Twister (1996) ทวิสเตอร์ ทอร์นาโดมฤตยูถล่มโลก

Twister (1996)  | ทวิสเตอร์ ทอร์นาโดมฤตยูถล่มโลก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Thriller
Grade: B

ปกติหนังจำพวกประเภทภัยพิบัติจะทำออกอารมณ์ประมาณไม่เครียดก็น่าสลดใจกับสิ่งที่เกิด ทั้งหดหู่ชวนสิ้นหวังที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายหายไป หรือจะกระวนกระวายกลัวจนไม่ได้สติ ซึ่งมักเป็นการตรอกย้ำในใจเสมอว่านี้คือความน่ากลัวของธรรมชาติ ที่ให้ข้อคิดถึงว่าเราทำสิ่งใดให้เป็นผลร้ายแล้วย้อนกลับมาหาตัวเอง แต่กับ Twister เรื่องนี้มันมาคนละเรื่องเลย รู้ไหมตั้งแต่ต้นจนจบหนังพายุเรื่องนี้มันส์มาก ถามหน่อยว่าเรื่องน่าสะเทือนใจเช่นนี้เคยมีความมันส์อยู่ในตัวได้ยังไง


จะว่าพวกภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองไม่ได้เกิดเพราะธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ที่เกิดขึ้นนี่มีส่วนของมนุษย์กระทำอยู่ด้วย โดยเฉพาะกับปัจจุบันที่สถานการณ์เริ่มจะหนักเข้าไปทุกทีกับภาวะโลกร้อน ที่เกิดได้เพราะความสิ้นเปลืองกับการใช้ในด้านพลังงานต่างๆหรือจะการเผาไหม้ที่กระจายเข้าทำร้ายชั้นบรรยากาศโลก จนกลายเป็นรูเป็นช่องให้แสงจากดวงอาทิตย์เข้ามาเกิดอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติที่เป็น ก็เลยส่งผลต่อๆจนเป็นความแปรปรวนที่เริ่มจะไม่ธรรมชาติเข้าไปทุกที ซึ่งนั้นทำให้ส่งผลร้ายต่างๆมากมายที่อาจจะรับมือแก้ไขช่วยกันได้ แต่กับสิ่งที่แก้ไม่ได้ก็ยังมีอยู่หลายแห่ง เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่เกิดพายุพังบ้านเรือนฝูงชนบาดเจ็บ แม้ว่าจะมีการแจ้งเตือนอย่างดีในการส่งสัญญาณกับชาวบ้านว่าจะเกิดลมแรงหรือพายุก็ยังล่าช้าเกินไปในการหลบหนีให้ทันอย่างปลอดภัย เพราะระบบการเตือนแจ้งล่วงหน้ามีความเร็วแค่ 3 นาทีในการบอกว่าเกิดพายุ ซึ่งแล้วใครจะไปหลบทันได้ล่ะ กว่าจะเตรียมตัวเสร็จคงฉะหน้าบ้านไปแล้ว จึงเป็นเรื่องราวของขบวนการ"กลุ่มนักล่าพายุ"

