The Midnight Meat Train (2008) ทุบกะโหลกนรกใต้เมือง

The Midnight Meat Train (2008) | ทุบกะโหลกนรกใต้เมือง
Director: Ryuhei Kitamura
Genres: Horror | Mystery | Thriller

อันตรายจากรถไฟใต้ดินมีให้เห็นเป็นประจำโดยเฉพาะเวลาที่คนน้อยๆยิ่งดึกๆยิ่งไม่น่าไว้วางใจที่สำคัญสายตาที่ถูกจ้องจากใครบางคนจากข้างหลังที่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่จะเป็นความรู้สึกที่ระแวงยิ่งนัก

The Midnight Meat Train ผลงานเรื่องเยี่ยมนิยายสุดหลอนชื่อดังจากชุด Books of Blood ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากหนังสือรวมเรื่องสั้นในทศวรรษที่ 80 ที่เขียนโดย Clive Barker ที่เดิมเป็นเจ้าของผลงานระดับมาสเตอร์หนังสยองเรื่อง  Hellraiser หรือหัวตะปูที่ใครเคยเห็นต้องนึกออก และเรื่องนี้ได้กลายเป็นหนังยาวจากจำนวนในหนังสือเรื่องสั้น 27 หน้าที่ก่อนหน้านี้ยังได้คำชมจากเจ้าพ่อนิยายสยองขวัญ Stephen King ยกย่องให้เป็นอนาคตใหม่ของนิยายเขย่าขวัญ แต่จะใหม่สดยังไงนั้นต้องหาลองชมหนังเรื่องกันว่าความสยองระดับเจ้าพ่อยังชมมีหรือว่าจะไม่สนุกและไม่สยองได้ไง
 

โดยเริ่มเรื่องจากบรรยากาศของกลางคืนที่มีชายหนุ่มนักกล้องถ่ายรูปที่พยายามหามุมเด็ดๆในเวลากลางคืนเพื่อเสาะหาภาพที่มีคุณภาพและมีชีวิตของผู้คนอย่างตั้งใจ ที่ครั้งนี้คืองานใหญ่ที่ลีออน(Bradley Cooper)ต้องทำให้สำเร็จกับภาพชีวิตกลางคืนที่แสดงถึงความเป็นศิลป์ให้จงได้ แต่โดยทั่วไปทุกสิ่งรอบตัวมีความแตกต่างที่ส่วนใหญ่มีเรื่องอันตายเหมือนรูปภาพหนึ่งที่ถ่ายกลุ่มนักเลงที่กำลังระรานผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาได้ถ่ายภาพนั้นเพราะสำนึกของการเอางาน ซึ่งเขาก็เกือบลืมความเป็นคนก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือเธอคนนั้น หลังจากนั้นกลายเป็นข่าวเช้าเมื่อผู้หญิงที่ช่วยไว้ในสถานีรถไฟต้องหายตัวไปอย่างลึกลับ ด้วยความสงสัยนี้เองทำให้ต้องเขาเข้าแจ้งความเกี่ยวกับผู้หญิงที่เจอในคืนนั้นว่ามีคนลักพาตัวเธอไปเพราะมีรูปภาพยืนยันจากหลักฐานบางส่วน แต่ทว่าทำไมการให้ข้อมูลกลับทำให้โดนหมายเล็งซะเองทั้งที่พยายามจะช่วยแล้วแท้ๆ แต่หลังจากนั้นเขาลองสืบเรื่องนี้ดูแล้วพบว่าคล้ายกับฆาตกรเมื่อนานมาแล้ว ที่ฆ่าเหยื่อแล้วนำไปรวมกับเนื้อบดที่นั้นทำให้หลักฐานทุกอย่างหายไป แต่ยิ่งเขาสืบมากเท่าไหร่ความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆจนแม้แต่มายา(Leslie Bibb)แฟนของเขายังต้องถอยห่างออกไปเพราะความหมกหมุ่น และที่น่าประหลาดใจคือตัวของเขาเหมือนถูกควบคุมจากบางอย่างที่ทำให้เขาเริ่มไม่ใช่เขาอีกต่อไป ซึ่งที่แห่งนั้น ณ รถไฟใต้ดินที่ทำให้เขาได้คำตอบที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับชายลึกลับที่กำลังตามหา โดยหารู้ไม่ว่านี้เป็นความตั้งใจที่ล่อให้เขามาติดกับในเรื่องเหลือเชื่อ
 

