Godzilla, Mothra and King Ghidorah: Giant Monsters All-Out Attack (2001) ก็อตซิลล่า, ม็อททร่า และคิง

Godzilla, Mothra and King Ghidorah: Giant Monsters All-Out Attack (2001)
ก็อตซิลล่า, ม็อททร่า และคิงส์กิโดรา สงครามจอมอสูร
Director: Shusuke Kaneko
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Sci-Fi | Thriller

ในหมู่ก็อตซิลล่าทั้งหมดที่ผ่านมาคงมีภาคนี้ที่เรียกว่ามาแหวกแนวที่สุดเลยก็ว่าได้โดยเฉพาะการทำให้ก็อตซิลล่ากลับมาน่าเกรงขามและน่ากลัวเฉกเช่นสมัย Godzilla (1954) หรือมากกว่าในการออกมาทำลายบ้านเมืองเพื่อตอกย้ำคนญี่ปุ่นถึงการกระทำในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนส่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรงจากการโดนระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิเพียงตัวเองอยากฝักใฝ่เป็นใหญ่ครอบครองประเทศเพื่อเป็นมหาอำนาจ สิ่งเหล่านี้คือแผลในใจของเหล่าชาวแดนอาทิตย์อุทัยที่สร้างความเจ็บปวดและรอยร้าวคนในประเทศด้วยการสูญเสียยิ่งกว่าได้หลายเท่า และก็กลายเป็นคำสอนอย่างดีเยี่ยมนับแต่นั้นมาเพื่อเตือนใจในความอัปยศว่าอย่าทำผิดอีกครั้งเด็ดขาด ทว่าดูเหมือนคำสอนนี้ได้จางหายไปเรื่อยๆจากคำบอกเล่าที่เจือจางไปตามเวลาพร้อมกับยุคสมัยที่วิ่งเข้าพัฒนายิ่งขึ้นจนเป็นการแข่งขันระหว่างประเทศที่อาจไม่ถึงกับต้องเสียอย่างเช่นสงคราม แต่เราอาจต้องเจ็บปวดกลับมาในแบบสงครามเย็นที่เหมือนจะว่างเปล่าไร้กังวลแต่หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าสงครามโลกด้วยมหาอำนาจที่ครอบครองระเบิดนิวเคลียร์ ทว่าประเด็นนี้ได้จบลงไปแล้วใน The Return of Godzilla (1985) คงเหลือเอาไว้กับตอนจบที่แสนเศร้า ข่มขื่น สะเทือนใจ มันคงแปลกที่จบลงแบบนั้นหากหนังสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ถล่มเมืองสร้างหายนะแบบทั่วๆไป แต่นี่แตกต่างออกไปเพราะนัยนะที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าทำให้การจบลงด้วยเสียงแฮปปี้ไม่มีความหมาย ไม่มีใครดีใจที่เห็นก็อตซิลล่าลงปล่องภูเขาไฟแล้วจางหาย


ครั้งนี้การกลับมาของก็อตซิลล่าคือเรื่องประหลาดใจเพราะรูปแบบที่มาที่ไปนั้นมีความแตกต่างและความเป็นไปได้จากข้อสันนิษฐานที่ว่าก็อตซิลล่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่เพียงตัวเดียวหากยังมีการใช้นิวเคลียร์อยู่ร่ำไป ในขณะที่อีกหนึ่งนัยยะสำคัญจากความเป็นภาคต่อกึ่งภาครีบู๊ทนี้ได้จารึกถึงการต่อต้านสงครามโดยทำให้สิ่งที่เหลือเชื่อมีความเป็นไปได้เมื่อการกลับมาของก็อตซิลล่าคือเรื่องเหนือธรรมชาติเพราะเป็นตัวเดียวกับเมื่อ 50 ปี