กลุ่มนักล่าพายุก็คือพวกที่คอยเฝ้าสังเกตภูมิอากาศที่ดูว่ามีกำลังเท่าไหร่ โอกาศจะเกิดพายุมีแค่ไหน หรือจะทิศทาง รวมถึงการความแค้นของตัวพายุ สำหรับความแค้นของพายุจะเป็นระดับความรุนแรง ยิ่งเพิ่มระดับจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นทั้งขนาดและการหมุน ปัญหาคืออำนาจการทำลายล้างของพายุมีมากเกินไปกับความเสียหายที่เกิดเกินจะทดแทน จึงเป็นหน้าที่เหล่าสมาชิกของโจ ฮาร์ดิง(Helen Hunt)สาวสุดแกร่งที่ไม่ยอมให้กับพายุที่ตอนเด็กเคยสูญเสียพ่อไปกับทอร์นาโดเข้าพังทลายบ้าน จึงเป็นจุดประสงค์ของการรับงานนี้ ที่สำคัญงานนี้มีอุปกรณ์เสริมที่จะทำให้หน้าประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปด้วยเครื่องโดโรธีที่ภายในจะเป็นลูกกลมหลายลูกที่ภายในแต่ละลูกจะบรรจุเซ็นเซอร์นับร้อยๆเอาไว้ แต่มันต้องเสี่ยงกับวิธีใช้อย่างมาก คือต้องเอาเครื่องมือนี้ไปวางในใจกลางพายุให้ได้เพื่อให้เซ็นเซอร์เหล่านี้ลอยขึ้นในใจกลางพายุ ซึ่งหลังจากนั้นเว็นเซอร์เหล่านี้จะส่งข้อมูลทั้งหมดของพายุลูกนั้นมา ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบต่างๆที่แม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งลักษณะการเกิด อัตราความเร็วของการหมุน และอีกหลายอย่างที่จะช่วยทำให้การแจ้งเตือนล่วงหน้าที่เดิม 3 นาทีเป็น 15 นาทีซึ่งมากพอในการหลบหนีได้ทันเวลา


บิลล์(Bill Paxton)สามีเก่าของโจได้มาหาโจเพื่อต้องการทำเรื่องหย่าให้เสร็จๆไปจากความค้างคาอยู่นาน ซึ่งครั้งนี้บิลล์ก็ได้คนรักใหม่ดร.เมลิสซ่า รีฟส์(Jami Gertz)และจะแต่งงานแต่ยังติดเรื่องเอกสาร ทำให้ต้องมาหาโจเพื่อเซ็นสัญญาการหย่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทีนี่ง่นกลับเข้าเสียก่อนเมื่อมีการแจ้งถึงเรื่องพายุที่ได้เข้ามาใกล้บริเวณนั้น และดูเป็นว่าบิลล์คนเดิมจะกลับมาอีกครั้ง ใช่แล้วบิลล์คืออดีตหัวหน้ากลุ่มนักล่าพายุกลุ่มเดียวกับโจ ที่สำคัญเขาเป็นคนคิดค้นเครื่องโดโรธีขึ้นมากับมือตัวเองอีกด้วย

เนื่องจากเกิดพายุอย่างกระทันหันสัญชาตญาณในตัวบิลล์ก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง แม้จะติดเรื่องขอเซ็นสัญญาแต่บิลล์คิดว่านี่อาจเป็นหนทางสู่ประสบความสำเร็จในการใช้เครื่องโดโรธีก็เป็นได้ แต่ปัญหาหนักใหญ่อยู่ที่ว่าการใช้เครื่องมือชิ้นนี้สามารถใช้งานได้เต็มที่เมื่ออยู่ในใจกลางพายุ เท่ากับว่าต้องนำโดโรธีดักหน้าพายุก่อนที่จะมาถึง แล้วงานดักพายุล่วงหน้าไม่ใช่ของตายเพราะมันอยากจะเปลี่ยนทิศมันก็พร้อมจะเปลี่ยนได้เสมอ ซึ่งนั้นเองที่บิลล์ได้กลับมาเป็นนักล่าพายุอีกครั้งกับประสบการณ์แข่งกับพายุที่ไล่ล่าไล่กวดกันอย่างไม่รู้เหนื่อยจนวินาทีสุดท้ายของความมันส์