สถานการณ์ในรางรถไฟใต้ดินอยู่จะคับแคบเกินไปถ้าหนังอยากจะเล่าอะไรหลายๆอย่างซึ่งก็เป็นไปตามนั้นทั้งบนพื้นและใต้ดินที่คล้ายตามติดชีวิตใครสักคนที่ทั้งเรื่องให้ความสำคัญในการเจาะจงแต่ละหลายบุคคลอย่างละเอียดจนเริ่มเห็นได้ว่าใครบางคนกำลังคิดอะไรอยู่ และมีความเป็นอยู่ยังไง อารมณ์ศิลป์ที่ได้คือการถ่ายรูปที่ไม่ใช่งานอดิเรกแต่เป็นงานหลักที่ลีออนถนัดและเลือกถ่ายตามเอเย่นต์ที่ต้องการนั้นคือเวลาพระอาทิตย์ตก ถ้าไม่ใช่ถูกมองว่าถ่ายรูปได้น่าสนใจผ่านการวิจารณ์งานแบบหนักๆแล้วล่ะก็เขาอาจไม่ใช่ตัวเลือกตากล้องที่ดี แม้งานก่อนหน้านี้จะถูกว่ายังไม่ดีพอแต่ยังได้คำชมจากเพื่อนอยู่ และนั้นทำให้เขาเลือกถ่ายรูปเวลากลางคืนต่อไปเพราะเขายังไม่ได้ถูกไล่จากงานนี้ซึ่งเท่ากับว่างานของเขาน่าสนใจเพียงยังไม่สุดความพึ่งพอใจ ลีออนใช้ชีวิตกลางวันอย่างอิสระอยู่กับแฟนและเพื่อนที่รู้จักตามประสาคนว่างงานที่คอยเวลาว่าเมื่อไรจะกลางคืนและนั้นความจริงของเมืองนี้จะอยู่ในกรอบ

ไม่นึกเลยว่าสถานการณ์จะบังเอิญพาไปได้กับลีออนที่พยายามหารูปเด็ดๆเพื่อนำไปโชว์ในงานที่ใกล้ถึงจะต้องมาสะดุดกับคำว่า"สงสัย" ลีออนหาภาพต่างๆด้วยการไปนู้นไปนี่อย่างอิสระโดยลำพังซึ่งนั้นทำให้เขาสงบมากกว่ามีใครมาก่อกวนหรือมากคนในเวลากลางวัน ที่น่าสนใจคือการถ่ายรูปชายคนหนึ่งจากสถานีรถไฟที่เดินออกมาคนเดียวในเวลากลางคืนท่ามกลางความว่างเปล่า แต่จะอะไรเมื่อยิ่งถ่ายยิ่งตามติดขึ้นเรื่อยๆจนวันหนึ่งเขาได้ภาพเด็ดที่น่าสนใจจากกลุ่มนักเลงวัยรุ่นที่จ้องด้วยอารมณ์เคืองแบบสุดๆ ในขณะนั้นเองที่เขาได้ช่วยผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้และเกิดหายตัวไปในวันถัดไปและบังเอิญที่เขาได้ถ่ายรูปติดคนบางคนที่เป็นเหมาะแสบางอย่าง มีอารมณ์หนึ่งที่น่าเกือบเห็นแก่ตัวคือทำไมลีออนไม่เข้าไปช่วยเลยแต่เลือกถ่ายรูปก่อนเข้าไปช่วย นี่อาจเป็นเหตุผลอีกอย่างหนึ่งของมุมมืดที่ใครๆก็มีสิ่งที่ยังแอบอยู่ในสักมุมหนึ่งเหมือนไม่รู้ว่ารถไฟจะจอดสถานีไหนก่อนจะนึกได้ว่าสมควรรีบลงไปก่อนจะรู้ว่ามีบางสิ่งกำลังอยู่ข้างหลัง
 

