งนี้จะเป็นการนำไปสู่เส้นเรื่องใหม่ที่ไม่มีความเกี่ยวโยงในศึกสงครามระหว่างสองพวก หรือจะเรียกว่านำไปสู่การเริ่มต้นในเส้นเรื่องใหม่ก็ไม่เชิง แม้จะฟังดูไม่ขึ้นเท่าไหร่ ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเพราะรายได้จากภาคสามทำไปไม่น้อยถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจนเรียกว่ากอบโกยได้เยอะโครตรจากหนังหุ่นยนต์แปลงร่างชุดนี้ คงไม่แปลกใจถ้าเรื่องเกินคาดจะทำให้เกิดภาคใหม่ตามมาอีกครั้งซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงเท็จแค่ไหนหลังจากดูจบสิ่งที่ได้คำตอบจะปรากฎให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้กำกับกำลังเล่นอยู่นั้นคือจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ถ้ารายได้งามทะลุเป้าเมื่อไหร่เราไม่ต้องคิดเลยว่าจะหาเนื้อเรื่องอะไรมาเล่าหากมีการทิ้งปมประเด็นเอาไว้ให้ผู้ชมเกิดอาการสงสัยจนใครๆต้องร้องขอเพราะเนื้อเรื่องยังเคลียร์ไม่จบนี่นา

All Is Lost (2013) ออล อีส ลอสต์

All Is Lost (2013)
ออล อีส ลอสต์
Director: J.C. Chandor
Genres: Action | Adventure | Drama

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

หรือจะเรียกเป็นหนังทรมานคนแก่ก็คงไม่เชิงหากไม่ใช่ว่า Robert Redford ต้องมาแสดงคนเดียวทั้งเรื่องโดยมีสภาพเกินกว่าคนหนนุ่มจะสู้ได้ โดยเป็นไปตามเนื้อเรื่องที่่ลงเอยด้วยการเล่นอยู่คนเดียวท่ามกลางมหาสมุทรอินเดียอันแสนกว้างใหญ่ไพศาล เราไม่รู้เลยว่าลุงแกมาทำอะไรที่นี้ มาเพื่ออะไร ไปแห่งไหน รู้แค่ว่าล่องเรือมาไกลจนกระทั่งเซอร์ไพร์สด้วยการชนเข้ากับตู้คอนเทนเนอร์ที่ไม่รู้ว่าหลุดลอยมาจากไหนจนเรือเป็นรูอย่างไม่ทันระวังหรือคาดฝันมาก่อนว่าต้องเจอสักนิดเดียว นั้นจึงเป็นปัญหาของคนแก่ที่มีภาระด้วยการซ่อมเรือที่โดนชนจากอุปกรณ์เท่าที่มีในเรือก่อนเรือจะจบเพราะน้ำเข้า ซึ่งคนแก่คนนี้ไม่ได้ตกใจหรือหวาดกลัวต่อความเดียวดายแต่อย่างใดนอกจากการใช้สมองครุ่นคิดไปกับปัญหาชิ้นใหญ่ที่ทะลวงเรือเป็นรูนี้ว่าควรจะปิดมันยังไงให้เรือออกมาแล่นเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งแน่นอนว่าตลอดช่วงเวลานั้นเราไม่เห็นลุงแกทำอะไรนอกจากคิดหาวัสดุอุปกรณ์มาประดิษฐ์ซึ่งแกก็หาและทำสำเร็จในการปิดช่องว่างนั้นอย่างสบายใจหลังจากเคร่งเครียดมาสักระยะหนึ่ง

The Taking of Pelham 1 2 3 (2009) ปล้นนรก รถด่วนขบวน 123

The Taking of Pelham 1 2 3 (2009)
ปล้นนรก รถด่วนขบวน 123
Director: Tony Scott
Genres: Action | Crime | Thriller
 
มาเข้าเรื่องกับหนังทริลเลอร์ชั้นดีอีกเรื่องหนึ่งที่เสียตอนจบเพราะง่ายไปหน่อย ทว่าการเริ่มเรื่องตลอดจนกลางเรื่องคือความสนุกที่ระทึกใจไม่ใช่น้อยเพราะแนวๆนี้เป็นของถนัดของผู้กำกับ Tony Scott อยู่แล้วในการสร้างสถานการณ์ให้ออกมาดูซีเรียสเป็นหลัก โดยตัวหนังน่าจะป็นการรีเมคจากของเก่าเมื่อปี 1974 โดยเนื้อเรื่องเกิดขึ้นจากกลุ่มคนร้ายจี้รถไฟใต้ดินแห่งนครนิวยอร์ก สายเพแลห์ม 123 ซึ่งมีเพียงวอลเทอร์ การ์เบอร์ (Denzel Washington) พนักงานการรถไฟที่พบสถานการณ์จับตัวประกันที่รู้ตัวก่อนใครเพื่อนและมีการเจรจาจากไรเดอร์ (John Travolta) หนึ่งในนั้นได้เรียกข้อเสนอค่าไถ่ด้วยเงินสดจำนวนมหาศาลให้จ่ายเงินมาภายในเวลา 15.15 น. มิเช่นนั้นจะฆ่าคนหนึ่งต่อนาทีหนึ่งที่หายไป ก็สั้นๆกระชับใจความทั้งหมดเนื้อเรื่องก็มีอยู่แค่เท่าที่บอกคือมาจี้ตามด้วยเรียกค่าไถ่ ไม่มีอะไรมากสำหรับพล็อตเรื่องเช่นนี้ที่นอกจากทั้งหมดจะมัดอยู่กับที่เพื่อสร้างแรงกดดันแล้วก็หาความแตกต่างอะไรเลย แต่เหมือนการยังอยู่กับที่จะกลายเป็นความลุ้นของเรื่องนี้มิใช่น้อยที่ดุเดือดเผ็ดดุเรียบเรียงได้อย่างว่องไวจนลืมไปเลยว่าความเก่าของหนังยังคงสดทางอารมณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

The Collection (2012) จับคนมาเชือด

The Collection (2012) | จับคนมาเชือด
Director: Marcus Dunstan
Genres: Horror | Thriller
 