อย่างที่บอกเลยครับว่าเรื่องนี้มันส์จริงแบบว่าการดำเนินเรื่องแทบไม่มีการได้พักกันเลย ช่วงแรกคุยหน่อยๆเพื่อทำความรู้จักตัวละครให้ดีว่าใครเป็นยังไงบ้าง ซึ่งพอหลังจากนั้นเกิดพายุก็ซิ่งกันฝุ่นตลบล่าพายุกันอย่างน่าตื่นเต้น แต่ทั้งเรื่องไม่ได้ล่าพายุลูกสองลูกหรอกนะเพราะในเรื่องจัดแจ้งเป็นอย่างดีเลยว่าเป็นช่วงกระแสลมเข้าจากตอนเปิดเรื่องที่ได้เห็นกรมอุตุวิทยาดูสภาพอากาศผ่านคอมฯ พายุก็เลยเกิดบ่อย ฉะนั้นไม่ต้องไปคิดแปลกใจว่าเกิดแล้วเกิดอีก เกิดบ่อยแบบนี้ใครจะอยู่ได้ อีกอย่างคือความสำคัญของพายุเรื่องนี้เหมือนตัวร้ายของเรื่องที่มีชีวิตที่พังบ้านเรือนอย่างไม่ตั้งใจ ก็เหมือนคนที่ต้องการใช้พลังงานแต่ไม่ได้ตั้งใจให้ผลออกมาเลวร้าย ว่าในด้านเนื้อเรื่องเข้าใจเปรียบเทียบได้ดีกับการพึ่งพาอุปกรณ์ไฮเทค เพราะการพึ่งพาสิ่งเหล่านี้จะทำให้ความสามารถของตัวเองลดน้อยลงไป แทนที่จะเอาประสบการณ์ในสัญชาตญาณของเองในการคิดก็ไม่ทำ ปล่อยให้เครื่องจักรคิดแทน แล้วกับธรรมชาติใช่ว่าจะเดาใจได้ถูกเสมอไปเหมือนกับบิลล์ที่มองพายุก็รู้ว่าจะเบี่ยงเบนไปทิศทางไหน ผิดกับดร.โจนัส มิลเลอร์(Cary Elwes)ที่เอาแต่เกาะตามบิลล์แล้วจะฉวยโอกาศ มันก็แปลกดีนะสำหรับคนที่มากอุปกรณ์มากของไฮเทคแต่ก็ไม่เคยตามทันสัญชาตญาณของบิลล์ได้เลยทั้งที่ล้ำสมัยขนาดนั้น ก็เลยเป็นข้อคิดสั้นๆว่ายิ่งใช้เครื่องทุนแรงจะยิ่งทำให้น้อยประสบการณ์เพราะคนเราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองถึงจะเก่งจริง

นอกจากจะมีพายุเป็นตัวร้ายแล้วยังมีคู่แข่งค่อยเกาะขโมยหน้าแล้วยังมีประเด็นเรื่องรักๆเข้ามาอีก อย่างที่รู้คือโจกับบิล์เคยเป็นคนรักกันถ้าจะไม่แปลกถ้าดร.เมลิสซ่าจะคิดไม่ตกเกี่ยวกับความสนิทสนมที่เริ่มจะทำให้ทั้งคู่ผูกพันธ์มากขึ้ทุกครั้งที่ล่าพายุ อีกมุมหนึ่งดร.เมลิสซ่าเป็นตัวละครที่ไม่เคยลุยกับพายุมาก่อน ฉะนั้นเวลาเจอลมแรงๆหรือเจอสถานการณ์เสี่ยงมักจะออกอาการเป็นคนแรกเสมอ ก็เหมือนตัวตลกให้เหมือนเกาะติดสถานการณ์เสมือนผู้ชมไปแบบนั้น แต่โดยส่วนตัวมองว่าภายนอกอาจดูเป็นตัวละครที่เฮฮาวุ่นวายในเวลาเจอพายุเพราะไม่ชินเป็นคนเมือง แต่ในใจเหมือนจะเริ่มเห็นความจริงเรื่องโจที่ยังรักบิลล์อยู่ ซึ่งตั้งแต่พายุเข้ามาและบิลล์ตัดสินใจช่วยก็กลายเป็นเหมือนโดนตัดขาดไปเลย แม้จะเข้ามาเอาใจช่วยดูแลแต่ก็ยังไม่เหมือนตอนร่วมทีมกับโจ สุดท้ายก็กลายเป็นตัวละครที่เศร้าและน่าสงสารเหมือนกัน คนที่เล่นเป็นดร.เมลิสซ่าคือ Jami Gertz คนเดียวกันที่เล่นเป็นแฟนสาวแวมไพร์เรื่อง The Lost Boys (1987)


