แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Romance แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Romance แสดงบทความทั้งหมด

Legend (1985) ตำนานรักล้างคำสาป

Legend (1985) | ตำนานรักล้างคำสาป
Director: Ridley Scott
Genres: Adventure | Fantasy | Romance
Grade: B-

ถ้าไม่เคยดูหนังเรื่องนี้อาจต้องพลาดความหล่อเหลาของ Tom Cruise สมัยละอ่อน โดยเฉพาะในแบบไว้ผมยาวตามธรรมชาติอย่างที่เห็นกันในหนัง(สาเหตุที่ผมยาวเพราะเจ้าตัวไม่ยอมตัด) มารับบทเป็นเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในป่า(คล้ายทาร์ซาน)นามว่า แจ็ค แล้วก็มี Mia Sara ในบทเจ้าหญิงลิลลี่ที่ออกมาเดินเล่นกับแจ็คก่อนจะไปเจอกับม้ายูนิคอร์นและเรื่องแสนเศร้าที่ถูกปีศาจตัดเขาออกไป ทำให้ต้องร่วมมือตามหาเขาของม้ายูนิคอร์นที่หายไปกลับคืนมา

5 Centimeters Per Second (2007) ยามซากุระร่วงโรย

5 Centimeters Per Second (2007) | ยามซากุระร่วงโรย
Director: Makoto Shinkai
Genres: Animation | Drama | Family | Romance
Grade: A-

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

เอาไงดี เอาเป็นว่าใครยังไม่สมหวังในความรักหรือกำลังพลัดพรากจากคนที่รักอาจทวีคูณความเหงาไปอีกหลายเท่าตัวเพราะเรื่องนี้ไม่ปล่อยให้เราสมหวังในสิ่งที่ค้นหาสักเท่าไร ถือเป็นอนิเมะที่ดูแล้วจะมีแต่เหงาและเปล่าเปลี่ยวหัวใจกันซะมากกว่า แต่กับคนที่มีความรักสมหวังอยู่แล้วอาจจะพอบรรเทาอาการความรู้สึกคนเคยเหงาได้เป็นอย่างดีเพราะเหมือนเป็นการย้อนกลับไปตอนที่อยู่คนเดียวเฝ้าคิดถึงคนที่รัก เป็นการมองกลับไปว่าตัวเองยังไม่ลืมหรือทิ้งคนนั้นให้หายไป ซึ่งการจะผ่านจุดนั้นมาได้คงไม่มีใครปฏิเสธว่ามันยาวนานกว่าสิ่งใด

Lars and the Real Girl (2007) หนุ่มเจี๋ยมเจี้ยม กับสาวเทียมรักแท้

Lars and the Real Girl (2007) | หนุ่มเจี๋ยมเจี้ยม กับสาวเทียมรักแท้
Director: Craig Gillespie
Genres: Comedy | Drama | Romance
Grade: B+

"หนึ่งชายกับหนึ่งหญิง แต่ฝ่ายหญิงเป็นตุ๊กตายาง"

ลาร์ส ลินด์สตรอม (Ryan Gosling) ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองโดยไม่พึ่งพาอาศัยใครและใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ในความปกติไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปมีเพราะเขาปลีกตัวจากมนุษยสัมพันธ์ ไม่เข้าพวกหรือสุงสิงกับใครทั้งสิ้น ไปกับทำงานโดยไม่พูดถึงเรื่องอื่น เข้าโบสถ์ทำตามหน้าที่ของคนนับถือคริสต์ จะกินจะอยู่ก็ล้วนตัวคนเดียว นั้นทำให้ใครหลายคนมองเขาเป็นคนผิดปกติและพยายามเข้าช่วยด้วยกันเชิญร่วมสังคม จนกระทั่งทุกคนต้องแปลกใจเมื่อลาร์สยอมเข้าสังคมเพราะเขากำลังคบอยู่กับตุ๊กตายาง

The Crying Game (1992) ดิ่งลึกสู่ห้วงรัก

The Crying Game (1992) | ดิ่งลึกสู่ห้วงรัก
Director: Neil Jordan
Genres: Crime | Drama | Romance | Thriller
Grade: S

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ไม่เชิงเป็นหนังหักมุม แต่กับใครหลายคนอาจคิดประมาณว่าคือหนังหักมุมที่ทำลายความรู้สึก บางคนรู้พอเดาออก แต่กับคนที่ไม่คิดหรือตามไม่ทันอาจหลงเชื่อมาตลอดเกี่ยวกับสถานะของตัวละคร การเฉลยความจริงจึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสำหรับใครหลายคน อีกทั้งเป็นไปได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกคงไม่ต่างกับตัวละครในเรื่องที่กระอักกระอ้วนเห็นอยู่เต็มสองตา ฉะนั้นไม่แปลกใจถ้าความรู้สึกนี้จะทำให้หลายสตูดิโอปฏิเสธเพียงเพราะการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงอาจทำให้ผู้ชมหลายคนไม่สนใจหนังเรื่องนี้อีกเลย ทว่าในความเป็นจริงได้กลายเป็น Plot Twists ที่ดีและสานต่อเรื่องราวในแบบที่น้อยจะเห็นได้