สิ่งแรกที่หนังนำเสนอคือลีออนผ่านพฤติกรรมที่บางเรื่องไม่จำเป็นอย่างการไม่กินเนื้อหรือเป็นคนที่ไม่เคร่งเครียดเกินไป แต่หลังจากไปสืบเรื่องราวเกี่ยวกับรถไฟใต้ดินที่ยิ่งสืบสาวมากขึ้นนิสัยช่างภาพที่เคยมีเริ่มเลือนหายไป จากหามุมทิวทัศน์ความจริงของเมืองเวลากลางคืนกลายเป็นแอบถ่ายคนน่าสงสัยแทน ลีออนอยากรู้ความจริงมากขึ้นจนต้องลองกับตัวเองด้วยการขึ้นรถไฟที่แทบไม่มีคนอยู่เลย ที่น่าแปลกคือทำไมชายคนนั้นถึงเลือกขึ้นรถในเวลาที่ไร้ผู้คน คำตอบนี้คงไม่ต้องอธิบายว่าเพราะอะไร นั้นเพราะกำลังคอยเหยื่อที่คัดมาและไม่มีใครอยู่อีก ซึ่งนั้นเองที่ทำให้ลีออนมั่นใจในชายคนนั้นว่าไม่ธรรมดา ลีออนพยายามถ่ายรูปท่ามกลางความโหดร้ายที่ลงมืออย่างหนักหน่วงด้วยค้อนทุบแบบไม่ลังเล แต่ยังไงซะเขาเองก็พลาดถูกทำให้สงบหลังจากได้สติต้องแปลกใจกับตัวเองที่เริ่มไม่เป็นของตัวเองทีละนิด กล้องถ่ายรูปหายไปไม่มีอะไรแม้แต่หลักฐานสักชิ้นนอกจากอาการบางอย่างที่ทำเขาเพี้ยนจากเดิม เปลี่ยนพฤติกรรมไปอีกคน ไม่กินเนื้อกลับเลือกกินเนื้อแบบไม่เคยเป็นหรือจะนิสัยที่เริ่มเปลี่ยนบุคลิกอย่างสิ้นเชิง แล้วทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป?

ข้อดีของหนังคือการดำเนินเรื่องที่มาให้รู้ถึงความรุนแรงที่โหดอย่างสูงด้วยการฆ่าที่ใช้ค้อนอย่างเป็นเอกลักษณ์การฆ่าของเรื่องนี้ที่ทุบสมชื่อหนัง บางทีการที่หนังสยองเลือกใช้มีดหรือเลื่อยคงจะจำเจเกินไปโดยเฉพาะมีดที่ไม่ว่าจะยังไงพกได้สะดวกและวิธีการฆ่าแบบหวาดเสียว ทีนี่เมื่อลองไปเทียบกับค้อนแล้วอาจมองว่าไม่น่าหวาเสียวเท่าอย่างแน่แท้ และ The Midnight Meat Train คือหนังที่ใช้ค้อนได้ถึงความโหดที่มากับการทุบแบบเต็มหน้าบวกกับเอฟเฟคเรียกเลือดเนื้อกระจุยกระจายขนาด 3 มิติก็น่าลอง
 

แต่ที่น่าเอ่ะใจคือการชอบใช้เลือดที่ถ้าลองสังเกตดีๆไม่ทันไรเลือดท่วมกันแล้วประมาณว่าข้นถึงเลือดถึงเนื้อกันทีเดียว ที่สำคัญคือการจะให้โหดได้นั้นต้องมาพร้อมกับนักแสดงที่รายนี้ทำได้เข้าขั้นว่าดูน่ากลัวน่าชมในสีหน้าที่สุด นั้นคือ Vinnie Jones ที่หน้านิ่งแต่แฝงหลายอย่างที่ร้ายกาจขนานแท้ และนักแสดงอีกคนที่ไม่นึกว่าจะได้เล่นหนังสยองขวัญด้วยคือ Bradley Cooper เพราะปกติเห็นเล่นแนวรัก-ดราม่า ไม่ก็แอ็คชั่น-ทริลเลอร์ นับว่าเซอร์ไพร์สพอตัว