ถ้าสงสัยว่าจุดประสงค์ที่เกิดขึ้นใน The Collector (2009) มันคืออะไรกันแน่เพราะมาถึงก็เล่นกับดักทั้งบ้านอย่างไม่ทันตั้งตัวแถมยังจบด้วยการจับอาร์กิ้น (Josh Stewart) พระเอกของเรายัดใส่กล่องในตอนจบคล้ายจะมีภาคต่อ(ซึ่งก็นี้แหละ)อย่างหน้าตาเฉย(มันใส่หน้ากาก)จนเกิดเป็นคำถามที่หาคำตอบบทสรุปที่แท้จริงไม่เจอจนเป็นเหตุให้หนังออกมาอ่อนเรื่องของบทที่ยังปล่อยให้ผู้ชมออกอาการงงๆนอกจากบอกว่าชอบสะสมคน แต่หนนี้ได้กลับมาพร้อมกับคำตอบอย่างจริงจังว่าที่แล้วมาการจับคนยัดใส่กล่องไปนั้นเป็นความตั้งใจเพื่ออะไรกันแน่และกับดักที่ทำไมชอบวางนักก็เพื่อหาสิ่งที่สมบูรณ์แบบนั้นแหละ มาเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้ากับเจ้าโรคจิตนักสะสม (Randall Archer) ที่กลายเป็นคนดังไปแล้วในกลุ่มนักข่าวและตำรวจจนเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วนเพราะฆ่าคนเอาไว้เยอะ โดยส่วนตัวค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่เรื่องเริ่มเล่าแบบนั้นเนื่องจากภาคแรกเป็นหนังเกรดบีฟอร์มเล็ก พูดถึงก็เหมือนหนังสยองขวัญทั่วๆไปที่ปรับแต่งเนื้อเรื่องให้จุดเด่นอย่างเรื่องกับดัก กรณีเดียวกับ Saw ที่เป็นเกมส์ ซึ่งจากเหตุการณ์ในหนแรกไม่ได้ดูโด่งดังอะไรอย่างที่คิดถ้าจะเป็นกระแสขนาดนั้นได้ แต่เมื่อเจ้านักสะสมลงมือก็เข้าใจทันทีว่าการกลับมาครั้งนี้มันเหี้ยมกว่าก่อนมาก

The Collector (2009) คืนสยองต้องเชือด

The Collector (2009) | คืนสยองต้องเชือด
Director: Marcus Dunstan
Genres: Horror | Thriller

ชอบหนังที่เกี่ยวกับเกมส์หรือกับดักบ้างไหม ถ้าชอบก็พอจะนึกได้ว่าใช่ Saw หรือเปล่าที่เป็นแบบนั้น แต่เอาจริงๆเรื่องนี้ก็ถือมีส่วนคล้ายๆแบบนั้นด้วยเช่นกันแต่ไม่ใช่รูปแบบของเกมส์ที่ให้ตัดสินเลือกแต่เป็นกับดักที่เลือกให้โดนเสียมากกว่า สำหรับเรื่องนี้ได้ผู้กำกับที่เขียนบท Saw มาก่อนตั้งแต่ภาค 4-7 ดังนั้นรับประกันคอซาดิสต์ได้เลยว่าต้องมีอะไรเซอร์ไพรส์เลือดเนื้อหลุดกันบ้างอย่างแน่นอนแต่จะยังไงนั้นไปดูเรื่องย่อกันหน่อยเพราะเข้าขั้นเรียกว่าดวงซวยของแท้เลยโดยเฉพาะตัวเอกของเรา อาร์กิ้น (Josh Stewart) ที่ไปปล้นบ้านผิดหลังเพราะบ้านนี้ถูกเจ้าโรคจิตนักสะสม (Juan Fernandez) จ้องอยู่ก่อนแล้ว โดยก่อนหน้านี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาปล้นหรอกแค่ตามสืบส่องภายในบ้านว่าเป็นยังไงของที่ตัวเองต้องการอยู่ตรงไหน(มันก็ปล้นนี่) แต่เรื่องมีที่มาต้นเหตุคือต้องการเอาไปใช้หนี้พวกนอกระบบเพื่อเมียและลูกๆที่กำลังจะหนีออกนอกเมืองเพราะหาเงินมาใช้คืนไม่พอ แต่อาร์กิ้นก็นึกได้ว่ายังมีวิธีอยู่ซึ่งคือการปล้นนี่แหละและเขาเองก็มีเวลาจำกัดสัญญาเอาไว้ว่าภายในเที่ยงคืนจะเอาของมาให้ จนสุดท้ายลงเอยด้วยการเข้าบ้านง่ายชำนาญทางเพราะวิชางัดแงะแต่ออกยากเพราะใครไม่รู้วางของเล่นทั้งหลัง จึงเป็นการฉะระหว่างโจรผู้ย่องเบากับโรคจิตผู้ชอบ(กับ)ดัก แต่ความเจ๋งอยู่ที่การดวลของทั้งสองในความมืดยามราตรีไร้แสงไฟและสารพัดสิ่งประดิษฐ์ที่จบชีวิตได้ทันที ทุกย่างก้าว ทุกสิ่งที่มองเห็นแต่ไม่สังเกต ล้วนคืออันตรายที่คร่าชีวิตได้อย่างสบายๆในทันทีเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ไม่มีเหลือ แต่เรื่องของเรื่องคือเมื่อเข้าบ้านมาแล้วกลับออกไม่ได้นี่สิ งานนี้ต่อให้ปล้นได้แต่สงสัยจะสมหวังยาก

Kiss of the Dragon (2001) จูบอหังการ ล่าข้ามโลก

Kiss of the Dragon (2001)
จูบอหังการ ล่าข้ามโลก
Director: Chris Nahon
Genres: Action | Crime | Drama | Thriller
Grade: B

ในปีเดียวกันมี The One (2001) ที่สร้างความมันส์และบ้าพลังแถมยังวาบมิติไปที่ไหนๆก็ได้ ถ้านั้นคือการทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกไปกับการผสมเอฟเฟคเข้าช่วย เราอาจสนุกกับเรื่องนี้ในแบบปกติด้วยกังฟูในระดับที่พอดีกันดีกว่า เนื้อเรื่องกล่าวถึงหลิว ฉวน (Jet Li) เจ้าหน้าที่พิเศษจากจีนเดินทางมาฝรั่งเศสเพื่อร่วมมือกับฌอง ปีแอร์ ริชาร์ด (Tcheky Karyo) ผู้บัญชาการตำรวจท้องถิ่น เพื่อจับผู้ลักลอบค้ายาเสพติดข้ามชาติ