การดำเนินเรื่องเร็วแบบนี้พล็อตจึงทำออกมาง่ายเอามันส์เป็นหลัก ส่วนนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเพราะตัวหนังไม่มีความน่าเบื่ออย่างใดเลย ความอืดหากันแทบไม่เจอเอาลุ้นมันส์ ผู้กำกับคือ Jan de Bont จึงเข้าใจเลยว่าทำไมหนังถึงเร็วขนาดนี้ เพราะเมื่อครั้งยังใหม่ๆเป็นคนที่สร้างเรื่อง Speed (1994) นี้เอง แล้วไหนจะผู้เขียนบท Michael Crichton ที่เคยสร้างงานชิ้นเอกอย่าง Jurassic Park มาแล้ว ที่ลงไม้ลงมือจนเป็นชื่อเรื่อง Twister แถมให้ความรู้ความเข้าใจกับพายุเป็นอย่างดีในบางส่วนที่ผ่านด้วยถ้อยคำที่ฟังดูง่าย เอาเป็นว่าสนุกไม่พอยังได้สาระติดหัวอีกด้วย

Twister ได้รับเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 สาขา ทั้งเทคนิคพิเศษ และบันทึกเสียง กับเทคนิคเอฟเฟคถือว่าดีจนเหมือนของจริง หนังเก็บรายละเอียดได้หมดกับข้าวของปลิ่วไปตามลม หรือจะเศษไม้จากบ้านที่หลุดไปทีละแผ่น ถือว่าดีจนไม่คิดว่าไม่เนียนจนเซ็ง ที่สำคัญคือเสน่ห์ของหนังที่ไม่ใช่แค่มันส์อย่างเดียวยังมีการแสดงถึงเรื่องจิตใจ เช่น โจที่มีความแค้นกับพายุตั้งแต่เด็กจนไม่ยอมล้มเลิกจากพายุ ซึ่ง Helen Hunt แสดงได้ท่าทางของสาวแกร่งมั่นอกมั่นใจว่าต้องทำได้ โดยที่ในใจยังมีปมเรื่องอดีตอยู่ผ่านสายตาที่แฝงความหวั่นไหว ในขณะที่บิลล์ดูจะเป็นตัวละครเอกแบบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใช่แน่ เนื่องจากมีความเก่งที่ไม่มีใครเกินได้เลย เป็นศัตรูของพายุก็ว่าได้ ที่ทั้งรู้ว่าจะเกิดพายุ หรือจะบอกได้ว่าพายุจะมุ่งไปทางไหน ทว่าพายุเองก็ใช่จะเดาถูกทุกครั้ง หนังเลยสนุกแบบสลับไปมากับการไล่ล่าพายุให้ทันที่อาจกลายเป็นว่าโดนพายุไล่หลังแทน


อีกอย่างคือถ้ายังจำฉากพวกบิลล์ไปหาที่พักแล้วมีโรงกลางแปลงฉายอยู่จะบอกว่านั้นคือหนัง The Shining (1980) โดยเรื่องนี้เป็นการร่วมทุนของค่าย Universal และ Warner Bros. ฉากในหนังเรื่อง Twister เลยมีสองเวอร์ชั่น สำหรับเวอร์ชั่นที่ดูๆกันคือแบบฉายนอกสหรัฐ WB จัดจำหน่าย เลยได้ดู The Shining เป็น The Shining แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นในอเมริกาที่ Universal จัดจำหน่ายล่ะก็ หนังกลางแปลงจะกลายเป็น Psycho ไปแทน อันนี้ต้องขอขอบคุณเกร็ดเล็กๆจากคุณหมื่นทิพด้วยนะครับ

สุดท้าย Twister ยังเป็นอะไรที่น่ากลมกล่อมกับความมันส์ที่น่าลุ้นไปตามๆกันว่าแล้วพวกบิลล์จะทำสำเร็จหรือไม่ คือแบบ Non-Stop อ่ะ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)