Cult of Chucky (2017)

Cult of Chucky (2017)
Director: Don Mancini
Genres: Comedy | Fantasy | Horror | Romance | Thriller
Grade: C+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ยังคงเสียดายที่ตัวหนังถูกจับส่งลงแผ่นเพราะคุณภาพมาไกลเกินหนังแผ่นทั่วไปเทียบได้ ซึ่งนี่เป็นความคิดที่เกิดจากภาคก่อนใน Curse of Chucky (2013) หรือภาคต่อลำดับที่ 6 ที่ขยับขยายเรื่องราวด้วยการเชื่อมโยงจุดที่ไม่มีภาคไหนพูดถึง อีกทั้งยังอุดช่องว่างให้ดูสมเหตุสมผลจนกลายเป็นหนังสยองขวัญภาคต่อที่ดีกว่าภาคก่อนหน้ามากมายหลายเท่า แต่การดูให้ได้อรรถรสจะต้องไม่ลืมภาคก่อนทั้งหมดเพราะมีส่วนในการเชื่อมโยงเข้าหากันรวมถึงที่มาที่ไปตัวละครบางตัวที่แม้บทน้อยแต่สำคัญในฐานะตัวการ โดยเน้นไปที่  Child's Play (1988),Bride of Chucky (1998) และ Seed of Chucky (2004) หรือภาค 1,4 และ 5 ในการทำความเข้าใจเนื้อหา(ส่วนภาค 2 กับ 3 มีส่วนเสริมเล็กน้อยแต่ไม่ใช่ประเด็นโยงเรื่องที่เกิดขึ้น)

Fair Game (1995) แฟร์เกม เกมบี้นรก

Fair Game (1995) | แฟร์เกม เกมบี้นรก
Director: Andrew Sipes
Genres: Action / Romance / Thriller
Grade: C-

ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้หนังสนุกหรือไม่นั้นมาจากการแสดง ยิ่งขาดจุดนี้ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือและดูไม่ได้อารมณ์ ซึ่งหนังเรื่องนี้มีข้อบกพร่องตรงนี้อยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะกับตัวละครเอกที่น่าจะได้อารมณ์มากกว่านี้แม้จะเป็นหนังแอ็คชั่นก็ตามที การเป็นหนังแอ็คชั่นอาจเน้นที่ความมันส์ แต่ถ้านักแสดงไม่มันส์ตามแล้วคนดูอย่างเราๆจะมันส์ตามไปได้อย่างไร ถึงจะยิงกันกระจุยกระจายหรือระเบิดระเบ้อมากแค่ไหนก็ไม่อาจรู้สึกเต็มอิ่ม ถือเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งที่รู้สึกเสียดายพอสมควร

The Quick and the Dead (1995) เพลิงเจ็บกระหน่ำแหลก

The Quick and the Dead (1995)
เพลิงเจ็บกระหน่ำแหลก
Director: Sam Raimi
Genres: Action | Romance | Thriller | Western
Grade: B-

เป็นไปได้ให้ลืมหนังคาวบอยแบบเดิมได้เลย จะไม่เนิบๆเล่าเรื่องช้าแล้วไปบรรจงในตอนไคล์แม็กซ์อีกต่อไป สำหรับเรื่องนี้จะแตกต่างกว่าหนังคาวบอยหลายๆเรื่องที่ผ่านมาตรงที่ได้อารมณ์เร้าใจตลอดเวลา โดยเฉพาะมุมกล้องที่รู้สึกมันโดนจังหวะเข้าออกได้แปลกผิดฟอร์มหนังคาวบอยไว้มาก มีการซูมเข้า-ซูมออกหรือเล่นมุมกล้องจนเรียกว่าแปลกตาจนต่อให้ไม่ใช่หนังคาวบอยก็ยังจัดว่าแปลกอยู่ดี แต่ทั้งนี้การเล่นจังหวะหรือมุมกล้องได้แสดงความคุ้นเคยกันมาอยู่บ้างแล้วใน The Evil Dead (1981) หรือที่คิดว่าเกือบเหมือนใน Evil Dead II (1987) แน่นอนว่าทั้งสองเรื่องเป็นหนังสยองขวัญระดับตำนานขึ้นหิ้งที่โดดเด่นเกินคำว่าสยองอย่างเดียว เพราะมีความสนุกได้อารมณ์ขันตลกร้ายจนบางทีไม่รู้จะสยองหรือฮาดี(ภาคแรกหนักที่สยองเพียวๆ ส่วนภาคสองเพิ่มความตลกได้อย่างกลมกลืน)

The Handmaiden (2016) ล้วงเล่ห์ลวงรัก

The Handmaiden (2016) | ล้วงเล่ห์ลวงรัก
Director: Park Chan-wook
Genres: Drama | Romance | Thriller
Grade: A