The Proposal (2009) ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ

The Proposal (2009)
ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ
Director: Anne Fletcher
Genres: Comedy | Drama | Romance

เรื่องวุ่นเกิดจากความรักโดยไม่ตั้งใจระหว่างมาร์กาเรต (Sandra Bullock) บรรณาธิการผู้ที่ใครก็ต่างเกรงอำนาจกำลังจะถูกเนรเทศกลับประเทศแคนาดาเพราะใบอนุญาตการทำงานสำหรับคนต่างด้าวในอเมริกาของเธอกำลังจะหมดอายุลง และด้วยความที่ยังไม่พร้อมเพราะงานที่ไปได้ดีทำให้งานนี้จึงต้องใช้วิธีแก้ไขหาแพะรับบาป ซึ่งคนนั้นไม่ใช่ใครเลยหากเป็นคนที่ใกล้เธอมากที่สุดคือแอนดรูว์ (Ryan Reynolds) ชายผู้ทำงานใกล้เธอเพราะเป็นผู้ช่วยทำตามคำสั่งและรายงานอยู่เป็นเวล่ำเวลา ด้วยแผนการสุดจะบรรเจิดยิ่งกว่านั้นคือทำให้ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเพื่อให้มาร์กาเรตมีสิทธิ์อยู่ในอเมริกาต่อได้อย่างอิสระ ทว่าเรื่องมันใช่จะง่ายซะที่ไหนเมื่อการจดทะเบียนมันไม่ใช่เรื่องหมูๆเพราะมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังจะดำเนินการตามกฎหมายกับเธอน่ะสิและเห็นพิรุธในเรื่องการมาจดทะเบียนนี้จึงชี้แจงรายละเอียดก่อนทำทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายจริงๆสำหรับคนที่รักกันแบบหลอกๆเพราะสิ่งที่ต้องเจอคือตำถามเกี่ยวกับคู่รักที่มักจะรู้กัน แล้วมาร์กาเรตจะไปเข้าใจแอนดรูว์ได้ยังไงกัน แถมถ้านี้ไม่ใช่รักที่บริสุทธิ์จะมีโทษตามกฎหมายที่ไม่ธรรมดาอีก ดังนั้นทั้งมาร์กาเรตและแอนดรูว์จึงต้องขอเวลาไปใช้ชีวิตด้วยกันที่บ้านของแอนดรูว์ซึ่งเรื่องเซอร์ไรส์ก็เกิดขึ้นทันทีนับแต่เริ่มเรื่อง

The One (2001) เดอะวัน เดี่ยวมหาประลัย

The One (2001)
เดอะวัน เดี่ยวมหาประลัย
Director: James Wong
Genres: Action Sci-Fi Thriller

มันคงเป็นหนังของ Jet Li ที่โชว์ความเว่อร์ได้เว่อร์สุดๆไปเลยล่ะมั้ง เล่นสู้ข้ามมิติกันแถมยังสู้กันข้าวของพังทลายไม่ต่างกับยอดมนุษย์สู้กัน(ไม่ถึงขนาดนั้นแต่เกือบล่ะ) แต่ที่แหวกแนวกว่าหน่อยเห็นจะเป็นเรื่องของมิติคู่ขนานที่มีมากถึง 125 มิติ และมีอยู่มิติหนึ่งที่มีคนคิดแหกกฎด้วยการไปเยือนมิติต่างๆโดยไม่ได้รับอนุญาติและยังตามเก็บตัวเองตามมิติต่างเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองทั้งสติปัญญาและพละกำลัง ฟังดูก็ชักจะเว่อร์ชอบกลแต่ถ้ามองเป็นหนังไซไฟอาจมีอะไรสนุกๆก็ได้ แต่มันไม่ใช่อ่ะสิเพราะหน้าหนังเกี่ยวกับมิติคู่ขนานก็ต่างแต่พวกหลักวิทยาศาสตร์ไซไฟอะไรพวกนี้เป็นแค่ตัวช่วยเสริมเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยหลักๆของเรื่องนี้คือความมันส์ในแบบที่เราไม่คุ้นเคยเห็นที่ไหนมาก่อนโดยเฉพาะกับอดีตศิษย์เส้าหลิน Jet Li ที่ต้องรับบทมากกว่าหนึ่งบทที่มีดีและร้ายสลับกันไปภายใต้ตัวละครหลักสองตัวระหว่างเกเบรียล ลอว์ (ตัวดี) ตำรวจพิทักษ์สันติรักสงบกับยู ลอว์ (ตัวร้าย) ที่ค้นพบว่าถ้าฆ่าตัวเองในมิติอื่นสำเร็จจะให้ตัวเองมีความสามารถที่มากขึ้นจนเป็นชนวนเหตุให้ตามฆ่าทุกมิติ และเชื่อว่าเมื่อฆ่าได้ครบทุกมิติจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง งานนี้เขาเรียกตีตัวเองใช่หรือเปล่า(ฮา)

Ghost Ship (2002) เรือผี

Ghost Ship (2002) | เรือผี
Director: Steve Beck
Genres: Horror
Grade: C-

"พึ่งจะเข้าใจคำว่าท่าดีทีเหลวก็เรื่องนี้แหละ"