ซึ่งเรื่องเซอร์ไพรส์คือการกลับมานั้นอาจมีเค้ามาจากการถูกสิงจากวิญญาณคนญี่ปุ่นที่ตายไปรวมตัวเป็นร่างเนื้อให้กับก็อตซิลล่าจนมีชีวิตขึ้นมา แต่ไม่รู้ยังไงเพราะความเป็นไปได้อย่างหลังนั้นค่อนข้างยากจะเชื่อว่าเกิดขึ้นได้เว้นแต่กรณีแรกที่ยังทำความเข้าใจกับสัตว์นิวเคลียร์ได้เป็นอย่างดี กระนั้นดูเป็นว่าตัวหนังจะปลักหลักใจเชื่อในกรณีที่สองอย่างล้นหลามด้วยการเพิ่มสีสันเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อาทิ เทพผู้พิทักษ์ญี่ปุ่นสามตนที่ประกอบด้วย บาราก้อน ม็อททร่า และคิงกิโดร่า แถมยังพลวงปูพื้นเหล่าตัวละครที่กำลังทำงานเรื่องสิ่งลี้ลับพอดิบดีอีกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องแปลกสำหรับหนังก็อตซิลล่าที่ไม่เน้นสิ่งลึกลับมาก่อนเพราะโดยรวมมักจะพุ่งเป้าไปที่ผู้มาเยือนอย่างมนุษย์ต่างดาวแบบในยุคยุคโชวะ แต่อย่างว่านี้มันยุคมิลเลเนี่ยมจะต้องมีอะไรที่แตกต่างออกไปและเป็นมากกว่าสัตว์ประหลาดจับปะทะกัน


GMK มีความแตกต่างอย่างมากในการปฏิรูปแบบนำเสนอที่ชวนตื่นเต้นยิ่งกว่าทุกภาคอีกทั้งการใส่ประเด็นเข้าไปพร้อมกับไอเดียเรื่องราวเหนือจริงทำให้หลายสิ่งเกี่ยวกับภาคนี้มีอารมณ์ที่ชวนลุ้นแถมยังไม่รีรอต่อการปรากฎตัวของก็อตซิลล่าที่มักจะเลือกให้โผล่มาในจังหวะเนิบๆหลังปูต้นเรื่องอย่างแน่นหนา ทว่ากับเรื่องนี้แตกต่างตรงที่จังหวะปรากฎของก็อตซิลล่ามาในแบบที่ร่ายยาวยิ่งกว่าทุกครั้ง ไม่ใช่สนทนากันยาวแต่หมายถึงความ Non-Stop ที่สู้กันอย่างต่อเนื่องไม่เป็นอันเหนื่อยของก็อตซิลล่านับตั้งแต่ศึกแรกคือบาราก้อนกันแต่เนิ่นๆโดยมีการปูเรื่องราวบ้างซึ่งมุ่งเน้นแต่โจทย์ประเด็นหนัก ด้วยการเลือกแต่ประเด็นแบบเนื้อๆทำให้น้ำหนักมีค่อนข้างมากโดยเฉพาะประเด็นเสริมต่อจากก็อตซิลล่าในภาคแรกมาเป็นการบ่งบอกถึงการต่อต้านสงครามอย่างเช่นเรื่องนิวเคลียร์ในฉากเปิดเรื่องเกี่ยวกับเรือดำน้ำอเมริกาหายสาบสูญไปและกองทัพทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาช่วย แต่ปรากฎว่ามีทหารนายหนึ่งเห็นบางสิ่งเป็นครีบขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายก็อตซิลล่า ด้วยความตื่นตะลึงนี้เองทำให้ทุกคนหวาดผวาอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะก็อตซิลล่าสมควรตายไปแล้วตั้งแต่ปี 1954  นั้นจึงเป็นประเด็นที่ว่าหากประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งพวกเขาจะเอาอะไรไปสู้ได้แม้จะมีความทันสมัยที่มากกว่าแต่ก่อนก็ตามทว่ากับก็อตซิลล่าไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในแผนเตรียมรับมือเลยสักนิดเดียว

