The Faculty (1998) โรงเรียนสยองโลก

The Faculty (1998)
โรงเรียนสยองโลก
Director: Robert Rodriguez
Genres: Horror | Mystery | Sci-Fi

ถึงคราวหนังสยองขวัญผสมไซไฟที่มีเหล่าเอเลี่ยนกันบ้างดีกว่า สำหรับเอเลี่ยนพวกนี่จะมีความแตกต่างออกไปจากเอเลี่ยนที่เรารู้จัก คือไม่มีร่างกายสิงสู่ก็ปลอดภัยแต่ถ้ามันเข้าไปในร่างกายเมื่อไหร่ รับประกันได้เลยว่านั้นจะไม่ใช่ตัวตนของคุณอีกต่อไป คล้ายๆหนังเรื่อง The Thing (1982) แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะกลายเป็นตัวประหลาดแบบนั้นนะ แค่เข้าไปควบคุมความคิด ประมาณว่ายึดร่างกายและสมองเฉยๆ ถ้าเป็นระดับนั้นคอหนังสยองเตรียมรับชมวัยรุ่นทั้งโรงเรียนกลายเป็นตัวประหลาดได้เลย


เนื้อเรื่องไม่ใช่ประเด็นไปซะทุกครั้งถ้าพล็อตจะง่าย เนื้อเรื่องอยู่ว่ามีเอเลี่ยนที่สิงร่างกายคนได้ ควบคุมเป็นเสมือนหุ่นเชิดได้อย่างใจ มาบุกยึดโรงเรียนเฮอร์ริงตันไฮสคูล แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเด็กกลุ่มหนึ่ง เคซีย์ คอนเนอร์ (Elijah Wood) หนุ่มหน้าอ่อนที่โดนแกล้งประจำ,เดไลลาห์ โปรฟิตต์ (Jordana Brewster) สาวเด่นประจำโรงเรียน,สโตคลี่ย์ มิทเชลล์ (Clea DuVall) สาวแปลกไม่ผูกมิตร,ซีค เทย์เลอร์ (Josh Hartnett) นักเรียนหัวดีกับอาชีพค้ายาขายเพื่อน,สแตน โรซาโด (Shawn Hatosy) นักกีฬาที่อยากหนีมาเป็นเด็กเรียน และแมรี่เบธ หลุยส์ ฮัทชินสัน (Laura Harris) นักเรียนมาใหม่ พบความผิดปกติในโรงเรียนที่เริ่มทำพฤติกรรมแปลกๆ ตั้งแต่อาจารย์จนถึงนักเรียนบางคน และสิ่งเหล่านี้ได้ขยายตัวจนพวกเขาเป็นตัวแปลกในสังคมซะเอง แล้วพวกเขายังค้นพบสิ่งมีชีวิตประหลาดที่อาศัยได้ด้วยน้ำ แต่กว่าจะรู้ความจริงทั้งหมดทุกคนในโรงเรียนแห่งนี้ได้ตกเป็นข้ารับใช้เอเลี่ยนไปหมด แล้วพวกเขาจะรับมือยังไงรวมถึงสมาชิกในกลุ่มที่ไว้ใจกันได้หรือเปล่า


เรื่องไว้ใจไม่ไว้ใจทำให้อดนึกถึงเรื่อง The Thing ไม่ได้เลย เพราะ The Faculty มีองค์ประกอบที่คล้ายกัน ทั้งเรื่องเอเลี่ยนเข้าไปในตัวคนแล้วควบคุมได้อย่างอิสระ ซึ่งนั้นเองเป็นการเดินเรื่องที่น่าสนุกเหมาะในการเอาตัวรอดเป็นหลัก ทีนี้อาจจะเห็นว่าตัวละครก็เยอะใช่ย่อยการแจกบทจะสมน้ำสมเนื้อหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าแจกพอกันทุกคนจนถึงระดับแยกซีนแข่งกันเลย ทุกคนมีบทที่แตกต่างกันและเป็นเอกลักษณ์ของทุกคน ตอนแรกหนังเดินด้วยการค้นพบสิ่งมีชีวิตประหลาดในสนามหญ้า ซึ่งเคซีย์ได้เจอเขาอย่างบังเอิญแล้วส่งต่อให้อาจารย์ในห้องดู ซึ่งมันเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยพบเคยเห็น ไม่ทันไรตัวหนังเปิดเผยหน้าตาตัวเอเลี่ยนเข้าตั้งแต่เริ่มต้นจากนั้นค่อยๆส่งผลต่อไปเรื่อยๆให้เกิดเป็นเรื่องผิดปกติ เริ่มจากอาจารย์ที่ดูจะจ้องหน้าจ้องตาเหมือนจะพยายามไม่ให้คลาดสายตา หรือจะมีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยสนใจกับเรื่องนอกตัว ซึ่งการดำเนินเรื่องไปเร็ว แค่เริ่มเท่านั้นหนังสามารถตีโจทย์ไปได้ไกล สำหรับในช่วงแรกเป็นการทำความรู้จักกับเหล่าตัวละครที่มีอยู่ โดยจะไม่เสนอในรูปของกลุ่มเดียวกันแต่แยกย้ายกันไปทีละคนสองคน เพื่อเป็นเรื่องง่ายกว่าในการเรียกซีนให้โดเด่นก่อนจะรวมกันแล้วแบ่งๆทีละนิดละหน่อย จะว่าแล้วทุกคนแสดงได้ดีกันนั้นเลย ที่สำคัญคือเป็นหนังผสมวัยรุ่นด้วยโทนจึงเหมาะมากๆถ้าให้สถานที่เป็นโรงเรียน คาแรกเตอร์เองยังจัดได้ลงตัว เป็นงานแจ้งเกิด Elijah Wood,Jordana Brewster และ Josh Hartnett อย่างสมน้ำสมเนื้อ