คือฉากเปิดเรื่องของหนังยอมรับโดยบริสุทธิ์เลยว่าทั้งช็อคทั้งเหวอจนคิดแบบเต็มสูบว่าเป็นหนังผีที่สยองได้ใจจนน่าติดอันดับหนังโปรดก็เป็นได้โดยเฉพาะในความคัลท์ที่เข้าใจเปิดเรื่องด้วยการกระตุ้นเลือดเนื้อได้ดิบจริงๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าจุดเริ่มต้นของเรือผีจะสุดยอดขนาดนี้มันเจ๋งมากเลยนะบอกตรงๆ เพราะอะไรนั้นต้องขอบคุณความสามารถในการจับจุดได้ตรงจังหวะเรียกความสนใจได้อย่างอยู่หมัดแบบเส้นกราฟที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นจากต่ำสุดแล้วพุ่งไปสู่สูงสุดในทันที ทำไมรึ? จากฉากเต้นรำท่ามกลางแสงราตรี เสียงเพลงที่อ่อนละมุน หน้าตาของผู้คนที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยที่มีความสุข อะไรจะทำให้ผู้ชมสนใจสิ่งอื่นได้นอกจากช่วงเวลาดีๆของงานเต้นรำเช่นนี้ ใช่ทุกอย่างเรียบเรียงได้สวยหรูไม่ต่างกับการห่อของขวัญอย่างพิถีพิถันไม่รีบร้อน ทว่าขณะเดียวกันคล้ายทุกสิ่งที่เกิดเป็นเพียงสิ่งต่อหน้าหาใช่เบื้องหลังที่กำลังค่อยๆเกิดทีละนิดอย่างเป็นลำดับขั้นตอน มันคืออะไรที่ขัดขวางความสุขของคนบนเรือ อะไรที่ทำให้ผู้ชมเบิกตากว้างได้หลังจากวินาทีนั้น นี่จะเป็นสิ่งเซอร์ไพรส์ที่สุดของหนังและเราจะจำฉากนี้ได้อย่างดีเพราะมันคือฉากเดียวที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ตลอดทั้งเรื่องและตลอดจนจบ

Joy Ride (2001) เกมหยอก หลอกไปเชือด

Joy Ride (2001)
เกมหยอก หลอกไปเชือด
Director: John Dahl
Genres: Action | Mystery | Thriller
 
เรื่องของเรื่องก็คือไปแกล้งใครที่ไหนไม่รู้เพราะนึกสนุกประสาวัยรุ่น แต่คนที่ถูกอำกลับไม่มองว่าตลกน่ะสิและก็กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าความเจ็บใจเพราะเอาคืนด้วยการแก้แค้นกะให้ตายไปข้างหนึ่งกันเลยทีเดียว ทว่าถ้ามองเป็นหนังแก้แค้นคงไม่ใช่ไปซะทีเดียวแต่น่าจะเรียกว่ากรรมคืนสนองมากกว่าแถมคืนแบบคูณยกกำลังซะด้วย ซึ่งเรื่องเริ่มจากลูอิส โธมัส (Paul Walker) ที่กำลังเดินทางเพื่อที่จะไปรับหวานใจของเขา โดยเธอมีชื่อว่าเวนนา (Leelee Sobieski) แต่เผอิญประจวบเหมาะเขาต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อยเพราะฟูลเลอร์ (Steve Zahn) พี่ชายปากที่เพิ่งออกจากคุกมาหมาดๆถูกปล่อยตัวออกมาและเขาต้องไปรับพอดี ทำให้ลูอิสตัดสินต้องไปรับพี่ชายแสนน่าเบื่อเสียก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็นพี่เป็นน้อง แต่ไม่ทันไรพี่ชายก็งัดของดีมาใส่รถโดยที่ลูอิสเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเป็นเพียงเครื่องวิทยุสื่อสาร แต่ที่นี่เรื่องตลกๆระหว่างสองพี่น้องก็เริ่มขึ้นเมื่อฟูลเลอร์สนุกกับการคุยวิทยุแบบโม้โน้นโม้นี้ราวกับเป็นเรื่องสนุกที่ใครฟังใครทำตามจะกลายเป็นเรื่องขำๆไป

Captain Phillips (2013) กัปตันฟิลลิป ฝ่านาทีพิฆาตโจรสลัดระทึกโลก

Captain Phillips (2013)
กัปตันฟิลลิป ฝ่านาทีพิฆาตโจรสลัดระทึกโลก
Director: Paul Greengrass
Genres: Adventure | Biography | Crime | Drama | Thriller

พอเห็นชื่อผู้กำกับก็นับว่าการันตีเรื่องจังหวะการเล่าเรื่องไปได้หนึ่งอย่างเลยว่าต้องระทึกและฉับไวด้วยแน่ๆ ซึ่งตัวอย่างมาจากผลงานก่อนหน้านี้อย่าง The Bourne Supremacy (2004),The Bourne Ultimatum (2007) และ United 93 (2006) ที่เน้นหนักความสมจริงสมจังด้วยการเล่าเรื่องให้ออกมาชวนระทึกอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนผสมกับการตัดต่อที่ว่องไวจนเป็นเครื่องหมายเป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับคนนี้ แต่ที่น่าสนใจคือสร้างมาจากเรื่องจริงในปี 2009 เมื่อเรือบรรทุกสินค้า Maersk Alabama ถูกโจรสลัดโซมาเลียบุกยึดพร้อมจับกัปตันและลูกเรือเป็นตัวประกันจนกลายมาเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และที่สำคัญคือเป็นเรือสัญชาติอเมริกันลำแรกในรอบ 200 ปีที่ถูกยึดได้ แต่ที่น่าสนใจคือพล็อตเรื่องจะมาแนวไหนกันแน่เพราะเมื่อลองมองดีๆจะไม่ต่างกับหนังดราม่าที่มีโจรมาบุกก่อนจะลงเอยด้วยความทรมานจากการเป็นเชลยซึ่งมันคงจะเป็นอะไรที่เศร้าแน่ๆ ทว่าเมื่อรู้มือผู้กำกับสิ่งที่เกิดจะไม่มีอารมณ์ดราม่าจนกว่าเรื่องจะจบเพราะก่อนหน้านั้นจะต้องเป็นสายแอ็คชั่นลุ้นระทึกเสียก่อน และผลลัพธ์ก็ระทึกจริงๆด้วย

Idle Hands (1999) ผีขยัน มือขยี้

Idle Hands (1999)
ผีขยัน มือขยี้
Director: Rodman Flender
Genres: Comedy | Fantasy | Horror | Thriller