อิงจากนิยายของ Sarah Waters เรื่อง Fingersmith ที่นำฉากหลังยุควิตอเรียนของอังกฤษมาดัดแปลงเล่าเรื่องยุค 1930 ในช่วงเกาหลีตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ซึ่งมองจากต้นเรื่องอาจคล้ายหนังสงครามที่เดือดร้อนไปถึงผู้คนชาวเกาหลีเพราะการยึดครองของทหารญี่ปุ่น มิหนำซ้ำยังมีส่วนของสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้วุ่นวายสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนมากมาย แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่เมื่อมองในแง่หนังสงครามหรือสิ่งที่เกี่ยวกับสงครามนั้นแทบไม่มีให้เห็นเลยนอกจากสัญลักษณ์ทางภาษากับวัฒนธรรมที่ผสานเข้าหากันระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่น จนบางครั้งเหมือนกัดจิกกันเองอย่างแนบเนียน เดี๋ยวเพราะญี่ปุ่นบ้างล่ะ เป็นเพราะเกาหลีบ้างล่ะ แต่สุดท้ายจะฝ่ายไหนก็ล้วนไม่ใช่เรื่องที่นำมาเป็นเรื่องแพ้ชนะสงครามเพราะเรื่องหลักไม่ได้หมายถึงสงครามระหว่างประเทศ แต่เป็นสงครามระหว่างเพศจากชายและหญิง

Crimson Peak (2015) ปราสาทสีเลือด

Crimson Peak (2015)
ปราสาทสีเลือด
Director: Guillermo del Toro
Genres: Drama / Fantasy / Horror / Mystery / Romance / Thriller
Grade: B

จะเห็นได้ชัดว่าผู้กำกับ Guillermo del Toro มีความสามารถในการนำเสนอสไตล์โกธิคอย่างช่ำชอง สังเกตได้จากผลงานก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะ Hellboy (2004),Pan’s Labyrinth (2006),Hellboy II: The Golden Army (2008) หรือแม้แต่ Pacific Rim (2013) ที่ว่าขายแอ็คชั่นก็ต่างมีเอกลักษณ์ในเรื่องขององค์ประกอบศิลป์ด้วยอารมณ์ไม่น่าไว้ใจ หม่นหมอง และแฟนตาซีผสมผสานรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งความโดดเด่นนี่เองจึงกลายเป็นลายเซ็นต์อย่างหนึ่งของผู้กำกับที่สร้างความน่าสนใจไม่น้อยเลย พอมาเรื่อง Crimson Peak ด้วยความที่หนังสอดคล้องกับยุควิคตอเรียจึงทำให้องค์ประกอบศิลป์ค่อนข้างจัดเต็ม ทั้งการแต่งกาย บรรยากาศ ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งที่น่าดึงดูดมากที่สุดคือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูทรุดโทรมชื่อว่า"อัลเลอร์เดล  ฮอลล์" ด้วยเอกลักษณ์ที่ดึงจุดเด่นของยุคสมัยทำให้แปลกตาไม่ใช่น้อย ซึ่งก็รวมถึงความแปลกของเนื้อเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะเป็นหนังผีรูปแบบไหนหรือเป็นสิ่งที่ตัวละครจินตนาการขึ้นมาเองเพราะไม่ทันไรทันทีที่เปิดเรื่องก็ชวนให้ผู้ชมเกิดตระหงิดใจในคำถามที่เอยขึ้นของตัวละครนางเอกที่อยู่สภาพเหนื่อยล้าทั้งกายและใจท่ามกลางหิมะขาวโพลนว่า"ผีมีจริง จบลงแค่นี้"

The Fountain (2006) เดอะ ฟาวเทน อมตะรักชั่วนิรันดร์

The Fountain (2006)
เดอะ ฟาวเทน อมตะรักชั่วนิรันดร์
Director: Darren Aronofsky
Genres: Drama | Mystery | Romance | Sci-Fi
Grade: B+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"ความรักดังรากไม้ที่ลงลึกเสมือนความเจ็บปวดที่อยู่นาน ถ้าเลิกยึดติดยอมปล่อยให้เป็นอิสระเราเองก็พบหนทางปลดจากความทุกข์ทรมาน"