Robert Rodriguez เคยกำกับหนัง El mariachi (1992), Desperado (1995) และ From Dusk Till Dawn (1996) มาก่อน พอเป็นแนวระทึกขวัญผสมเอเลี่ยนท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นแบบนี้ความจริงตัวหนังน่าจะทำยากเหมือนกัน แต่เพราะน่าจะเป็นเรื่องคุมหนังได้อยู่สิ่งที่ได้ชมจึงกลมกล่อมไม่นอกทาง เช่น From Dusk Till Dawn เล่นในสถานที่ปิดกันอย่างจุใจและจบแบบห้วนๆชนิดกวนผู้ชม สำหรับ The Faculty เป็นหนังที่น่าสนใจเพราะความเร็วของหนังดำเนินได้ต่อเนื่อง ไม่มีอืดหรือน่าเบื่อ เนื่องจากลูกเล่นมีกันให้เรื่อยๆ แถมยังมีการถกเถียงไปมาแซวหนังโน้นนี่นั้นบ้างกันอย่างจริงจัง เช่น พวกเอเลี่ยนว่าควรจะจัดการยังไง พยายามเอาประเด็นของหนังมาลองใช้กันแบบมีเหตุมีผล

ส่วนเรื่องเอฟเฟคไปได้สวยแม้จะเนียนจะสุดในบ้างฉากก็คือว่าทำอารมณ์ร่วมได้เข้ากับโทนดี ที่ชอบเห็นจะเป็นฉากวัดใจกันว่าใครในกลุ่มเป็นพวกเอเลี่ยนหรือเปล่า ซึ่งวิธีพิสูจน์เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ แถมทำให้เป็นเรื่องมีหลักการใช้ในการจำกัดเอเลี่ยนได้อย่างเข้าท่า อีกฉากเป็นตอนที่รับมือกับอาจารย์ในห้อง ตรงนี้ที่เป็นจุดรวมพลของตัวละครเข้ามาเป็นกลุ่มอย่างไม่ตั้งใจ และเกิดรู้เรื่องรู้ราวด้วยกันทั้งหมด ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้เยอะ เพราะต่างคนก็เห็นกันมาเต็มตาว่าเจออะไรกัน ที่สำคัญคือหนังใช้ตัวละครได้คุ้มค่ามาก ไม่จำเป็นไปซะทั้งหมดหรอกว่าทุกคนจะต้องรอดเงื้อมมือจากเอเลี่ยน ฉะนั้นตรงนี้ที่หนังมีเสน่ห์ ใครหายไปไหนกลับมาอีกทีต้องระวังตัวกันหน่อย


น่าเสียหายที่ตอนจบทำได้ง่ายไปหน่อย เล่นทำลุ้นมาตั้งแต่ต้นเสียตอนจบที่ยังลุ้นไม่มากพอ อุตส่าห์เจอเอเลี่ยนตัวใหญ่แล้วเชียว ความจริงอารมณ์ในตอนจบถ้าทำให้ยืดยาวอีกหน่อยน่าจะดี เพราะหนังทำหักมุมช่วงท้ายได้ดีแต่ก็ช้าไปอีกจนเริ่มตะหงิดความเข้าใจของพวกเอเลี่ยนแล้วว่าจะเก็บพวกนี้เอาไว้ทำไม ทั้งที่จริงมีโอกาสจัดการได้ง่ายเหมือนกัน บางทีหนังอาจต้องการให้พวกเอเลี่ยนใช้แผนล่อคนในกลุ่มออกมาทีละคน ซึ่งในตอนท้ายก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เอเลี่ยนตัวใหญ่ปรากฏกลายทันทีตอนที่เหลือสโตคลี่ย์ ในขณะที่คนอื่นๆเริ่มไปทีละคน บางเป็นพวกเอเลี่ยนบางวิ่งตามหายามาจัดการเอเลี่ยนตัวแม่เพราะคิดว่าถ้าจัดการตัวใหญ่ได้ทุกตัวก็จะตาย