จัดว่าเป็นหนังผีที่ดูสนุกในการเล่าเรื่องได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุดในอารมณ์และดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องก็ออกกวนๆอยู่ด้วย โดยเนื้อเรื่องก็กล่าวถึงแอนตัน โทเบียส (Devon Sawa) หนุ่มจอมขี้เกียจที่ใช้ชีวิตวันๆไปกับเรื่องเรื่อยเปื่อยนั่งดูทีวีกับดูดกัญชา ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่าเมื่อแอนตันตื่นขึ้นมาพ่อกับแม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ความแปลกในวันใหม่ไม่ได้มีแค่นั้นหากแต่ระแวกนั้นก็เกิดเรื่องสยองขวัญเมื่อมีคนตายอย่างต่อเนื่อง ทว่าแอนตันไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากมองมอลลี่ (Jessica Alba) สาวข้างบ้านที่เขาแอบหลงรักมาโดยตลอด แต่เรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากจนกระทั่งแอนตันเจอศพพ่อแม่อยู่ในบ้านตัวเอง ทว่านั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับเผลอลงมือฆ่าเพื่อนในบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจเพียงเพราะมือไปเอง และนั้นทำให้แอนตันรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่มือของเขาที่ขยับได้ด้วยตัวเองแต่มันขยับได้เองกลายเป็นมือที่ถูกสิงโดยปีศาจ ปีศาจที่เลือกมือที่ขี้เกียจเพื่อฆ่าคน และเหยื่อรายต่อไปคือมอลลี่คนที่แอนตันรัก งานนี้จึงหนักมือแอนตันเมื่อมือของเขาไม่สามารถคุมมันได้อีกต่อไปเพราะมันคือมือปีศาจ

A Nightmare on Elm Street (2010) นิ้วเขมือบ

A Nightmare on Elm Street (2010)
นิ้วเขมือบ
Director: Samuel Bayer
Genres: Crime | Drama | Horror | Mystery

โดยส่วนตัวไม่อยากบอกว่ารีเมคเลยแต่ก็นะพล็อตเรื่องยังสเต็ปเดิมไม่แตกต่าง แต่มีเปลี่ยนแปลงไปบ้างพอสมควรก็ถือเป็นเรื่องดีที่รู้จักเพิ่มลดให้ดูไม่ซ้ำซาก ทว่าสิ่งที่ตัวเองคิดคือภาคต้นฉบับของปี 1984 ดันทำดีไปหน่อย ยิ่งเป็นผู้กำกับ Wes Craven ที่ชอบทำหนังสยองขวัญด้วยแล้วยิ่งแสดงถึงระดับที่สุดยอดออกมาจนเป็นน่าจดจำในวงการหนังสยองขวัญและต่อยอดด้วยภาคต่อมาเรื่อยๆ ซ้ำยังมีทีเด็ดที่ไปฟัดกับเจสัน วอร์ฮีส์ใน Freddy vs. Jason (2003) มาด้วยแหนะ ดังนั้นการจะสร้างใหม่หรือจะหาความแตกต่างอะไรก็แล้วแต่นั้นจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควรกับของเก่าที่มีความแข็งแรงอยู่ก่อนแล้วโดยเฉพาะเรื่องของนักแสดงที่เล่นเป็นเฟรดดี้ ครูเกอร์ ในของดั้งเดิมคนที่เล่นคือ Robert Englund ซึ่งผูกขาดบทนี้มาตั้งแต่แรกและยังไม่มีใครมารับบทแทนเลย ดังนั้นการที่เจ้าตัวจะแสดงออกมากลมกลืนกับตัวละครนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แสดงไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งจะเป็นที่น่าจดจำผู้ชม ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงเมื่อไม่ใช่เจ้าเก่าเล่นอย่างเคย ก็จะบอกว่าน่าลองอยู่เหมือนกันเพราะบางทีการที่เห็นอะไรเดิมๆอาจเป็นความเคยชินซึ่งถ้าได้ของใหม่อาจจะได้อรรถรสไปอีกแบบ โดยครั้งนี้คนที่รับบทเป็นเฟรดดี้ ครูเกอร์คือ Jackie Earle Haley ตอนแรกไม่นึกคิดอะไรจนกระทั่งเห็นการเมคอัพเท่านั้นแหละ อารมณ์อยากหยิบของเก่ามาดูก็พลันฝุดในหัวขึ้นมาทันที

Se7en (1995) เซเว่น

Se7en (1995)
เซเว่น
Director: David Fincher
Genres: Crime | Drama | Mystery | Thriller

เป็นหนังแนวสืบสวนที่มาแรงมาก มากพอจะอยู่อันดับต้นๆของแนวสืบสวนที่ไม่ว่ายังไงต้องพึงระลึกเสมอว่าห้ามพลาดเด็ดขาดเพราะหนึ่งในเหตุผลนั้นมาจากการเอาบาปทั้ง 7 ประการ (Seven Deadly Sins) ในอดีตกาลของศาสนาคริสต์มาผสมผสานกับบทหนังได้อย่างแยบยลแสนคมคาย ทั้งนี้เพราะเป็นฝีมือเขียนบทของ Andrew Kevin Walker อาจไม่เป็นที่รู้จักนักแต่การลงรายละเอียดในเรื่องนี้จัดว่าสุดยอดไม่ธรรมดาจริงๆ  โดยเรื่องจะเป็นการสืบสวนตามล่าคนร้ายที่ฆ่าคนโดยเหยื่อแต่ละรายจะถูกฆ่าด้วยความใจเย็นไม่รีบร้อนให้ตายคล้ายให้ทรมานไปเรื่อยๆแล้วสิ้นใจตายในท้ายที่สุด ที่สำคัญยังทิ้งเบาะแสทุกครั้งเกี่ยวกับบาปอย่าละหนึ่งคนและเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะครบบาปทั้งหมด ทว่าเพื่อไม่ให้เกิดเหยื่อในครั้งต่อไปจึงได้วิลเลี่ยม ซอมเมอร์เซท (Morgan Freeman) ตำรวจมือเก่าที่ใกล้จะเกษียณอายุในไม่กี่วันกับเดวิด มิลส์ (Brad Pitt) ตำรวจใหม่ที่มาจับคู่ด้วย แต่เหมือนว่างานนี้จะเกินคนทั่วๆไปจะทำได้เพราะหลักฐานที่โยงถึงผู้กระทำไม่อะไรเลยสักอย่างแม้กระทั่งลายนิ้วมือ ทุกอย่างดูว่างเปล่าแต่อึดอัดไปด้วยแรงกดดันจากเหยื่อที่ไม่รู้ว่าใครคือคนต่อไป ที่รู้ได้คือการไล่บาปที่กำลังหมดลงไปทีละบาปอย่างช้าๆตั้งแต่ตะกละ,โลภ,เกียจคร้าน,ยะโส,ราคะ,ริษยา และโทสะ