เป็นเรื่องของช่วงเวลาหลังความเป็นความตายที่อยู่ในสภาวะก่ำกึ่งระหว่างช่วงเวลา 3 ช่วง โดยแต่ละช่วงมีความเหมือนและแตกต่างกันทั้งสอดคล้องกันอย่างมีนัยยะ เริ่มที่เรื่องแรกที่กล่าวถึงทอมมี่ (Hugh Jackman) นักวิทยาศาสตร์ผู้พยายามค้นหายารักษามะเร็งสมองให้อิซซี่ (Rachel Weisz) ภรรยาของเขาด้วยการทดลองกับลิง กระนั้นความพยายามหลายต่อหลายครั้งยังคงหาผลสำเร็จไม่ได้สักครั้งเดียว เขาจึงแหกกฎก่อนที่จะบอกกับคนอื่นด้วยการนำส่วนของต้นไม้ที่ได้มาจากกัวเตมาลาที่ยังไม่ผ่านการรับรองมาทำเป็นยา ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพึ่งพอใจและดีขึ้นมากและรอผลที่จะใช้กับอิซซี่เพื่อต่ออายุของเธอ แต่ก่อนหน้านี้ชีวิตทั้งสองไม่ได้สุขอย่างที่คิดเพราะอาการที่หนักขึ้นของอิซซี่ทำให้ทอมมี่เป็นกังวล และด้วยเช่นนั้นทำให้ทอมมี่มีอารมณ์ที่รีบเร่งฝืนการทดลองติดๆกันแม้ผลลัพธ์จะดีขึ้นทว่ากับคนรอบข้างไม่เป็นที่พอใจในพฤติกรรมมากนักกับความใจร้อนเกินหน้าเกินตา ทอมมี่ที่มุ่งมั่นแต่จะหายารักษาดูผิดกับอิซซี่ที่ใจเย็นกับชะตากรรมของตัวเองและหางานอดิเรกด้วยการเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Fountain ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการนั่งมองดาวโดยหนึ่งในนั้นคือชิบาลบาดวงดาวที่มีหมอกควันเป็นการส่งสัญญาณกำลังจะดับสูญ เนื้อเรื่องภายในหนังสือที่เขียนนั้นได้กล่าวถึงสเปนในยุคกลียุคที่มีราชินีอิซาเบลลากำลังจะโดนล้มล้างราชบังลังก์โดยขุนนาง ราชินีจึงมีภารกิจก่อนโดนโค้นล้มด้วยการมอบหมายงานชิ้นหนึ่งให้องครักษ์โทมัสไปยังดินแดนที่มี Tree of Life หรือต้นไม้อมตะที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณทำให้อายุยื่นนานไม่เสื่อมสลาย แต่ก่อนจากลากันราชินีอิซาเบลลาได้มอบแหวนแก่โทมัสพร้อมคำมั่นสัญญาถ้ากลับมาได้สำเร็จจะพร้อมตกเป็นของเขาตลอดกาล

The Fault in Our Stars (2014) ดาวบันดาล

The Fault in Our Stars (2014) | ดาวบันดาล | A
Director: Josh Boone
Genres: Drama | Romance

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
 
บางครั้งความลงตัวของสูตรสำเร็จไม่ได้เกิดมาเพื่อให้คนดูจำแล้วเก็บไปเดาหรือตั้งใจให้เดาและหักมุมเพื่อให้ออกมาดูเหวอ แต่เพื่ออรรถรสอย่างหนึ่งชวนให้รู้สึกอิ่มเอม เรารู้เราสัมผัสในจุดนั้นได้และคาดหวังในเรื่องของอารมณ์ว่าควรจะออกมาในรูปแบบไหนที่พอจะพิชิตใจผู้ชมตามด้วยผลลัพธ์ที่ตามมาคือเรื่องที่ไร้การเซอร์ไพรส์แต่เข้าถึงแก่นของความรู้สึก ในยามบทเศร้าก็ร้องไห้ ยามมีความสุขก็อมยิ้ม แม้กระทั่งจุดที่พลิกผันในชีวิตยังต้องรู้สึกถึงความปกติที่แสนพิเศษหรือความปลิ้มปิติในท้ายที่สุด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคนที่ใช้ชีวิตแบบตายได้ง่ายเพียงมะเร็งที่ทำพิษตั้งแต่เด็กจนต้องเสียปอดและใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเฮเซล (Shailene Woodley) ที่ตอนนี้ใช้ชีวิตร่วมกับการแบกออกซิเจนไปทุกที่ทุกเวลาที่เธอต้องไป เฮเซลพยายามใช้ชีวิตของตัวเองแบบคนปกติด้วยการทำให้รู้สึกว่ายังมีค่าตลอดเวลาโดยไม่แสดงความสิ้นหวังหรือรู้สึกขาดสิ่งที่คนปกติเขามีกัน แต่พฤติกรรมของเธอเป็นที่หวาดระแวงต่อพ่อ (Sam Trammell) และแม่ (Laura Dern) ของเธอ ที่กลัวว่าลูกจะมีปัญหาเรื่องจิตใจโดยเฉพาะการเข้าสังคมที่ไม่เหมือนใครที่มีสายออกซิเจนที่จมูกตลอดเวลาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง แต่นี่คงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดและถูกเวลา เข้าใจผิดที่เฮเซลไม่ได้ย่ำแย่ขนาดต้องไปบำบัดเพราะเธอก็รู้ตัวเองดีจากสภาพที่เป็นและมองชีวิตอย่างมีความสุขเสมอแม้ต่อหน้าจะหวนให้เป็นเรื่องเศร้าใจแค่ไหนก็ตาม ทว่าเธอก็มักมีพฤติกรรมที่ชอบอะไรซ้ำๆอย่างการอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำไปซ้ำมาที่บ่งบอกถึงการยึดติด แล้วหนังสือเล่มนั้นคืออะไรล่ะ

The Proposal (2009) ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ

The Proposal (2009)
ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ
Director: Anne Fletcher
Genres: Comedy | Drama | Romance