ตัวหนังเองไม่ได้ถึงขั้นว่าจะเป็นหนังสยองเพราะฉากเลือดหรือความน่าแหวะนั้นไม่มี(แต่บางทีก็มีเป็นการกระตุ้นความตื่นเต้น) อย่างตอนที่รับมืออาจารย์ที่เป็นพวกเอเลี่ยนความจริงตรงนั้นน่าจะเป็นฉากที่น่าจะนองเลือดเพราะไหนจะนิ้วขาด ปากกาปักลูกตา พวกนี้ไม่มีเลือดเลย หนังจึงมีโทนที่ไม่น่ากลัวหรือน่าแหวะอย่างที่เป็น ฉะนั้นดูได้โดยไม่ต้องเกร็ง


The Faculty จัดว่าเป็นหนังที่ดูสนุกและเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก ด้วยอารมณ์กลิ่นอายแบบวัยรุ่นวัยเรียนที่กำลังนิยมในหนังสมัยนั้น จะว่าอีกอย่างหนังสามารถสร้างความลึกลับและน่าค้นหาได้ดี ตัวละครในเรื่องเองมีความคิดและทักษะการอาตัวรอดที่ไม่น่าบ่นน่าเบื่อ แม้การดำเนินจะตรงสูตรว่าง่ายเริ่มจากปูทำความเข้าตัวละคร เจอเรื่องประหลาดแล้วพบว่าเป็นเอเลี่ยน ระหว่างนั้นเจอวิธีกำจัดด้วยสิ่งที่คาดไม่ถึง และสรุปด้วยการร่วมมือกำจัดเอเลี่ยนให้สิ้นซาก หนังมีความบกพร่องเรื่องเนื้อหาเพราะไม่รู้ว่าเอเลี่ยนพวกนี้มาได้ยังไง แต่หนังให้ประเด็นและคลี่คลายได้เข้ากับโอกาสที่เป็น เช่น สแตนที่เดิมทีเป็นนักกีฬาสามารถใช้ทักษะตรงนี้ไปต่อมหาลัยได้โดยง่าย ซึ่งในความคิดของสแตนคืออยากลองในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดดูบ้าง ซึ่งนั้นคือการเรียน ทีนี้จังหวะเหมาะที่หนังทำคือให้สแตนออกจากชมรมกีฬา แล้วเผอิญพวกที่เป็นเอเลี่ยนชิงลงมือพวกนักกีฬาก่อนพอดี จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าไว้ใจอีกอย่างแล้วว่าสแตนรอดจากเอเลี่ยนเพราะเบื่อเล่นกีฬาหรือมาหาเหยื่อหรือเปล่า อีกคนซีคที่หลายคนทั้งผู้ชมคงมองว่าตัวละครนี้อาจเป็นพวกชอบอวดปีกกล้าขาแข็งและขายยาด้วย ทั้งที่อันที่จริงคนๆนี้มีของดีซ่อนเอาไว้ที่บ้าน และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กหัวดีที่เก่งขนาดนั้นได้ แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้กับหนังเรื่องนี้ที่บางคนอาจคิดว่า Josh Hartnett ต้องเล่นเป็นพระเอกแน่ๆและเป็นคนกำจัดเอเลี่ยนได้ แต่เปล่าไม่ใช่เลย

จัดว่าดูสนุกและเพลินดีแถมทุกอย่างดูจะลงตัวไปเกือบหมดตั้งแต่นักแสดงยันคาแรกเตอร์ ถ้าใครชอบ From Dusk Till Dawn อาจไม่พ้นเรื่องนี้ด้วยที่จะต้องชอบ เพราะนอกจากหนังจะระทึกขวัญแล้วยังมีความมันส์ในการไล่ล่าอีกด้วย ซึ่งตัวหนังเองไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนด้วยซ้ำ ฉะนั้นการล่าเอเลี่ยนจัดว่าเหนื่อยและแทบไม่หยุดพักกันเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)