About Time (2013) ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก

About Time (2013)
ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก
Director: Richard Curtis
Genres: Comedy | Drama | Fantasy | Romance | Sci-Fi

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ง่ายๆสำหรับเรื่องนี้จะแบ่งประเด็นหลักๆอยู่ 2 อย่าง คือตัวเองกับครอบครัว ในส่วนแรกเกี่ยวกับตัวเองนั้นจะหมายถึงทิม (Domhnall Gleeson) ชายหนุ่มที่เล่าชีวิตของตัวเองในแบบที่น่าจะดีกว่านี้ได้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ มีหลายอย่างในตัวเขาที่รู้สึกขาดๆแม้จะอยู่กับครอบครัวหรือมีคนที่ชอบอย่างชาร์ล็อตต์ (Margot Robbie) ทว่านั้นก็กลายเป็นความรักที่ผิดหวังทั้งที่มันควรจะใช่สำหรับเขาแล้วแท้ๆ จนสุดท้ายในวันที่ต้องออกจากบ้านจากครอบครัวเข้าเมืองไปงานทำเป็นทนายความชีวิตของเขาก็พบจุดเปลื่ยน

Speed 2: Cruise Control (1997) สปีด 2 เร็วกว่านรก

Speed 2: Cruise Control (1997)
สปีด 2 เร็วกว่านรก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Crime | Romance | Thriller

"ภาคแรก Speed สมชื่อ ส่วนภาคนี้ Slow เกินคาด"

"ทำไมมันถึงได้แตกต่างขนาดนี้" นี่คือสิ่งที่ตัวเองบอกกับหนังภาคต่อเรื่องนี้ที่มีสถานะภาพควรจะไม่ทิ้งห่างภาคแรกทั้งที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน โดยเฉพาะผู้กำกับ Jan de Bont ที่ยังสานต่อเองกับมือแท้ๆแต่อารมณ์มันคงละฟิลล์ตั้งแต่ลงเรือยอร์ชอันแสนน่าเบื่อ แต่อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือพล็อตเรื่องที่ยังคงคล้ายๆกันกับสิ่งพาหนะที่ต้องเร็วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนสิ่งนี้คือเรือยอร์ชลำยักษ์ที่ขนผู้โดยสารมาเต็มลำพร้อมกับงานสังสรรค์เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบมีเล่ห์นัยเช่นภาคแรกที่ผู้ร้ายต้องวางแผนให้เนียบเนียนก่อนทำขั้นต่อไปจึงจะเป็นฝ่ายคุมเกมส์ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้เนื้อเรื่องออกทำนองงั้นๆมากโดยเฉพาะพล็อตที่หาได้มีความเกี่ยวโยงอะไร เพียงแค่เป็นเรื่องของการปล้นเท่านั้น ปล้นด้วยตัวคนเดียวและใช้ทักษะจัดการกับเรือที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้อยู่นอกเหนือการควบคุม หรือจะบอกว่าเรือไปเองโดยอัตโนมัติ หยุดไม่ได้ เลี้ยวไม่ไป แต่ถามหน่อยเถอะว่าในทะเลที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาลนี้เราควรกลัวอะไร? กลัวไปชนปะการังหรือยังไง นี่ไม่ใช่รถนะที่ต้องลุ้นต้องจับพวงมาลัยให้มั่นวิ่งเฉียวชนโน้นนี้แถมมีระเบิดที่บังคับด้วยว่าจะระเบิดถ้าขับรถเบาและเจ้าคนร้ายก็เฝ้ามองพฤติกรรมต่างๆจนถ้าเล่นตุกติกมีบึ้มได้ทันที ว่าภาคแรกยังโอเคในการนำพาเนื้อเรื่องด้วยรถติดระเบิด ทว่ากับเรือล่ะมีอะไรให้กดดันมากพอจะสติแตกได้ไหม คำตอบคือไม่มี ที่สำคัญตัวการอยู่บนเรือซะด้วยไม่ต้องวิ่งไล่หาแบบภาคแรกที่ต้องปาดเหงื่อตามล่าแทบตาย ว่ากันซื่อๆตามตรงคืออย่าไปคาดหวังอะไรถ้าได้ความมันส์จากภาคแรกเพราะอาจได้ดราม่ากลับมา ไม่ใช่หนังมันเศร้านะ แต่เรานี่แหละจะเศร้าที่หนังมันอ่อนเป็นน้ำน่ะสิ

Speed (1994) เร็วกว่านรก

Speed (1994)
เร็วกว่านรก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Thriller
 
นี้คือหนังแอ็คชั่นลำดับต้นๆที่ไม่ว่ายังไงต้องหามาให้ได้เพราะสไตล์ของเรื่องนี้จำกัดอยู่แค่"ความเร็ว" ซึ่งหมายถึง Non-Stop ตลอดแทบทั้งเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนหนังจบ โดยมีทฤษฏีง่ายๆเกี่ยวกับพาหนะคือ"ลิฟท์ รถเมล์ และรถไฟ" ส่วนเป็นยังไงนั้นลองไปฟังเรื่องย่อที่มาถึงเข้าเรื่องลิฟท์ที่โดนผู้ก่อการร้ายวางระเบิดพร้อมข่มขู่จะฆ่าคนได้อย่างสบายๆเพียงแค่กดก็ระเบิดปล่อยลิฟท์ร่วงไปตาย แต่เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแอลเอที่ชื่อแจ็ค เทรเวน (Keanu Reeves) มาถึง ทำให้แผนผิดสูตรเพราะความฉลาดของแจ็คที่แก้สถานการณ์ได้เฉียบขาด ทว่าตัวแจ็กเองไม่สามารถจับคนร้ายได้เพราะชิงระเบิดตัวเองตายไปก่อน จนกระทั่งแจ็คได้รับสายจากใครบางคนที่ข่มขู่ว่ามีรถเมล์คันหนึ่งติดตั้งระเบิดเอาไว้และพร้อมจะเริ่มทำงานเมื่อมีการขับรถเร็วเลยที่กำหนดแต่ขณะเดียวกันหลังจากระเบิดทำงานไปแล้วก็ไม่สามารถหยุดรถได้ทั้งต้องรักษาระดับความเร็วของรถที่ 50 ไมล์ต่อชั่วโมงเพื่อไม่ให้รถระเบิด ส่วนคนร้ายที่วางระเบิดไม่ใช่ใครแต่เป็นฮาเวิร์ด เพย์น (Dennis Hopper)  คนเดียวกับที่เกือบจะระเบิดลิฟท์สำเร็จแต่พลาดให้กับแจ็ค และตอนนี้คือการแก้แค้นที่มีเพียงแจ็คที่ต้องตามเกมขณะที่ฮาเวิร์ดคือคนที่คุมเกมตลอดทั้งเกมอย่างไม่คลาดสายตา