เรื่องวุ่นเกิดจากความรักโดยไม่ตั้งใจระหว่างมาร์กาเรต (Sandra Bullock) บรรณาธิการผู้ที่ใครก็ต่างเกรงอำนาจกำลังจะถูกเนรเทศกลับประเทศแคนาดาเพราะใบอนุญาตการทำงานสำหรับคนต่างด้าวในอเมริกาของเธอกำลังจะหมดอายุลง และด้วยความที่ยังไม่พร้อมเพราะงานที่ไปได้ดีทำให้งานนี้จึงต้องใช้วิธีแก้ไขหาแพะรับบาป ซึ่งคนนั้นไม่ใช่ใครเลยหากเป็นคนที่ใกล้เธอมากที่สุดคือแอนดรูว์ (Ryan Reynolds) ชายผู้ทำงานใกล้เธอเพราะเป็นผู้ช่วยทำตามคำสั่งและรายงานอยู่เป็นเวล่ำเวลา ด้วยแผนการสุดจะบรรเจิดยิ่งกว่านั้นคือทำให้ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเพื่อให้มาร์กาเรตมีสิทธิ์อยู่ในอเมริกาต่อได้อย่างอิสระ ทว่าเรื่องมันใช่จะง่ายซะที่ไหนเมื่อการจดทะเบียนมันไม่ใช่เรื่องหมูๆเพราะมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังจะดำเนินการตามกฎหมายกับเธอน่ะสิและเห็นพิรุธในเรื่องการมาจดทะเบียนนี้จึงชี้แจงรายละเอียดก่อนทำทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายจริงๆสำหรับคนที่รักกันแบบหลอกๆเพราะสิ่งที่ต้องเจอคือตำถามเกี่ยวกับคู่รักที่มักจะรู้กัน แล้วมาร์กาเรตจะไปเข้าใจแอนดรูว์ได้ยังไงกัน แถมถ้านี้ไม่ใช่รักที่บริสุทธิ์จะมีโทษตามกฎหมายที่ไม่ธรรมดาอีก ดังนั้นทั้งมาร์กาเรตและแอนดรูว์จึงต้องขอเวลาไปใช้ชีวิตด้วยกันที่บ้านของแอนดรูว์ซึ่งเรื่องเซอร์ไรส์ก็เกิดขึ้นทันทีนับแต่เริ่มเรื่อง

About Time (2013) ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก

About Time (2013)
ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก
Director: Richard Curtis
Genres: Comedy | Drama | Fantasy | Romance | Sci-Fi

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ง่ายๆสำหรับเรื่องนี้จะแบ่งประเด็นหลักๆอยู่ 2 อย่าง คือตัวเองกับครอบครัว ในส่วนแรกเกี่ยวกับตัวเองนั้นจะหมายถึงทิม (Domhnall Gleeson) ชายหนุ่มที่เล่าชีวิตของตัวเองในแบบที่น่าจะดีกว่านี้ได้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ มีหลายอย่างในตัวเขาที่รู้สึกขาดๆแม้จะอยู่กับครอบครัวหรือมีคนที่ชอบอย่างชาร์ล็อตต์ (Margot Robbie) ทว่านั้นก็กลายเป็นความรักที่ผิดหวังทั้งที่มันควรจะใช่สำหรับเขาแล้วแท้ๆ จนสุดท้ายในวันที่ต้องออกจากบ้านจากครอบครัวเข้าเมืองไปงานทำเป็นทนายความชีวิตของเขาก็พบจุดเปลื่ยน

Speed 2: Cruise Control (1997) สปีด 2 เร็วกว่านรก

Speed 2: Cruise Control (1997)
สปีด 2 เร็วกว่านรก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Crime | Romance | Thriller

"ภาคแรก Speed สมชื่อ ส่วนภาคนี้ Slow เกินคาด"

"ทำไมมันถึงได้แตกต่างขนาดนี้" นี่คือสิ่งที่ตัวเองบอกกับหนังภาคต่อเรื่องนี้ที่มีสถานะภาพควรจะไม่ทิ้งห่างภาคแรกทั้งที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน โดยเฉพาะผู้กำกับ Jan de Bont ที่ยังสานต่อเองกับมือแท้ๆแต่อารมณ์มันคงละฟิลล์ตั้งแต่ลงเรือยอร์ชอันแสนน่าเบื่อ แต่อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือพล็อตเรื่องที่ยังคงคล้ายๆกันกับสิ่งพาหนะที่ต้องเร็วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนสิ่งนี้คือเรือยอร์ชลำยักษ์ที่ขนผู้โดยสารมาเต็มลำพร้อมกับงานสังสรรค์เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบมีเล่ห์นัยเช่นภาคแรกที่ผู้ร้ายต้องวางแผนให้เนียบเนียนก่อนทำขั้นต่อไปจึงจะเป็นฝ่ายคุมเกมส์ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้เนื้อเรื่องออกทำนองงั้นๆมากโดยเฉพาะพล็อตที่หาได้มีความเกี่ยวโยงอะไร เพียงแค่เป็นเรื่องของการปล้นเท่านั้น ปล้นด้วยตัวคนเดียวและใช้ทักษะจัดการกับเรือที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้อยู่นอกเหนือการควบคุม หรือจะบอกว่าเรือไปเองโดยอัตโนมัติ หยุดไม่ได้ เลี้ยวไม่ไป แต่ถามหน่อยเถอะว่าในทะเลที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาลนี้เราควรกลัวอะไร? กลัวไปชนปะการังหรือยังไง นี่ไม่ใช่รถนะที่ต้องลุ้นต้องจับพวงมาลัยให้มั่นวิ่งเฉียวชนโน้นนี้แถมมีระเบิดที่บังคับด้วยว่าจะระเบิดถ้าขับรถเบาและเจ้าคนร้ายก็เฝ้ามองพฤติกรรมต่างๆจนถ้าเล่นตุกติกมีบึ้มได้ทันที ว่าภาคแรกยังโอเคในการนำพาเนื้อเรื่องด้วยรถติดระเบิด ทว่ากับเรือล่ะมีอะไรให้กดดันมากพอจะสติแตกได้ไหม คำตอบคือไม่มี ที่สำคัญตัวการอยู่บนเรือซะด้วยไม่ต้องวิ่งไล่หาแบบภาคแรกที่ต้องปาดเหงื่อตามล่าแทบตาย ว่ากันซื่อๆตามตรงคืออย่าไปคาดหวังอะไรถ้าได้ความมันส์จากภาคแรกเพราะอาจได้ดราม่ากลับมา ไม่ใช่หนังมันเศร้านะ แต่เรานี่แหละจะเศร้าที่หนังมันอ่อนเป็นน้ำน่ะสิ