อย่าว่าแต่เรื่องเซอร์ไพรส์โดดเด่นเรื่องการกลับมาของก็อตซิลล่าเลยหากจะเป็นการทำให้ชาวญี่ปุ่นจำได้เพียงแต่กับก็อตซิลล่าเท่านั้นจนทำให้บรรดาสัตว์ประหลาด(หรือเทพ)ที่โผล่มาตอนแรกๆยังถูกกล่าวผิดคิดว่าเป็นก็อตซิลล่าทั้งที่จริงมันคือบาราก้อนเท่านั้นเอง นี่จึงเป็นปมอย่างหนึ่งที่คนญี่ปุ่นยังคงจำได้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้หน้าตาจะดูแปลกจากเดิมก็ตามทีจนมารู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดหากแต่เป็นหนึ่งในเทพผู้พิทักษ์ญี่ปุ่นที่ออกมาปกป้องเท่านั้นเอง ถึงแม้จะมีหลายคนยังไม่ลืมเลือนวีรกรรมเจ้าสัตว์นิวเคลียร์เดินได้นี้แต่ก็มีบางส่วนคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันนิทานหลอกเด็กที่คงเอาไว้เพียงตำนานเท่านั้นซึ่งก็ไม่ต่างกับคนที่ละเลยในข้อผิดพลาดเมื่อครั้งอดีตจนต้องตอกย้ำด้วยการกระทำในฉากก็อตซิลล่าพ่นลำแสงแสนทรงพลังจนระเบิดเป็นรูปดอกเห็ดประหนึ่งลูกระบิดนิวเคลียร์ลงมาถล่มเมืองราบเป็นหน้ากอง เท่านั้นยังไม่จบเมื่อก็อตซิลล่าในภาคนี้มีความแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือดวงตาที่มาลักษณะสีขาวขุ่นไร้มลทินใดๆแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว ไร้อารมณ์ จะมีแค่ความน่ากลัวที่แพร่ซ่านออกมาพร้อมกับความโหดร้ายที่ไร้การไตร่ตรองทำแต่เพียงอารมณ์ของสัตว์ร้ายตามแบบสัญชาตญาณที่ต้องทำลายล้าง


ยูริ ทาจิบานะ (Chiharu Niiyama) คือตัวละครเอกของเรื่องที่พาให้ผู้ชมเชื่อมเข้าหาทุกสิ่งตั้งแต่การมีอยู่ของก็อตซิลล่าตลอดจนเน้นๆคือเรื่องของสามตำนานเทพผู้พิทักษ์ญุี่ปุ่นจนผู้ชมกระจ่างในข้อสงสัยนี้ได้อย่างไร้ข้อกังขา อีกด้านหนึ่งเสมือนนักข่าวที่พยายามพาสื่อไปถึงจุดสูงสุดด้วยการรายงานข่าวสดจากที่เกิดเหตุจนเป็นที่น่าสงสัยว่าเพราะอะไรตัวละครนี้ถึงได้บ้าบิ่นเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก เพราะสิ่งนี้คือความกล้าที่จะยอมรับต่ออุปสรรค ด้วยหลักของสื่อที่ก่อนหน้านี้แม้จะทำข่าวเก๊เพื่อเป็นรายการบันเทิงสร้างสิ่งลี้ลับแต่กับสัตว์ยักษ์ใหญ่ที่โผล่มามากถึงสี่ตนทำให้เธอมีแรงกำลังใจต่อข่าวจริงๆอย่างไม่หลอกลวงอีกทั้งมันคือการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่หาไม่ได้แบบนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญคือการได้เป็นกำลังใจให้กับคนที่รักมากที่สุดซึ่งก็คือไทโซะ ทาจิบานะ (Ryudo Uzaki) ผู้เป็นพ่อและเป็นทหารเรือเอกก่อกรกับก็อตซิลล่าอย่างตั้ใจฝั่งลึกเพราะปมเมื่อประมาณ 50 ปีก่อนกับการปรากฎตัวครั้งแรกของก็อตซิลล่าได้จบชีวิตครอบครัวของเขาไป

อะไรคงไม่น่าประทับยิ่งกว่าการเคารพต่อต้นฉบับโดยเฉพาะฉากโผล่หัวของก็อตซิลล่าที่อิงมาจากปี 1954 ที่มีฉากเดียวกันกับแบบนี้ อีกทั้งยังแก้สูตรสำเร็จหนังก็อตซิลล่าทุกภาคเกี่ยวกับคนวิ่งให้ออกมากลมกลืนโดยไม่ต้องวนเวียนฉายให้เห็นฉากทำนองนี้บ่อยๆ ซึ่งนี้เป็นเรื่องที่ดีมากเพราะการเห็นคนวิ่งหนีอพยพเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ในตัวหนังและที่ใส่เข้ามาทุกภาคจนกลายเป็นของเดิมๆไปหมดแล้ว แต่นี่ถือว่าแนบเนียนไม่ดูเป็นเรื่องที่มากมายจนขัดต่อ กระนั้นต้องปรบมือให้กับผู้กำกับ Shusuke Kaneko ที่่ก่อนหน้านี้เองก็มีไตรภาคหนังสัตว์ประหลาดกาเมร่า (1995-1999) จนได้รับเสียงชื่นชมจากฝั่งนักวิจารณ์ทางบวกอย่างล้นหลามด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่กระชับฉับไวและไม่เลื่อนลอยวนเวียนไปกับคนวิ่งหนีแต่มุ่งเป้ามาที่ประเด็นสำคัญเป็นหนักพร้อมกับฉากแอ็คชั่นที่ใส่มาไม่ยั้งจนบางเสียงถึงกับบอกดีกว่าก็อตซิลล่าเสียอีก และที่สำคัญคือทีแรกเหมือนจะตั้งใจใส่วารอนมาด้วยแต่เกิดไม่ผ่านทำให้เอาส่วนหัวมาประกอบเขากับหัวคิงกิโดร่าเสียเลย แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องภาพลักษณ์ของคิงกิโดร่าที่ดั้งเดิมแต่ไหนแต่ไรคือศัตรูตัวฉกาจเป็นฝ่ายร้ายมาโดยตลอดแต่พอมาครั้งนี้ถูกตีความเสียใหม่เป็นหนึ่งในสามเทพผู้พิทักษ์จึงดูแปลกตาอีกทั้งมุมกลับกันกลายเป็นว่าดูยิ่งใหญ่และสมความเป็นเทพจริงๆ