สิ่งแรกที่บอกได้คือมันส์มาก มันส์ตั้งแต่เปิดเรื่องจนหนังจบแทบไม่เป็นอันพักหายใจกันสักนิด แถมยังรู้สึกได้ว่าความมันส์ที่ได้เป็นความคุ้มค่าที่ตีค่ามากกว่าฉากยิงหรือระเบิดอันวินาศสันตะโร เพราะ Speed คือความเร็วและแรงในการจับเนื้อเรื่องอันเข้มข้นที่ทำให้ผู้ร้ายฉลาดเข้าไว้ส่วนพระเอกตามเกมส์แก้ปัญหาให้ทัน ดังนั้นต่อให้รู้สึกว่าไม่มีฉากยิงหรือการดวลกันระหว่างผู้เอกกับผู้ร้ายตรงๆแต่สติปัญญานี่แหละที่ทำหน้าวัดกึ๋นทั้งสองฝ่ายว่าใครควรจะเหนือกว่าใครกันแน่ ซึ่งหนังมาได้ถูกทางอย่างที่สุดในแง่การทำแอ็คชั่นโดยไม่มีคำว่าล้นหรือน้อยเกินไป อีกอย่างคือหนังจะหนักไปทางลุ้นระทึกจึงมีอะไรให้น่าติดตามตลอดเวลายิ่งตอนที่มารู้ว่ารถเมลล์ติดระเบิดอยู่นี้ก็เป็นปัญหาชุดใหญ่แล้วว่าเป็นรถคันไหนล่ะ แต่คนร้ายใจดีบอกเลขบอกเวลาให้เสร็จสรรพปล่อยให้พระเอกไปตามล่ารถคันนั้นเอง ในฉากตามไล่กวดรถเมล์นี้ก็มันส์แสดงออกถึงความระห่ำของพระเอกชัดมากจนรู้แล้วล่ะว่าต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็ลุยไปได้ทุกสถานการณ์ต่อให้เว่อร์มากก็ตาม และเป็นแบบนั้นจริงๆนะ คือตอนเริ่มเรื่องจะเป็นลิฟท์เหมือนๆอาหารออเดอร์แล้วจานหลักคือรถเมล์ที่ลุ้นทั้งเรื่องก่อนจะปิดของหวานด้วยรถไฟ ไม่บอกนะว่าไปได้ยังไงแต่บอกได้เลยว่ามันเป็นอะไรที่สุดๆของสายแอ็คชั่นไม่เน้นบู๊แต่เน้นชิงไหวพริบ

เป็นหนังที่สร้างแล้วดังสนั่นไปทั่วจนนักแสดงอย่าง Keanu Reeves ต้องแจ้งเกิดไปตามๆกัน และดูจะใช่ซะด้วยที่มาทางนี้เพราะบทตัวเอกจะแข็งๆหน่อยแลดูซีเรียสและจริงจังตลอดเวลา แต่ก่อนหน้านี้คนที่เล่นบทตัวเอกคือ Jeff Bridges นะ แต่เกิดการขัดเกลาครั้งใหญ่ทั้งบททั้งนักแสดงทำให้ผลที่ออกมาเป็นเช่นนี้(ซึ่งเป็นอะไรที่น่าพอใจ) และเพราะแบบนั้นไม่รู้ว่าหนังจริงจังไปหรือเปล่าเพราะ Keanu Reeves เล่นแข็งไปหน่อยในบางช่วงจนเกือบจะไร้อารมณ์

ส่วนหนึ่งตัวเองก็พยายามปรับความเข้าใจเกี่ยวกับคาแรกเตอร์ที่มาดนิ่งของพระเอกว่าเป็นพวกใจเย็น รอบคอบ และไม่แหกกฎ ที่บอกไม่แหกกฎเพราะหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่พระเอกมักจะชอบทำอะไรที่ขัดใจผู้ร้ายอยู่บ่อยๆไม่ยอมให้สมหวังกันง่ายๆต่อให้มีเงื่อนไขก็ตามผิดกับเรื่องนี้ที่ต้องตามใจผู้ร้ายทุกระเบียบนิ้ว ส่วนหนึ่งต้องยอมรับด้วยว่าคนร้ายเก่งจริงในการวางแผนอย่างรอบคอบที่ปิดทางออกไปเกือบหมดจึงไม่แปลกใจถ้าพระเอกของเราจะทำอะไรไม่ได้นอกจากตามน้ำไปก่อน