ทั้งนี้ยังในส่วนบรรยากาศของหนังมีความน่าดูไม่น้อยที่ผสมกลิ่นอายเมืองยามราตรีได้น่าลุ้นแบบทะมึนเข้มข้น การเดินเรื่องช้าบ้างเร็วบ้างตามจังหวะของเนื้อเรื่องที่ค่อยๆหนักหน่วงตลอดเวลาโดยเฉพาะกับคำถามจะกำลังจะเกิดขึ้นหลังดูเรื่องนี้จบที่จะให้ 2 แง่มุมคือ"จบแบบนี้มันรั่วเกินไป"กับ"หักมุมเปลี่ยนแนวไปเลย"

กรณี"จบแบบนี้มันรั่วเกินไป"คือการดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการไล่ฆ่านั้นไม่ใช่ทำเพราะความเป็นโรคจิตอย่างที่คิดๆกันเพราะสิ่งที่ทำมีแรงจูงใจและเป็นหน้าที่ที่ต้องทำตามระเบียบ อะไรคือหน้าที่ทั้งที่ฆ่าคน ถ้างั้นทำไมต้องเก็บเหยื่อที่ฆ่าแบบเนื้อสัตว์ในโรงงานที่ห้อยโตงเตงด้วย นั้นจะเป็นคำถามที่ตอนจบจะเฉลยได้ชัดเจนที่สุดเพียงแค่จะรับได้ไหมเพราะค่อนข้างเริ่มไปไกลซะแล้ว
 

และอีกอย่างคือ"หักมุมเปลี่ยนแนวไปเลย"ที่นอกจากจะแหวกแนวแล้วยังเหมารวมไปกับหนังสัตว์ประหลาดอย่างเหลือเชื่อ และอะไรอีกถ้านี้คือคำตอบดีๆที่บอกได้ว่าทำไมลีออนถึงเริ่มเปลี่ยนไปอีกคนแม้จะคงสติเอาไว้ได้ก็ตามแต่ยังเหมือนต้องมนต์กระกดบางอย่างที่ทำให้เขาต้องเกือบเป็นนักฆ่าอีกคน ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ผู้ชมจริงๆว่าจะมองยังไง โดยส่วนตัวให้ความเห็นแบบแรกที่มันรั่วไปหน่อยทำใจยากที่จะรับแบบซื่อๆเพราะเนื้อเรื่องทำไว้อย่างดีมีปมบ้างส่วนให้คิดแต่ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่กับแนวนี้จนเรื่องราวมันสักยังไงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากไม่ใช่มีแค่ฆาตกรคนเดียว มีคนสมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน มีความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจากพฤติกรรมที่ตั้งคำถามว่าฆ่าไปทำไมแล้วนำไปไว้ไหนหมดที่สำคัญในรถไฟทำได้ง่ายขนาดนี้ได้ไงถ้าไม่ใช่มีคนสมรู้ร่วมคิดอยู่ด้วยอย่างว่าและจะอะไรเมื่อเป็นการหักมุมที่สุดโต้งสุดแง่ แต่ที่แน่ๆคือความสนุกนั้นโหดเอาเรื่องล้วนๆไม่มีความปรานีสักนิดฟาดแล้วฟาดอีกเต็มหน้าเต็มตาลูกกะตากระเด็นอะไรประมาณนี้

หนังไม่มีเชือดแต่ยังมีทุบก็ใช่จะปราศจากข้อคิดเอาไว้บ้างเพราะสอนได้นิดๆหน่อยๆคืออย่าไปไหนมาไหนในเวลาค่ำคืนคนเดียวจะเป็นอันตรายได้ ควรไปเป็นกลุ่มหรือพกอาวุธไว้บ้างเผื่อป้องกันตัวจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้(แต่ในหนังไม่รอดสักราย) เอาเป็นว่าใครชอบรับรองได้ชอบแน่เรื่องนี้ ส่วนมีความคิดเห็นยังไงกับตอนจบก็พึงประสงค์อย่างหนึ่งว่า"โอเค หนังหักมุมนี่นะ"

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)