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ลบเธอ...ให้ไม่ลืม

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) | ลบเธอ...ให้ไม่ลืม | A+
Director: Michel Gondry
Genres: Drama | Romance | Sci-Fi

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ไม่จำเป็นทุกครั้งหรอกที่ความรักจะลงเอยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบและแน่นอนมันไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าจะรักกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ มีทะเลาะบ้าง เถียงบ้าง แต่ยังไงซะถ้ารักกันอยู่ก็คงรักต่อไปเรื่อยๆนั่นแหละ ที่ใดมีรักที่นั่นย่อมมีทุกข์มันคือความสัตย์จริงที่ไม่มีข้อโต้แย้งเว้นแต่เราจะรู้จักความรักมากกว่าที่เป็นอยู่ บางครั้งการเราเริ่มรู้สึกเบื่อ ชิงชัง หรือเซ็งกับอีกคนไม่ได้แปลว่าหมดรักหรือเริ่มคิดว่าไม่ใช่คู่ของเรา อันที่จริงความรักมันค่อนข้างจะเรียบง่ายและคงประสิธิภาพตามเจตนารมย์ของเราเสมอ มันไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลยเพียงแค่เปิดใจยอมรับมันซะบ้างเพื่อจะได้อะไรหลายๆสิ่งกลับมา แต่เรื่องของเรื่องคือมีคนที่รู้สึกเจ็บกับความรักภายในใจอย่างแสนสาหัสไม่ต่างกับถูกทิ่มแทงจากข้างหลังแล้วปล่อยให้ทนพิษบาดแผลต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นนั้นคือฝ่ายที่มั่นใจในความรักที่ยั่งยืนแล้วคิดว่าจะผ่านไปด้วยกันอย่างมีความสุข ในที่นี้คือโจเอล (Jim Carrey) ที่รักและศรัทธาในความรักที่มีต่อคลีเมนไทน์ (Kate Winslet) อย่างสุดซึ้งเท่าที่เขาจะมีให้เธอได้ ซึ่งเรื่องไม่ได้ยุ่งยากหรือวกวนกับสิ่งเพียงแค่คลีเมนไทน์หมดความรักที่มีต่อโจเอลแล้วเข้าบริษัทลากูน่าเพื่อลบความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาทั้งสิ้นจนกลายเป็นคนแปลกหน้าที่แม้แต่โจเอลยังแปลกใจ ก่อนรู้ความจริงเขาเจ็บใจที่ถูกเธอเมินเฉยราวกับคนแปลกหน้าอย่างเย็นชา สายตาที่สาดส่องเหมือนไม่คุ้นเคย และยังตัดหน้าด้วยการมีคนใหม่ประหนึ่งโดนหลอกมาตลอดเวลา แต่อะไรเล่าหลังรู้ความจริงยิ่งช้ำใจยิ่งกว่าเดิมเพราะคลีเมนไทน์อยากลบความทรงจำนั้นมาจากการที่รู้สึกทุกข์มากกว่าสุข ด้วยความจริงที่เหยียบย้ำหัวใจจนแหลกจึงทำให้เขาชิงชังยิ่งกว่าเดิมและคิดด้วยว่าถ้าคลีเมนไทน์คือผู้หญิงที่เขารักและน่าจะดีที่สุดสำหรับเธอยังทำกันแบบนี้ได้อย่างไร้เยื่อใยแล้วไฉนเขาจะทำบ้างไม่ได้ถ้ารักนี้มีแต่เจ็บ ดังนั้นโจเอลจึงเดินเข้าไปหาดร.ฮาเวิร์ด ไมเออร์ซเวียก (Tom Wilkinson) เพื่อขอช่วยให้ลบความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับคลีเมนไทน์ตลอดชีวิตที่เขาเจอตั้งแต่ครั้งแรกจนวินาทีสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน

Romeo + Juliet (1996) โรมิโอ แอนด์ จูเลียต

Romeo + Juliet (1996)
โรมิโอ แอนด์ จูเลียต
Director: Baz Luhrmann
Genres: Drama Romance

เรื่องของเรื่องมาจากคนจาก 2 ตระกูลระหว่างตระกูลมอนตะคิวกับตระกูลคาปุเล็ตที่มีความแค้นชนิดอยู่ร่วมโลกไม่ได้จนสร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองจนต้องมีกฎเหล็กบังคับทั้งสองตระกูลให้อยู่อย่างสันติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์สร้างความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อไหร่เจ้าหน้าที่พรินซ์ (Vondie Curtis-Hall) จะเป็นคนบอกว่าสมควรรับโทษหนักแค่ไหนโดยว่ากันตามถูกผิดอย่างเด็ดขาด แต่เรื่องไม่ได้ว่ากันตามโดยง่ายตลอดเวลาเพราะคนทั้งสองตระกูลยังคงอาฆาตต่อกันตลอดเวลา เพียงแค่สบสายตาก็พร้อมจะชักปืนรัวกระสุนแบบไม่ต้องถามไถ่ว่ามีเหตุผลอะไรต้องฆ่าแกงกันนอกจากคำว่าศัตรู แม้ว่าจะเกิดเรื่องจนสร้างเหตุชุลมุนเอาไว้มากเพียงไหนแต่มีอยู่คนๆหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาอะไรกับตัวเขา เพราะเขาเข้าใจดีกับชีวิตอันแสนสงบในนอกเมืองเวโรนากับชีวิตรักสนุกริมหาดทะเลที่มีแต่ความสนุกกับบรรยากาศธรรมชาติอันแสนไม่มีเป็นพิษเป็นภัย ซึ่งเขาคือโรมิโอ (Leonardo DiCaprio) ชายหนุ่มหน้างามที่ไม่คิดยึดติดกับทางโลกแต่อย่างใดคล้ายต้องการปล่อยให้มันผ่านไปเช่นสายลมพริ้วไหว จนกระทั่งในงานเลี้ยงราตรีได้ไปเจอกับหญิงงามนางหนึ่งจนเขาเองยากจะละสายตาออกห่างได้โดยง่ายจนในใจเต็มไปด้วยแรงผลักดันที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งนางมีชื่อจูเลียต (Claire Danes) และด้วยการพบกันครั้งแรกก็เหมือนได้พิสูจน์การพบกันดุจรักแรกพบที่ได้เห็นก็รู้สึกถึงในความโหยหาในทันทีว่าคนนี้คือคนที่ตามหา ทว่าเรื่องราวได้นำพาทั้งสองสู่ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพียงเพราะต่างฝ่ายต่างมาจากสองตระกูลแค้นที่โรมิโออยู่ฝั่งมอนตะคิวและจูเลียตมาจากคาปุเล็ต กระนั้นทั้งคู่ต่างไม่คิดจะเลิกรักต่อกันแม้จะเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม และนับแต่นั้นมาก็เกิดเรื่องโศกนาฏกรรมนำพามาสู่คนทั้งสองตระกูลในท้ายที่สุด

Beautiful Creatures (2013) แม่มดแคสเตอร์

Beautiful Creatures (2013)
แม่มดแคสเตอร์
Director: Richard LaGravenese
Genres: Drama | Fantasy | Romance

เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างมาจากนิยาย Caster Choronicles ที่เผอิญเป้าหมายหลักของเรื่องเป็นแบบเดียวกันกับ The Twilight Saga พร้อมลองสร้างปรากฎการณ์คือเรื่องกระแสความรักต้องห้ามเฉกเช่นกับมนุษย์กับแวมไพร์และหมาป่า เผื่อหวังว่าลูกเล่นแบบนี้ยังคงใช้ได้ในการตลาดต่อให้หนังดูจะอ่อนมากๆเรื่องบทอย่าง Twilight ก็ตามที

Miss Congeniality (2000) พยัคฆ์สาวนางงามยุกยิก

Miss Congeniality (2000)
พยัคฆ์สาวนางงามยุกยิก
Director: Donald Petrie
Genres: Action | Comedy | Crime | Romance

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนที่มีอคติกับสาวนางงามต้องมาประกวดนางงามซะเองกับเกรซี่ ฮาร์ท (Sandra Bullock) เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ได้รับหน้าที่ต้องปลอมตัวเข้าไปในกลุ่มนางงามประกวดเพื่อตามหาคนร้ายที่กำลังวางแผนวางระเบิดอยู่สักแห่ง ซึ่งได้ความร่วมมือจากเอริค แมตทิวส์ (Benjamin Bratt) เพื่อนร่วมงานเอฟบีไอที่ขอร้องให้ช่วยปลอมเป็นหนึ่งในผู้ประกวด สุดท้ายเกรซี่ต้องตอบตกลงรับข้อเสนอเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ทว่าผิดถนัดไปคือตัวเกรซี่กับสภาพไม่บอกยี่ห้อสาวนางงามได้เลยสักนิด ดังนั้นจึงร้อนถึงวิกเตอร์ (Michael Caine) ผู้จะมาฝึกทักษะความเป็นผู้หญิงนางงามให้สวยเริ่ดเชิดหยิ่งจนสายตาชายมองค้างไปเลย แต่ด้วยเกรซี่ไม่ใช่หญิงทั่วไปงานนี้จึงต้องฝึกหนักกันหน่อยล่ะเพื่อให้ออกมาเฟอร์เฟคที่สุดเท่าที่ทำได้ ส่วนจะได้แค่ไหนไปลุ้นเอาตอนประกวดล่ะกันเด้อ