ดูแล้วเป็นเรื่องที่ดีเพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินขนาดนี้เป็นใครต้องมีสติหลุดไปเถียงคนร้ายกันบ้าง จะว่าคนร้ายในเรื่องมีเพียงคนเดียวเท่านั้นและแสดงโดย Dennis Hopper ดูท่าแสดงได้ดีไม่น้อยเหมือนพวกคลั่งระเบิดพอสมควร น่าเสียดายที่ในเรื่องเล่นไม่เยอะเท่าไหร่เพราะตลอดทั้งเรื่องส่วนใหญ่จะนั่งเก้าอี้ไล่ดูข่าวในทีวีที่กำลังถ่ายทอดสดเกี่ยวกับรถเมล์ติดระเบิด พูดแบบนี้ตัวหนังแอบกัดจิกพวกสื่อนักข่าวอยู่หน่อยๆด้วยนะ หาว่าเป็นตัวป่วนทำแผนตำรวจพังเพราะคนร้ายมันรู้น่ะสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ที่ขาดไม่ได้คือตัวละครที่ทำให้หนังดูมีมิติคือแอนนี พอตเตอร์ เล่นโดย Sandra Bullock ตลอดทั้งเรื่องก็น้อยบทบาทไม่ได้ทำอะไรนอกจากขับรถเมล์แทนคนขับรถที่โดนยิงแทบทั้งเรื่อง พอมานึกๆแล้วหนังไม่มุ่งไปที่การแสดงคาแรกเตอร์ตัวละครมากนักเพราะพยายามเอาหลักความเป็นจริง สถานการณ์ต้องซีเรียส ดังนั้นไม่มีใครอยากเล่นบทพระเอกโชว์เท่นอกจากจะบอกว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้คือหนทางรอด ไม่งั้นก็นั่งไปเฉยๆทำหน้าที่ของตัวเองแล้วปล่อยให้คนเก่งจริงทำต่อไป ฉะนั้นไม่มีหรอกตัวละครโชว์ความงี่เง่าของตัวเองแสดงถึงความเห็นแก่ตัวจนน่าบ่น จะมีแค่ตัวละครแสดงความหวาดกลัวออกมาทำให้เราเชื่อว่ามันน่าโดดออกจากรถติดระเบิดจริงๆ เนื่องจากสถานที่มันปิดตายเฉพาะในรถและรถต้องวิ่งโดยห้ามความเร็วต่ำกว่าที่กำหนด ซึ่งหมายความว่าถ้าไม่ใช่เพราะการผสานงานที่ได้ประสิทธิภาพของเหล่าตำรวจชี้ทางไปโน้นไปนี้ให้ดีๆอาจเจอรถติดได้ ซึ่งนั้นหมายถึงระเบิดไงล่ะ ลุ้นเอาการมิใช่น้อยที่หนังจะหาเนื้อเรื่องที่น้อยแต่เรื่องไปต่อยาวได้ไม่ซ้ำซากหรือน่าเบื่อ ส่วนหนึ่งมาจากความบ้าของพระเอก อย่างที่บอกคือพระเอกระห่ำมากยิ่งตอนวิ่งไล่กวดรถเมล์คือความมันส์ที่ไม่น่าเกิดแต่ก็เกิดขึ้นได้แถมแอบขำๆไปกับคนที่ถูกพระเอกยืมรถด้วย แล้วคิดไหมว่ารถเมล์ที่วิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 50 ไมล์ต่อชั่วโมงพระเอกของเราจะขึ้นไปยังไง?


นี่ลืม Sandra Bullock ไปเลยกับตัวประกอบที่เพิ่มเข้ามาให้หนังดูน่าสดใสมากขึ้น(อันที่จริงต้องบอกว่าน่ารักมากขึ้นมากกว่า) แต่ดูแล้วเล่นดีเหมือนกันแถมดูเป็นตัวละครที่น่าเอาอย่างในสถานการ์ร้ายๆแต่ยังอาสายินดีขับรถแทนทั้งที่ตัวละครอื่นบนรถพากันสติแตกเพราะไม่เข้าใจว่าจะขับรถต่อไปทำไมถ้ามีระเบิดติดอยู่ แต่น่าเครียดไม่น้อยกับรถที่ต้องวิ่งโดยมีระเบิดติดอยู่ที่พร้อมระเบิดได้ 2 กรณี ระหว่างวิ่งรถช้าชนวนทำงานกับตัวร้ายไม่พอใจกดบรึ้มได้เองโดยไม่เสียเวลาคอย มันน่าลุ้นจริงๆต้องวิ่งบนถนนที่มีรถไปมา(คงไม่ต้องพูดถึงถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ในกรุงเทพฯ) แต่ที่เซอร์ไพร์สไม่หายคือเจ้าตัวโกงมันเก่งที่คุมการกระทำของคนนอกรถกับในรถได้แล้วแบบนี้จะไปแก้เกมส์มันได้ยังไงล่ะ งานนี้เลยต่างชิงไหวพริบกันอย่างเมามันส์จับจุดแก้หน้ากันใหญ่ ที่สำคัญคือจังหวะการเล่าเรื่องทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลาที่เดินไม่ลดลงเลยสักนิด พูดง่ายๆคือถ้าหนังจบคือจบไม่กั๊กทุกอย่างเคลียร์โดยสมบูรณ์เต็มที่โดยปริยาย มันส์เป็นมันส์ แอ็คชั่นเป็นแอ็คชั่น ไม่เสียเวลามานั่งอธิบายแค่รู้ว่าระเบิดติดรถและอย่าหยุดวิ่งแค่นั้นแหละ ฟังดูแล้วมันส์ได้ไงก็ลองไปหาดูแค่นั้นแหละที่บอกได้

เอาเป็นว่าทั้งลุ้นทั้งมันส์ทั้งเรื่องโดยไม่ต้องมีอะไรมากมายแค่ลุ้นเสียวไปตลอดระยะทางที่รถวิ่ง นับว่าสมชื่อ Speed แถมยังแจ้งเกิด Keanu Reeves จนเป็นที่รู้จักมากขึ้นในมาดแข็งทื่อแต่เก่งจนเรียกว่าอะไร ประมาณว่ามาดเข้มล่ะกัน เรื่องนี้แน่ะนำไปหาดูกันให้ได้โดยเฉพาะภาคแรกภาคนี้เท่านั้น ที่ต้องย้ำเพราะภาคต่อนั้นสุดแสนจะว่าไงดี ทั้งที่ผู้กำกับคนเดิมแต่อารมณ์หนังมันคนละขั้วโลกมาก ส่วนสถานการณ์เปลี่ยนเป็นเรือยอร์ชแบบโล่งๆในทะเลไม่เสียวไม่ลุ้นไม่ต้องพะวงว่าจะชนอะไร บอกแค่นี้จะดูภาคต่อไหมล่ะ ถ้าภาคแรกคือสิ่งที่ล้ำค่าภาคต่อคงเป็นเม็ดทรายไปเลยถ้าจะเอามาเปรียบเทียบกัน แต่ถ้าอยากลองสัมผัสก็น่าจะได้อยู่เพราะ Sandra Bullock ยังคงเล่นเป็นนางเอกแสนน่ารักเช่นเคยเพียงแค่ว่าพระเอกเปลี่ยนคนนะเออ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)