แต่จะอะไรนั้นม็อททร่าก็ถือเป็นตัวละครชิ้นโบว์แดงที่หลายคนหลงรักเพราะในหมู่สัตว์ประหลาดทั้งฟมดคงมีม็อททร่าที่เป็นมิตรต่อมนุษย์มากที่สุดเพราะไม่เคยถูกถ่ายทอดในแง่ฝ่ายร้ายเลยสักครั้ง ทว่าการมีม็อททร่าปรากฎขึ้นตัวนั้นจำต้องมีนางฟ้าฝาแฝดตัวจิ๋วอยู่ด้วยเสมอเป็นของคู่กันมาตั้งเนิ่นนานแต่มาหนนี้สิ่งนี้ได้ถูกจับแยกออกไปเหลือเพียงผีเสื้อร่างยักษ์ที่พัฒนาจากหนอน แต่เรื่องแบบนี้อาจทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลกและโล่งเพราะความไม่คุ้นเคยบวกกับที่ว่าถ้าใส่เข้ามาอาจทำให้เนื้อเรื่องหลุดได้จึงคาราวะด้วยฉากสั้นๆตอนม็อททร่าบินผ่านเมืองที่เราจะได้เห็นผู้หญิงฝาแฝดสองคนมองไปที่ม็อททร่าคล้ายเหมือนคุ้นเคยกันมาก่อน ดังนั้นการเคารพและคาราวะที่เกิดขึ้นในภาคนี้นับเป็นเรื่องน่านับถืออย่างยิ่งที่ไม่จงใจทำให้หนังลุ้นจากความเป็นดั้งเดิมแต่ตีความใหม่ด้วยการทำให้รู้สึกถึงเรื่องเก่าๆได้

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือฉากต่อสู้ที่ทำได้ถึงพริกถึงขิงวางจังหวะได้เหมาะสมและสนุกได้ตลอดเวลาอย่างไม่น่าเบื่อ อีกทั้งการเล่าเรื่องยังวางได้แม่นยำโยงประเด็นได้ไม่หลุดลอยหรือหลุดกรอบหากแต่ยังวนเวียนกับเรื่องนิวเคลียร์กับความอัปยศของชาวญี่ปุ่นที่รู้ซึ้งกันดีในข้อนี้ ด้วยลักษณะการดำเนินทำให้ GMK คือหนังก็อตซิลล่าที่ดีที่สุดในลำดับต้นๆที่นอกจากจะความมันส์ที่ดุเดือดมากแล้วยังแฝงนัยยะสำคัญได้ตรงจุด แต่จะอะไรนั้นสิ่งที่สมควรกล่าวขวัญได้เป็นอย่างดีคือฉากไคล์แม็กซ์ศึกระหว่างก็อตซิลล่ากับไทโซะที่ขับเรือดำน้ำเข้าปากก็อตซิลล่าด้วยความมุทะลุมั่นใจ นับเป็นฉากที่ทรงพลังแต่ก็บ้าด้วยเช่นกันที่ใจกล้าถึงขนาดนั้นได้ ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ก็ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพร์สอย่างหนึ่งแต่ที่น่าตระหนักถึงคือความกล้าหาญ ต่อให้เราต้องสูญเสียมากมายเพียงใดแม้จะเป็นนิวเคลียร์เราก็ต้องสู้เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติต่อไป

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)