Rock of Ages (2012) ร็อคเขย่ายุค รักเขย่าโลก

Rock of Ages (2012) | ร็อคเขย่ายุค รักเขย่าโลก
Director: Adam Shankman
Genres: Comedy | Drama | Musical | Romance

"อ้าวๆขาร็อคทุกท่านวันนี้พร้อมจะโยกไปกับอารมณ์สุดเหวี่ยงกันแล้วหรือยัง ถ้าคิดว่าพร้อมขอเสียงกรี๊ดหน่อย" // กรี๊ดดด

เชื่อว่าขาร็อคเพลงโหดหลายท่านน่าจะชอบกับเรื่องนี้พอประมาณที่คุ้ยงานเพลงระดับคลาสลิคมาให้ฟังในฉบับนักแสดงร้องเองที่หลายคนยังต้องแปลกใจเลยว่านี่ใช้คนๆนี้จริงหรือไม่ อย่าง Tom Cruise ที่ขอเวลา 4 เดือนครึ่งไปจัดการเรื่องเสียงของตัวเองด้วยการไปเรียนร้องเพลงที่แทบเกือบๆกลายเป็นกิจวัตรทำงานไปเลย ซึ่งผลออกมาเป็นเหนือความคาดหมายมากๆ ทั้งหนักแน่น ทรงพลัง และร็อคสมตัวละครในเรื่องที่เป็นเจ้าตำนานความร็อคจนใครต่อใครใจมลายเมื่อได้ใกล้โดยเฉพาะสาวๆที่หลงเสน่ห์จนกลับตัวไม่ทัน นอกจากนี้ยังเป็นผลงานชิ้นแรกในการทำมิวสิคคัลอีกด้วย ถือว่าพระเอกคนนี้อยู่วงการมานานแต่ยังไม่เคยได้โชว์พลังเสียงเลย มี Rock of Ages นี่แหละที่จะทำให้ผู้ชมปรับมุมมองชายคนนี้ที่มีแต่หนังรักกับแอ็คชั่นบ้างล่ะ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ใช่ย่อยได้โชว์เสียงตัวเองบ้างอย่าง Alec Baldwin ที่อาจมีหลุดเพี้ยนนิดนึงแต่สุดท้ายกล่มกลืนไปกับเพลงได้อย่างสบายหูพร้อมกับหน้าตาที่ดูเหมาะกับสมัยแห่งร็อคได้อย่างดี ซึ่งดีแน่ๆเพราะก่อนหน้านี้ผู้ที่จะมารับนี้ยังมี Will Ferrell กับ Steve Carell ที่ซึ่งลองเป็นเจ้าของบาร์ร็อคดูสิ รับรองได้เลยว่าไม่หนังตลกฮาแตกก็หนังรักผสมดราม่าที่ดูผิดหลักกับความร้อนแรงแห่งร็อคไปแน่ๆ คิดกลับกันอาจทำให้หน้าตาหนังสนุกมาอีกแบบก็ได้ แต่ปัญหาไม่ใช่อะไรเพราะตลอดทั้งเรื่องส่วนใหญ่ต้องเล่นประกบคู่กับ Russell Brand ในฐานะลูกจ้างในบาร์ที่สนิทสนมกันอย่างดีปานคนรู้ใจ และ Alec Baldwin เล่นได้ดีกว่าในทางบุคลิกและ...และความสัมพันธ์โรแมนติกแบบเกย์ๆที่ขับเคลื่อนด้วยบทเพลง Can't fight this feeling ไม่คิดเลยว่ามันจะมีเรื่องรักแนวนี้ผสมอยู่ด้วย แต่เอาเถอะถือเป็นหนึ่งไฮไลท์ประดับเนื้อเรื่องให้มีมิติของตัวละครมากขึ้น แม้จะพิลึกนิดๆ

Howard the Duck (1986) ฮาเวิร์ด ฮีโร่พันธุ์ใหม่

Howard the Duck (1986) | ฮาเวิร์ด ฮีโร่พันธุ์ใหม่
Director: Willard Huyck
Genres: Action | Adventure | Comedy | Romance | Sci-Fi
Grade: D+

เห็นว่าเป็นหนังยอดแย่และเจ๊งด้วยจึงอยากดู เดี๋ยวๆปกติต้องหนังดีๆได้รับคำชมไม่ใช่เหรอถึงอยากดู ก็แหม่อยากรู้นี่ว่าเจ้าเป็ด(ไม่)น้อยตัวนี้ไปสร้างวีรกรรมเอาไว้บ้างจนโลกต้องจารึกเอาไว้ว่าห่วยเอาการ
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)